หากเอ่ยถึง “หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท” เข้าใจกันดีว่า... เป็นหุ้นราคาถูก บริษัทขนาดเล็ก มาร์เก็ตแคปไม่มาก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสนามการลงทุนของนักลงทุนรายย่อย รวมถึงนักลงทุนที่มีเงินลงทุนไม่สูง เนื่องจากการซื้อขายแต่ละครั้งจะใช้เงินจำนวนไม่มาก และสังเกตได้ว่ามักมีการซื้อขายในระยะสั้นๆ หรือลักษณะเก็งกำไร ด้วยเหตุนี้ ทำให้หุ้นราคาต่ำ 10 บาท มีความคึกคักในการซื้อขาย เพราะนักลงทุนพร้อมขายทำกำไร แล้วไปหาหุ้นที่มีราคาต่ำตัวอื่นๆ ลงทุนต่อ แถมหุ้นบางตัวมักจะได้รับความสนใจแค่บางช่วงเวลา โดยเฉพาะช่วงที่มีกระแสข่าว ทำให้การซื้อขายคึกคักและสร้างสีสันได้ในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งการซื้อขายในแต่ละครั้งจำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์กราฟเทคนิคเข้าช่วยในการตัดสินใจลงทุน เป้าหมายของนักลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำ คือ การทำกำไรจากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) ด้วยการซื้อราคาถูกและรอจังหวะขายเมื่อราคาปรับขึ้น ซึ่งเมื่อคิดเป็นอัตราการเพิ่มของราคาจะสูงมาก ตัวอย่างเช่น ซื้อหุ้น BAC ราคา 2 บาท สัปดาห์ถัดมาราคาหุ้นปรับขึ้นไป 3 บาท หากขายทำกำไรก็จะได้ผลตอบแทน 1 บาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรถึง 50% อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่ควรเหมารวมว่า... หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาททุกตัว เป็นหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น ยังมีหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท หลายตัวมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแนวโน้มการเติบโตด้านการดำเนินธุรกิจที่สดใส และมีความสามารถในการสร้างผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง และสามารถลงทุนในระยะยาวได้ อัตรากำไรสุทธิ... กำไรขั้นสุดท้ายที่บริษัททำได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาหุ้นที่จะปรับขึ้นไปได้นั้น ต้องมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และปัจจัยสำคัญที่สะท้อนได้ชัดเจนที่สุด ก็คือ กำไรสุทธิควรเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเมื่อกำไรเติบโต “อัตรากำไรสุทธิ” ก็ควรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือในช่วงวิกฤติ (เช่น วิกฤติ COVID-19) อัตราดังกล่าวปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงภาวะปกติ โดยอัตรากำไรสุทธิ จะเป็นการเทียบระหว่างผลกำไรสุทธิกับยอดขาย ซึ่งบอกถึงความสามารถในการทำกำไร รวมไปถึงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และความสามารถของทีมผู้บริหาร หากอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับสูง แสดงว่า... ความสามารถในการดำเนินงานและสินค้าของบริษัทมีคุณภาพสูง ขายแล้วได้กำไรดี แต่หากอยู่ในระดับต่ำ อาจแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีปัญหาด้านการดำเนินงาน เช่น ไม่สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ หรือมีการแข่งขันสูง จึงไม่สามารถเพิ่มราคาขายในตลาดได้ ตัวอย่างเช่น ปี 2562 บริษัท XYZ มียอดขาย 250,000 บาท กำไรสุทธิ 50,000 บาท จะมีอัตรากำไรสุทธิ 20% หมายความว่า ทุกการลงทุน 100 บาท บริษัท XYZ จะทำกำไรได้ 20 บาท จากนั้นก็นำอัตราส่วนนี้ไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน เพื่อดูว่าบริษัทใดมีประสิทธิภาพในการทำธุรกิจมากกว่า ROE... อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ การเลือกหุ้นที่น่าลงทุน ควรเลือกหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรมากกว่าบริษัทคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน ด้วยการใช้อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) มาช่วยในการพิจารณา ROE หรือ Return on Equity เป็นอัตราส่วนที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารงาน เพื่อให้เกิดผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ช่วยบอกนักลงทุนให้ทราบว่าบริษัทใดเป็นเครื่องจักรทำเงิน ประโยชน์ของ ROE จะอธิบายว่าเงิน 1 บาทของผู้ถือหุ้น บริษัทนำไปทำธุรกิจแล้วทำให้เป็นกำไรได้กี่บาท ยิ่งสร้างกำไรได้มากก็ยิ่งดี แสดงว่าผู้บริหารมีความสามารถในการจัดสรรเงินลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้ผู้ถือหุ้นได้ เมื่อไลฟ์สไตล์ต่าง การลงทุนที่เหมาะสมก็ย่อมต่างไป สำหรับนักลงทุนที่อยากเข้าสู่ตลาดหุ้น การเลือกซื้อหุ้นอย่างรอบคอบก็เป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม แต่แบบไหนล่ะที่เหมาะกับตัวเรา บทความนี้มีคำตอบมีแต่คนบอกว่าถ้าอยากจนให้ไปเล่นหวย ถ้าอยากจะรวยให้ไปเล่นหุ้น มีใครคนไหนไม่อยากรวยบ้าง ยกมือซิ แต่พออยากรวยก็สาวเท้าเข้าไปเล่นหุ้นกันเลย หุ้นตัวไหนใครว่าดีซื้อมาเก็บในพอร์ตหมด แต่ถ้ามันดีตามใคร ๆ ว่าจริง ทำไมถึงนอนก่ายหน้าผาก ดูตัวเลขสีแดงกัน เฮ้อ ! ที่จริงการเลือกซื้อหุ้นจะเรียกว่าเป็นศาสตร์ผสมศิลป์ก็ว่าได้ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เล่นหุ้นตัวเดียวกันจะได้กำไรเหมือนกันทุกคน ทำไมบางคนเล่นหุ้นตัวนี้แล้วรุ่ง แต่กับบางคนเล่นแล้วรุ่งริ่ง อันนี้น่าคิดนะ การเลือกซื้อหุ้นมันก็มีวิธีของมันอยู่ แล้วแต่ว่าใครจะเลือกใช้เทคนิคไหน เหมือนเลือกเสื้อผ้ามาใส่นั่นแหละ เสื้อผ้าตัวเดียวกันใช่ว่าจะใส่แล้วดูดีกันทุกคนเนอะ เข้าเรื่องดีกว่า วันนี้จะมาให้เทคนิคการเลือกซื้อหุ้นให้เหมาะกับตัวเอง คำว่าเหมาะในที่นี้ คือ เหมาะกับทั้งไลฟ์สไตล์ของเรา เหมาะกับงบลงทุน ความรู้ที่เรามี และได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนแตกต่างกันไป บางคนต้องทำงานประจำ จะไปเลือกซื้อหุ้นที่มีราคาขึ้นลงหวือหวา บอกเลยว่าอย่าซื้อ เพราะคนทำงานประจำ ใจต้องจดจ่อกับงาน ไม่มีเวลามานั่งติดตามหุ้นตลอดเวลา การซื้อหุ้นประเภทนี้ต้องซื้อมาขายไปแบบรวดเร็ว คนที่ไม่มีเวลาจึงไม่ควรซื้อเก็บหุ้นประเภทนี้ไว้ในพอร์ต เพราะมันเสี่ยงต่อการขาดทุนสูง รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ? ถามตัวเองก่อนว่ามีเงินเย็นในมือมากน้อยแค่ไหน เงินเย็น คือ เงินที่ไม่จำเป็นต้องนำไปใช้ทำอะไร เพราะการเล่นหุ้นแม้ว่าจะศึกษามาถี่ถ้วนแล้ว แต่การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง หากเกิดกรณีเลวร้าย จะมีจุด Stop Loss ที่ตรงไหน และจะรอทนมองดูพอร์ตติดลบได้นานเท่าไร ถ้าเล่นหุ้นด้วยเงินเย็นก็ไม่ต้องกังวลและรีบขายแบบขาดทุน มีเทคนิคหรือความรู้ในการเล่นหุ้นแบบไหน ? ลงทุนมากน้อยแค่ไหน ? ส่วนข้อดีของการลงทุนน้อย ๆ แม้จะซื้อหุ้นได้จำนวนน้อย และกำไรอาจจะน้อยเมื่อหุ้นขึ้น แต่เมื่อหุ้นตกก็จะขาดทุนน้อย การลงทุนน้อย ๆ เหมาะสำหรับมือใหม่หัดเล่น หรืออยู่ในช่วงสั่งสมประสบการณ์ สะดวกที่จะเล่นหุ้นแบบไหน ? เลือกที่จะเป็นนักลงทุนประเภทไหน ? นักลงทุนระยะสั้น เป็นนักลงทุนประเภทซื้อขายบ่อยเพื่อทำกำไรระยะสั้น ข้อดี คือ มีเงินหมุนเวียนและเปลี่ยนหุ้นได้บ่อย ๆ นักลงทุนประเภทนี้ต้องเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่โลเล ยอมรับความเสี่ยงสูง มีจุด Stop Loss ที่แน่นอนหากราคาหุ้นไม่เป็นไปตามคาด คนทั่วไปมักเรียกนักลงทุนระยะสั้นว่า“นักเล่นหุ้น ” นักลงทุนแบบเล่นรอบ เป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับหุ้นตัวที่จะซื้อเป็นอย่างดี ต้องรู้ข่าวความเคลื่อนไหวหุ้นดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น หากต้องการจะเป็นนักลงทุนประเภทนี้ ต้องถามตัวเองว่ารู้จักหุ้นตัวที่จะซื้อดีพอหรือยัง นักลงทุนระยะยาว เป็นนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากเงินปันผลและราคาหุ้นที่ค่อย ๆ เติบโตอย่างมั่นคงเป็นหลัก คนที่ต้องการเป็นนักลงทุนประเภทนี้ ต้องลงทุนในหุ้นแบบระยะยาว บางคนใช้การลงทุนประเภทนี้ไว้เพื่อต้องการรับเงินปันผลใช้ในยามเกษียณ Time Frame แบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง ? คนที่มีเวลาเฝ้าจอหรือพวกฟูลไทม์เทรดเดอร์ มักใช้ Time Frame ที่เร็ว เช่น ราย 15 นาที หรือรายชั่วโมง เพราะคนพวกนี้ให้เวลาเต็มที่กับการดูแลหุ้นและเทรดหุ้นเข้าออกในระยะเวลาสั้นระดับนาทีหรือชั่วโมง แต่หากไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ เช่น ทำงานค้าขายหรือทำงานประจำ ก็ต้องใช้ Time Frame ที่ช้ากว่า เช่น รายวัน รายสัปดาห์ ให้สอดคล้องกับเวลาว่างที่จะใช้ในการบริหารดูแลหุ้นของตัวเอง สรุปคือ ถ้ามีเวลาดูแลพอร์ตในกรอบเวลาไหน ก็ให้เลือกใช้ Time Frame ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ดีที่สุด ที่สำคัญ นักลงทุนควรรู้จัก บัญชีเล่นหุ้นก่อนลงทุน เพื่อใช้เป็นบัญชีหลักทรัพย์สำหรับการซื้อขายที่เปิดกับโบรกเกอร์ และขอส่งท้ายให้กับคนที่อยากรวยด้วยการเล่นหุ้นว่า อย่าทำให้หุ้นเหมือนกับหวย เพราะคนจะรวยจากหวยได้เพราะเดาสุ่มแล้วบังเอิญว่าใช่ ถ้าหากนำแนวคิดเดียวกันนี้ไปใช้กับหุ้น รับประกันว่าทั้งหมดทุนและหมดตัว นั่นเพราะการลงทุนในหุ้นไม่จำเป็นต้องเดาสุ่ม ผู้ลงทุนสามารถหาทั้งความรู้ ข้อมูลและเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของตัวเอง เมื่อไรที่มีความรู้ ข้อมูล และประสบการณ์มากขึ้น เมื่อนั้นการลงทุนในหุ้นก็จะมีโอกาสสำเร็จตามมา |