มนุษย์เป็ดเขียนคอนเทนต์ ชอบเขียนมากกว่าพูด เสพติดการมองพระจันทร์เป็นชีวิตจิตใจ และหลงใหลในช่วงเวลา Magic Hour ของทุกวัน Show
นักเขียน ส่งต่อเรื่องราวดีๆ เลือกอ่านตามหัวข้อ- บทนำ - เป้าหมายทางการตลาด คืออะไร? - ทำไมการตั้งเป้าหมายทางการตลาดจึงสำคัญกับธุรกิจ? - 8 เป้าหมายทางการตลาดที่จะพาธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมรับปี 2023 - สรุปทั้งหมด เลือกอ่านตามหัวข้อ- บทนำ - เป้าหมายทางการตลาด คืออะไร? - ทำไมการตั้งเป้าหมายทางการตลาดจึงสำคัญกับธุรกิจ? - 8 เป้าหมายทางการตลาดที่จะพาธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมรับปี 2023 - สรุปทั้งหมด ทุกคนรู้ว่าการมีเป้าหมายทางการตลาดสำคัญกับการทำธุรกิจมาก คนที่มีเป้าหมายจะรู้ว่าธุรกิจของคุณจะทำการตลาดไปเพื่ออะไร เหมือนกับบางสตาร์ทอัปที่ใช้กลยุทธ์ Growth Hacking โดยมีเป้าหมายว่าจะสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าติดกับผลิตภัณฑ์ก่อน แล้วค่อยมาคิดโมเดลธุรกิจเพื่อสร้างรายได้และการเติบโตในภายหลัง (และกลายเป็นยูนิคอร์นในที่สุด) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงนี้มีหลายธุรกิจที่ย้ายจากแพลตฟอร์มออฟไลน์มาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้น ทั้ง SME หรือร้านค้าทั่วไป ซึ่งหลายคนอาจจะกำลังอยู่ในช่วงมือใหม่หัดเริ่มการทำการตลาด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มทำการตลาดอย่างไรดี เป้าหมายทางการตลาดมีอะไรบ้าง หรือหลายธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์แบบเดิมมานานแล้วอยากจะเปลี่ยนเป็นเป้าหมายใหม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเป็นอะไรดี ในวันนี้เราจึงอยากจะมาแนะนำให้ทุกธุรกิจรู้จักกับ 8 เป้าหมายทางการตลาด (Marketing Goals) ที่จะพาธุรกิจที่กำลังหลงทางให้หาทางออกของตัวเองเจอ และพาให้ธุรกิจของคุณเติบโตยิ่งขึ้นเตรียมพร้อมต้อนรับปี 2023 จะมีอะไรกันบ้าง ไปติดตามกันต่อได้เลย ไม่พลาดทุกข้อมูลที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้นติดตามได้หลากหลายช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็น e-mail, line หรือ youtube Subscribe เป้าหมายทางการตลาดคืออะไร?เป้าหมายทางการตลาด (Marketing goals) คือ วัตถุประสงค์เฉพาะที่กำหนดไว้ในแผนการตลาด ในที่นี้หลายธุรกิจมักจะร่างออกมาเป็นแบบแผนที่ชัดเจน เพื่อให้ทีมรู้ว่าธุรกิจของเรามีเป้าหมายเป็นแบบนี้ และจะได้ช่วยกันระดมความคิดหากลยุทธ์ต่าง ๆ ที่สามารถพาให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้ แต่ก่อนที่คุณจะตั้งเป้าหมายทางการตลาด คุณควรมองสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจว่ามีความต้องการหรือมีปัญหาอะไรที่อยากปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น เช่น
ถ้าคุณรู้แล้วว่าสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจคุณเป็นอย่างไร สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นอาจกลายเป็นเป้าหมายทางการตลาดของธุรกิจคุณไปโดยปริยายเลยก็ได้ แต่ถ้าเกิดว่าคุณยังตอบคำถามตัวเองไม่ได้ว่า คุณต้องการอะไร เราหวังว่าเมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะได้พบคำตอบที่คุณกำลังตามหาอยู่ ทำไมการตั้งเป้าหมายทางการตลาดจึงสำคัญกับธุรกิจ?เป้าหมายทางการตลาดก็เป็นเหมือนแว่นตาที่ช่วยมองเห็นความเป็นไปได้ทั้งหมดในการทำธุรกิจ เราอยากให้คุณลองนึกภาพว่า ตอนนี้ธุรกิจของคุณเป็นคนที่กำลังมีปัญหาทางด้านสายตา (สายตาสั้น, ยาว, เอียง) มองภาพอะไรก็พร่ามัวไปหมด ซึ่งสิ่งเดียวที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ให้กับคุณได้คือ เป้าหมายทางการตลาดที่จะทำให้คุณเห็นภาพทั้งหมดได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะการวางเป้าหมายทางการตลาดจะทำให้เรามองเห็นภาพสิ่งที่เราต้องทำตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงจุดหมายปลายทางนั้น ๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไป ทำไปเพื่ออะไร เช่น ถ้าเราตั้งเป้าหมายว่า 6 เดือนแรกของปี ธุรกิจของเราจะต้องมีผู้ใช้งาน 1 แสนคน ทุกสิ่งที่เราทำระหว่างทางตลอดปีนั้นก็ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ได้ผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นด้วย แล้วทำไมเราควรต้องตั้งเป้าหมายตั้งแต่ปลายปี 2022 ด้วยล่ะ? จริง ๆ แล้วไม่ว่าจะช่วงเวลาไหนของปี เราก็สามารถเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา แต่สำหรับใครหลาย ๆ คนก็มักจะใช้เวลาปีใหม่เป็นโอกาสในการเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ดังนั้นถ้าคุณคิดที่จะเริ่มลงมือทำในช่วงปีใหม่ การเริ่มวางแผนตั้งแต่ปลายปี 2022 ก็เป็นเสมือนการเตรียมความพร้อมสร้างฐานการทำตลาดล่วงหน้าก่อนที่จะลงมือทำจริง เมื่อถึงเวลาที่เราจะทำจริง ๆ เราก็จะมีแผนกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแรงนั่นเอง 8 เป้าหมายทางการตลาดที่จะพาธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมรับปี 2023วันนี้เราก็ได้รวบรวม 8 เป้าหมายทางการตลาดมาให้คุณได้ลองนำไปใช้ สำหรับใครที่เป็นมือใหม่และยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเป้าหมายทางการตลาดมีอะไรบ้าง หรือใครที่ใช้เป้าหมายเดิม แล้วต้องการเพิ่มปรับเปลี่ยนใหม่ ก็สามารถนำไปใช้ได้เช่นกัน จะมีอะไรบ้างไปดูกันได้เลย 1. สร้าง Brand Awareness ให้ไปปรากฏต่อสายตาคนจำนวนมากทุกจุดเริ่มต้นของแบรนด์แน่นอนว่าจะต้องเกิดจากการสร้าง Brand Awareness เพราะถ้าหากไม่มีใครรู้จักแบรนด์ของเรา เป้าหมายอื่น ๆ อย่างการเพิ่มยอดขายก็คงอาจตามมาได้ยาก ซึ่งเป้าหมายนี้ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการทำให้แบรนด์ของเราไปปรากฏยังสายตาคนให้เยอะที่สุด เพราะอะไรถึงจะต้องทำแบบนั้น? คำตอบก็เพราะหากวันใดที่กลุ่มคนที่อาจจะกลายมาเป็นลูกค้าของเรา (Potential Customer) กำลังตามหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับเขาได้ ถ้าเขาคุ้นเคยกับแบรนด์ของเรา เคยผ่านสายตามาบ้าง แบรนด์ของเราก็จะกลายเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่พวกเขาสนใจ จนเกิดการซื้อขึ้นในที่สุดก็ได้ กลยุทธ์ง่าย ๆ ที่ใช้ในการสร้าง Brand Awareness คือ ให้คุณสำรวจก่อนว่าส่วนใหญ่กลุ่มเป้าหมายของคุณอยู่บนแพลตฟอร์มไหนมากที่สุด โดยอาจจะใช้เครื่องมือของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยในการ Tracking หากลุ่มเป้าหมายของคุณให้เจอ รับฟังว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณอยู่ตรงไหน (Social Listening) เพราะปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักใช้โซเชียลมีเดียกันเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว พวกเขาก็อยู่ใกล้ ๆ ตัวคุณนี่แหละ โดยเครื่องมือที่แนะนำในการทำ Social Listening เช่น mandala, brand 24, zanroo, socialenable หรือช่องทางอื่น ๆ จากนั้นคุณก็สามารถไปทำการตลาดบนแพลตฟอร์มนั้น ๆ เพื่อให้แบรนด์ของเราไปปรากฏสู่สายตาพวกเขาบ่อย ๆ จนพวกเขาเริ่มจำได้ (น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน เช่นเดียวกัน เราไปให้เขาเห็นหน้าทุก ๆ วัน เขาก็ต้องจำได้สักวันนึงแหละนะ) เราอาจจะสร้างคอนเทนต์ที่เป็นมิตร และมีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาโดยตรง เช่น มุ่งเป้าแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ Pain Point ของพวกเขา ให้พวกเขารู้สึกว่าสินค้าของแบรนด์เราสามารถช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นได้จริง (ของมันต้องมีแล้วแหละ) เพียงเท่านั้นพวกเขาก็อาจจะกลายมาเป็นลูกค้าของคุณได้ในที่สุด อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
2. เพิ่ม Brand Engagement มีส่วนร่วมกับลูกค้าอยู่เสมอเมื่อคนเริ่มรู้จักแบรนด์และเริ่มเข้ามาบนแพลตฟอร์มของคุณแล้ว จากการสร้าง Brand Awareness คุณต้องมีส่วนร่วมโต้ตอบกับพวกเขา และพยายามทำให้พวกเขามีส่วนร่วมกับแบรนด์อยู่เสมอด้วย เช่น
การที่คุณสร้าง Brand Engagement อยู่เสมอ ก็จะส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกไว้วางใจในแบรนด์ของคุณ จนบางทีพวกเขาอาจไปบอกต่อให้กับเพื่อนหรือคนรู้จักอีกด้วยว่า แบรนด์เราใส่ใจลูกค้าซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนอยากมาซื้อสินค้าจากแบรนด์ของเราอีกด้วย (นอกจากคุณภาพของผลิตภัณฑ์) อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
3. เพิ่มอันดับการค้นหาให้สูงขึ้นบน Search Engineไม่ว่าใคร ๆ ก็อยากให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกบน Google ทั้งนั้น (ยิ่งอันดับ 1-2-3 เลย ก็ยิ่งดี) เพราะมันจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ, เพิ่มโอกาสให้เราได้ Traffic บนเว็บไซต์สูงขึ้น, เพิ่ม Brand Awareness, เพิ่ม Lead, เพิ่มโอกาสให้เกิดการซื้อ และสร้างรายได้สูงขึ้นอีกด้วย แล้วจะทำอย่างไรถึงจะให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกล่ะ? คำตอบง่าย ๆ เลยคือ การทำ SEO (Search Engine Optimization) โดยในช่วงแรกสำหรับมือใหม่หัดทำ เราอยากแนะนำให้คุณทำ Long-tail Keyword (คีย์เวิร์ดที่มีความยาวเฉพาะเจาะจง) เพราะอัตราการแข่งขันจะต่ำกว่าคีย์เวิร์ดสั้น ๆ และเจาะจงถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณมากกว่า ทำให้ผู้ที่ค้นหาเจอเว็บไซต์ธุรกิจของเราได้ง่าย แต่ถ้าหากใครที่มีเว็บไซต์อยู่แล้ว คุณอาจจะต้องกลับมาปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเพิ่มเติม เช่น การทำ Keyword Research (ใช้เครื่องมือ SEO เข้ามาช่วย), การเพิ่มคีย์เวิร์ด, ความสอดคล้องของเนื้อหา, การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น, การทำ On-page SEO เป็นต้น โดยทั่วไป ข้อดีของการทำ SEO คือ จะทำให้เว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือ มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ข้อเสีย คือ ต้องใช้ความอดทนสูง เพราะไม่ใช่ทำวันนี้แล้วอีก 3 วันถัดมา เว็บไซต์จะติดหน้าแรกเลย ยิ่งถ้าหากเป็นสินค้าหรือบริการที่มีการแข่งขันสูง อาจจะต้องใช้เวลานานมากกว่า 6 เดือนถึงหลักปีเลยทีเดียวในการไต่ขึ้นไปสู่อันดับแรก ๆ แต่ถ้าใครรอไม่ไหวแล้วอยากแก้ปัญหาด้วยเงิน การทำ SEM (Search Engine Marketing) ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยคุณได้ แต่เช่นเดียวกันกับการทำ SEO ถ้าหากว่าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ราคาที่ต้องจ่ายก็จะสูงเพิ่มขึ้นไปตาม ๆ กันด้วยนั่นเอง เพื่อขึ้นไปสู่อันดับแรก อย่างไรก็ตาม การทำ SEM เราไม่แนะนำสำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นแล้วมีเงินทุนไม่มากพอ เพราะวิธีนี้ต้องใช้เงินทุนเข้ามาอัดฉีดเยอะ เราอยากแนะนำให้คุณนำเงินไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นสุด ๆ ก่อนจะดีกว่า (ควบคู่ไปกับการทำ SEO) เพราะถ้าผลิตภัณฑ์คุณไม่ดีพอ จะทำการตลาดดีเพียงใด ธุรกิจก็อาจจะพังและเติบโตอย่างไม่ยั่งยืนอยู่ดี เนื่องจากคนจะเข้ามาใช้ผลิตภัณฑ์แค่ช่วงแรก และไม่กลับมาใช้ซ้ำอีกครั้ง เช่นเดียวกันพวกเขาอาจจะไปบอกต่อคนอื่นอีกว่าผลิตภัณฑ์ของเราไม่ดี ไม่แนะนำให้มาใช้ อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
4. เพิ่ม Traffic บนเว็บไซต์ เพิ่มโอกาสในการขายถ้าเราถามคุณว่า ในการทำธุรกิจคุณต้องการอะไรมากที่สุด? เชื่อว่าหนึ่งในคำตอบนั้นต้องมี 'อยากให้มีลูกค้าเยอะ ๆ' แน่นอน แล้วทำยังไงถึงจะได้ลูกค้าเยอะ ๆ ล่ะ? คำตอบในข้อนี้ก็คือ 'ทำให้ Traffic เข้ามาสู่เว็บไซต์เยอะ ๆ' นั่นเอง เพราะถ้าหากสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามาที่เว็บไซต์ได้มากขึ้น เราจะสามารถมีส่วนร่วมกับพวกเขาได้ง่ายขึ้น มิหนำซ้ำคอนเทนต์ที่เราเสิร์ฟออกไปก็อาจจะสามารถป้ายยาให้พวกเขามาซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์ได้สำเร็จอีกด้วย ซึ่งเราก็ได้รู้จากข้อที่ผ่านมาแล้วว่า ถ้าอันดับการค้นหาบนเว็บไซต์อยู่ในอันดับสูง ๆ ก็เป็นส่วนช่วยให้เว็บไซต์ของเราถูกหาเจอง่ายขึ้น และทำให้มี Traffic เพิ่มขึ้นมานั่นเอง แต่อย่าลืมว่าถ้าพวกเขาเข้ามาแล้ว ก็อย่าทำให้พวกเขารู้สึกว่าอยากรีบออกไปจากเว็บไซต์ของคุณทันทีด้วยนะ แต่ก่อนที่จะทำให้ Traffic เข้ามาบนเว็บไซต์เยอะ ๆ คุณต้องแน่ใจก่อนว่า คุณมี…
สมมติคุณติดปุ่ม CTA ไว้เพียงแค่ด้านบนสุดและด้านล่างสุดของเว็บไซต์ แต่ช่วงกึ่งกลางของเว็บไซต์กลับไม่มี CTA เลยสักปุ่ม อยากให้คุณลองนึกภาพตามว่า ถ้าเกิดคนที่สนใจธุรกิจของคุณอ่านรายละเอียดมาถึงช่วงตรงกลางเว็บไซต์แล้ว เขาตัดสินใจที่จะซื้อแล้ว ถ้าคุณวาง CTA ไว้ตรงนั้น ก็จะทำให้พวกเขาเกิด Conversion ได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น แต่กลับกัน ถ้าคุณไม่มีปุ่มให้พวกเขากดสักปุ่มเลย นั่นทำให้พวกเขาต้องเลื่อนไปหาปุ่ม CTA นั้นเอง ซึ่งนอกจากมันจะเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับพวกเขาแล้ว ยังอาจทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจไม่อยากสร้าง Conversion ระหว่างทางนั้นก็ได้
จากตัวอย่างที่เรายกมาข้างต้น ไม่เพียงแต่จะเป็นข้อดีให้กับแบรนด์เท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อ Traffic ของคุณอีกด้วย แนะนำให้พวกเขาให้ได้รับข้อมูลครบถ้วน และกระตุ้นให้ก้าวไปสู่ขั้นต่อไปได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณได้รับข้อมูลติดต่อจาก Lead มาแล้ว ให้นำพวกเขาไปพบเจอกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ และทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดีจากแบรนด์ของคุณด้วย อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
5. สร้าง Qualified Lead เปลี่ยนคนที่สนใจให้กลายเป็นลูกค้าตอนนี้เราก็ได้ย้ายกลุ่มเป้าหมายจากขั้น Awareness ให้เข้าสู่ขั้น Consideration กันแล้ว (ต้องตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ) ดังนั้นเป้าหมายทางการตลาดต่อไปของคุณ คือ การสร้างลูกค้าเป้าหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสม (Qualified Lead) Qualified Lead คือ คนที่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าของเรา เพราะบางครั้งเขาจะเต็มใจทิ้งข้อมูลไว้ให้เราติดต่อกลับไป เพื่อสอบถามพูดคุยกันก่อนว่า ธุรกิจของเราสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้หรือไม่ หรือสามารถแก้ปัญหาให้ได้หรือเปล่า (ส่วนใหญ่ธุรกิจที่ใช้การติดต่อกลับไปหา Lead จะเป็นธุรกิจแบบ B2B) แล้วทำอย่างไรถึงจะเพิ่มโอกาสในการได้ Qualified Lead มา?
หลังจากที่ได้พวกเขามาเป็น Lead และติดต่อกลับไปเพื่อพูดคุยกันแล้ว และคิดว่ามีโอกาสสูงมาก ๆ ที่ Lead คนนี้จะกลายมาเป็นลูกค้าของเรา คุณก็สามารถมุ่งเป้าไปที่ตัวเขาได้เลย Pitch เขาให้อยู่หมัด เพื่อไปสู่ขั้นตอนการสร้างรายได้ต่อไป อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
6. เพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ ปลายทางที่ทุกคนรอคอยแน่นอนว่าการสร้างรายได้มักเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของทุกธุรกิจ ซึ่งไม่ว่าจะเราจะปูเป้าหมายทางการตลาดใด ๆ มาก่อนหน้านี้ ทั้งการสร้าง Brand Awareness, เพิ่ม Traffic หรือเพิ่ม Lead สุดท้ายแล้วปลายทางเหล่านั้นก็ล้วนชี้มาที่เป้าหมายการเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจทั้งสิ้น แต่สำหรับในทางศาสตร์ Growth ถ้าเกิดว่าธุรกิจของคุณยังไม่ถึงจุด Product/Market Fit หรือจุดที่ธุรกิจยังมีผลิตภัณฑ์ที่ไม่ดีพอที่จะไปต่อสู้กับคนอื่น ๆ ในตลาดได้ ก็อย่าเพิ่งมุ่งเป้าหมายมาที่การเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ แต่เราอยากให้คุณเร่งเครื่องในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาให้ดีที่สุดก่อน เพราะถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นนวัตกรรมใหม่จริงที่สามารถดึงดูดความสนใจจากคนจำนวนมากได้ แต่ถ้าหากผลิตภัณฑ์ของคุณยังไม่ดี คุณอาจจะสร้างรายได้แค่ในช่วงแรกเท่านั้น แต่ลูกค้าจะไม่มาซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณซ้ำอีกเป็นครั้งที่ 2 ดีไม่ดีอาจโดนเจ้าใหญ่ในตลาดเก็บไอเดียของคุณไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่า และคนแห่ไปซื้อ (เพราะชื่อเสียงและฐานลูกค้าของเขา) กลับกลายเป็นว่าคุณอาจจะล้มได้เลย แต่ถ้าเกิดคุณคิดว่าทุกส่วนของธุรกิจลงตัวแล้ว ก็สามารถเร่งเครื่องเพื่อมุ่งไปที่เป้าหมายนี้ได้กันเลย ตัวอย่างเช่น
สำหรับใครที่ทำ Marketing Campaign Planning เราก็มีเครื่องมือนึงที่เราอยากแนะนำให้รู้จัก นั่นคือ Endlessloop เพราะเป็นเครื่องมือที่เราสามารถวางแผนคอนเทนต์ ตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่แบรนด์ยังเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา จนกระทั่งเปลี่ยนให้พวกเขากลายเป็นลูกค้าของเราโดยสมบูรณ์ ยังไม่หมดเท่านั้น คุณยังสามารถวัดผลได้ด้วยว่าคอนเทนต์ที่ปล่อยออกไปในแต่ละแคมเปญ มันเวิร์กหรือได้ผลดีหรือไม่ เป็นการวัดผลการทดลอง ถ้าเกิดว่าไม่ดี เราก็สามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้ในการทดลองต่อไป หากคุณลองใช้วิธีข้างต้น คุณก็จะสามารถเปลี่ยน Lead ให้กลายเป็นลูกค้า และสามารถสร้างรายได้ให้กับคุณได้ตลอด แต่จริง ๆ ก็ยังมีกลยุทธ์อีกมากมายที่สามารถสร้างรายได้ให้กับแบรนด์ของคุณ แต่คุณก็อย่าลืมนึกถึงลูกค้าเก่า ๆ ด้วย เพราะลูกค้าเก่านี่แหละที่เป็นบุคคลสำคัญที่จะทำให้แบรนด์ของคุณมีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีกจากการกลับมาใช้ซ้ำและการบอกต่อ ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
7. เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า รักษาพวกเขาให้อยู่กับเรานาน ๆถ้าคุณกำลังอ่านมาถึงข้อนี้แสดงว่าธุรกิจของคุณเดินทางมาพบกับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ไปคุณต้องคิดวางแผนในระยะยาว ลองคิดดูว่า ถ้าคุณเป็นนักการตลาด เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะมุ่งเป้าหาแค่เพียงลูกค้าใหม่ ๆ เท่านั้น โดยที่ไม่สนใจลูกค้าเก่า ๆ เลย การรักษาลูกค้าเก่าไว้มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการหาลูกค้าใหม่ถึง 5 เท่า – Invesp ส่วนใหญ่รายได้ของแบรนด์มากกว่า 50% ต่อปีมาจากลูกค้าเก่าที่กลับมาซื้อซ้ำ และลูกค้าเก่ามีการใช้จ่ายให้กับแบรนด์มากกว่าลูกค้าใหม่ถึง 67% – BIA/Kelsey จากสถิติข้างต้นทำให้เราเห็นแล้วว่า ลูกค้าเก่าเป็นบุคคลสำคัญที่แบรนด์ควรต้องรักษาพวกเขาไว้อย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะกลับมาซื้อสินค้าของคุณซ้ำเท่านั้น แต่พวกเขายังเป็นคนที่คอยบอกต่อให้คนอื่น ๆ มาซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์เราด้วย (ป้ายยา ๆ นี่แหน่ะ ๆ) ดังนั้นเราต้องคอยมอบคุณค่าให้กับพวกเขาเสมอ ตัวอย่างวิธีที่ใช้เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้าเก่า เช่น
89% of companies say that excellent customer service plays a huge role in customer retention. – Semrush เพราะฉะนั้นแล้วการให้คุณค่ากับลูกค้าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แบรนด์ควรให้ความใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง อย่ามัวแต่มุ่งเป้าเพื่อหาลูกค้าใหม่อย่างเดียว โดยที่ลืมลูกค้าเก่าของคุณไปเลย การหาลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่าควรจะเป็นสิ่งที่ทำควบคู่กันไปดีกว่า เพราะกว่าที่จะทำให้คนแปลกหน้าเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ดังนั้นพอเขาเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าของเราแล้ว ก็อย่าลืมรักษาให้เขาอยู่กับคุณไปนาน ๆ นะ อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
8. สร้าง Brand Authority เรียกความไว้วางใจจากลูกค้าBrand Authority คือ ความไว้วางใจที่แบรนด์ของคุณได้รับจากลูกค้า และระดับที่พวกเขามองว่าแบรนด์ของคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ซึ่งการสร้าง Brand Awareness ไปควบคู่กับการสร้าง Brand Authority จะช่วยเพิ่ม Conversion ให้แบรนด์ของเราได้ เนื่องจากปัจจัยทั้งสองอย่างนี้เป็นเหมือนแรงดึงดูดที่ทำให้ผู้ที่มีโอกาสในการเป็นลูกค้าของเราเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าได้อย่างเต็มตัว ยิ่งลูกค้าเรียนรู้ที่จะไว้วางใจธุรกิจของคุณมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสที่พวกเขาจะให้การสนับสนุนแบรนด์ของเรามากขึ้น ลองมาดูตัวอย่าง สมมติคุณเป็นแบรนด์ที่ขายรองเท้า Sneaker แต่ก็ไม่มีแบรนด์ไหนที่อยากให้ลูกค้าเข้ามารู้จักแบรนด์ มาซื้อรองเท้า แล้วก็จบอยู่แค่นั้นหรอกใช่ไหมล่ะ? เราอยากให้คุณสร้างแบรนด์ที่ไม่ว่าใครจะทำอะไรกับรองเท้าก็มานึกถึงแบรนด์ของคุณทั้งสิ้น เช่น การซื้อรองเท้า, เลือกซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมในการดูแลรักษา หรือขอคำปรึกษาเกี่ยวกับรองเท้า ถ้าเกิดว่าใคร ๆ ต่างก็เข้ามาหาแบรนด์ของคุณ แสดงว่าคุณมี Brand Authority แล้วแหละ แล้วเราจะสร้าง Brand Authority ขึ้นมาได้อย่างไรบ้าง?
ดังนั้นแล้ว การสร้าง Brand Authority ทำให้ลูกค้าไว้วางใจแบรนด์ของเรา พร้อมเปิดใจที่ยอมรับ และกลายเป็นลูกค้าประจำของคุณ จะสร้างพลังให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี และส่งผลให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย การทําตลาดเป้าหมาย มีกี่ขั้นตอน ประกอบด้วยอะไรบ้างวิธีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่ง คือ การใช้กลยุทธ์ STP – Segment, Target, Position. ... . 1. ฐานลูกค้าปัจจุบัน ... . 2. การแบ่งส่วนตลาด ... . 3. ขนาดกลุ่มเป้าหมาย ... . 4. จุดแข็งของสินค้าหรือบริการ ... . 5. การประเมินการตัดสินใจ. ตลาดเป้าหมายมีอะไรบ้างตลาดเป้าหมาย (Target Market) : ใครคือลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการ โดยข้อมูลเหล่านี้รวมถึงข้อมูลประชากรที่สามารถนำมากำหนดเป้าหมาย ซึ่งรวมถึงอายุ, เพศ, ระดับรายได้, และไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงขนาดของตลาดเป้าหมาย, ศักยภาพในการซื้อ และแรงจูงใจที่จะเรียกผู้ชม จะทำให้คุณเข้าใจและเข้าถึงตลาดมากยิ่งขึ้น
เป้าหมายของการตลาดคืออะไรเป้าหมายทางการตลาด (Marketing goals) คือ วัตถุประสงค์เฉพาะที่กำหนดไว้ในแผนการตลาด ในที่นี้หลายธุรกิจมักจะร่างออกมาเป็นแบบแผนที่ชัดเจน เพื่อให้ทีมรู้ว่าธุรกิจของเรามีเป้าหมายเป็นแบบนี้ และจะได้ช่วยกันระดมความคิดหากลยุทธ์ต่าง ๆ ที่สามารถพาให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้
การกําหนดตลาดเป้าหมาย มีอะไรบ้างการประเมินส่วนตลาด กิจการจะต้องพิจารณาที่ปัจจัย 3 ประการคือ 1) ขนาดและการเติบโตของส่วนตลาด 2) ความน่าสนใจในเชิงโครงสร้างของส่วนตลาด และ 3) วัตถุประสงค์และทรัพยากรของกิจการ
|