ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารีได้รับการก่อตั้งโดยใคร

“I think self-awareness is probably the most important thing toward being a champion” –  Billie Jean King 

การรู้จักตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นยอดคน 

เราเจอคลิป TED Talk ของ Thandie Newton นักแสดงชื่อดังจากหนังเรื่อง Mission Impossible พูดในหัวข้อ Embracing otherness, embracing myself ว่า การสร้างตัวตนค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่พ่อแม่ตั้งชื่อให้ลูก การเลี้ยงดูที่ต่างกันแต่ละบ้าน การศึกษาคนละรูปแบบ รสนิยมความชอบที่แตกต่าง เราจึงค่อยๆ สร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมา ซึ่งมีความแตกต่างจากคนอื่นทีละน้อยๆ และตัวตนเฉพาะนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นๆ ในสังคมจดจำเราได้ 

แต่เราเคยถามตัวเองมั้ยว่า ตัวตนที่เป็นอยู่ใช่ตัวเราจริงๆ หรือเป็นแค่ภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้นเพื่อเรียกร้องการยอมรับกันแน่? แล้วตัวตนแบบไหนกันล่ะที่เราต้องการ? 

สิ่งที่ช่วยทุกคนหาคำตอบได้คือ Self-awareness หรือการรู้จักตนเอง

การรู้จักตนเองคืออะไร?

Self-awareness คือ การที่เรารู้เรื่องราวของตัวเอง รู้นิสัย รู้จุดแข็ง รู้จุดอ่อน รู้ว่าตัวเองมีความเชื่ออะไร มีแรงขับเคลื่อนอะไร ซึ่งการรู้จักตัวเองนั้นครอบคลุมไปถึงการเข้าใจผู้อื่น รู้ว่าผู้อื่นคิดอย่างไรกับเรา และรู้ว่าต้องปฎิบัติกับผู้อื่นอย่างไร 

เราสามารถแบ่งการรู้จักตัวเองเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • Private Self-Awareness : เป็นการเข้าใจตัวเองแบบส่วนตัว ไม่ต้องไปยุ่งกับคนอื่น เช่น รู้ว่าเราเป็นคนขี้น้อยใจ เวลาเพื่อนไปไหนแล้วไม่ชวนเราจะแอบเสียใจอยู่คนเดียว
  • Public Self-Awareness : เป็นการเข้าใจตัวเองเวลาต้องมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่น รับรู้ว่าคนอื่นคิดกับเรายังไง แสดงออกกับเรายังไง และตัวเราเองตอบสนองยังไงบ้าง เช่น เวลาพรีเซ้นท์งานหน้าชั้น เราจะตอบสนองกับสายตาที่จับจ้องอยู่ด้วยการพูดเสียงเบา

การรู้จักตัวเองฟังเหมือนง่าย แต่จริงๆ ก็อาจจะไม่ง่ายไปซะทั้งหมด วันนี้เรามาพร้อมกับตัวช่วย ที่นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน 2 คน Joseph Luft และ Harry Ingham เฝ้าสังเกตพฤติกรรมนุษย์ จนเกิดเป็นทฤษฎี The Johari Window ทฤษฎีที่บอกว่าคนทุกคนจะนำเสนอตัวตนใน 4 รูปแบบ ดังนี้

ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารีได้รับการก่อตั้งโดยใคร
ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารีได้รับการก่อตั้งโดยใคร

  1. Open self : ตัวตนส่วนที่เรารู้จักตัวเองดี รู้ว่าตัวเองคิดอะไร มีศักยภาพอะไร รู้สึกอย่างไร และเราเปิดเผยให้คนอื่นรับรู้ตัวตนของเราแบบตรงไปตรงมา คนรอบตัวจึงรู้และเข้าใจตัวตนของเราส่วนนี้ เช่น A เป็นคนขี้กลัว กลัวความสูง กลัวที่แคบ กลัวการอยู่คนเดียว กลัวเกือบทุกอย่าง A รู้ว่าตัวเองขี้กลัวนะ เพื่อนรอบๆ ก็จะรู้เหมือนกันว่า A ขี้กลัว
  2. Blind self : ตัวตนส่วนนี้คนอื่นรอบตัวสัมผัสรับรู้ แต่ตัวเราเองกลับไม่รู้ว่าเรามีพฤติกรรมหรือความสามารถส่วนนี้ อย่างเช่น A เป็นคนชอบเอาชนะ ชอบแข่งขันกับคนอื่นแบบไม่รู้ตัว แต่คนอื่นก็รู้ว่า A ชอบแข่งขัน เพราะ A จะทำทุกทางขอแค่ให้ได้สัมผัสชัยชนะ ซึ่งถ้าหากเราปล่อยให้ตัวเองมีส่วนนี้เยอะก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะจะทำให้ขาดจิ๊กซอว์บางตัวที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้ ใครอยากหาจิ๊กซอว์ตัวนี้ต้องกล้ารับฟังความคิดเห็น และเสียงสะท้อนความเป็นตัวเราจากคนรอบข้าง 
  3. Hidden self : ตัวตนที่เรารู้แต่เพียงผู้เดียว คนอื่นไม่เคยรู้มาก่อน เพราะเรารู้แล้วซ่อนไว้เป็นความลับส่วนตัว เช่น A เป็นคนวาดรูปเก่ง แต่วาดอยู่คนเดียวลำพัง ไม่เคยบอกใคร ไม่เคยวาดรูปให้ใครดู คนอื่นไม่รู้เลยว่า A มีมุมอาร์ตชอบวาดรูปด้วย ซึ่งความเป็นส่วนตัวส่วนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ในการทำงานร่วมกัน เราต้องไว้วางใจกันมากพอจนกล้าเปิดเผยตัวตนส่วนนี้ออกมา เพราะถ้าคนรอบตัวรู้จักเราเพียงแค่เสี้ยวเดียว ก็จะยากในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
  4. Unknown self : ตัวตนส่วนนี้มืดมิดเลย เป็นดินแดนที่ไม่มีใครค้นพบ ตัวเราเองก็ไม่รู้ คนรอบตัวก็ไม่รู้เลยว่าเรามีความสามารถ หรือทักษะประเภทนี้ด้วย ซึ่งตัวตนส่วนนี้อยู่ระหว่างการสืบเสาะค้นพบ เช่น A เป็นคนพูดให้กำลังใจเก่ง แต่ A ไม่ค่อยพูดกับใคร คนรอบข้างก็เลยไม่รู้ และตัว A เองก็ไม่รู้ จนวันที่หัวหน้าให้ A พูดในที่ประชุม A พูดแค่ไม่กี่คำ ก็จุดประกายเพื่อนร่วมงานได้แล้ว ดังนั้น คนที่มี Unknown self เยอะๆ ต้องเร่งมือค้นหาตัวเองกันหน่อย ความไม่มั่นใจในตัวเองรั้งเราไม่ให้ออกไปทดลองสิ่งใหม่ๆ เราก็จะจมอยู่ใน Comfort Zone ไม่เจอตัวตนสักที

จะเห็นได้ว่า เรารู้จักตัวเองแค่ครึ่งเดียว คือส่วน Open Self และ Hidden Self  อีกสองส่วน คือ Blind self กับ Unknown self  เป็นภารกิจที่เราต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาจิ๊กซอว์ส่วนที่ขาดหายไปของตนเอง โดยการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ…แล้วเราจะค้นหาไปเพื่ออะไร?

เพื่อที่วันหนึ่ง เราจะพบว่า ฉันเป็นคนในแบบที่่ฉันเป็น มันดีอยู่แล้ว ฉันสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันอยากทำได้ ถ้าฉันต้องการ 

เพื่อที่เราจะได้สามารถเข้าถึงศักยภาพทั้งหมดที่เรามี ยอมรับในตัวตนที่เราเป็น และไม่ได้เป็น ขุมทรัพย์แห่งความสำเร็จ อยู่ในตัวเรานี่เอง ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล (แต่เชื่อไหมว่า ต่อให้คนทั้งโลกมาบอกเรา เราก็ไม่เชื่อ นอกเสียจากว่าเราจะเจอสิ่งนี้ด้วยตัวเอง เป็นผู้รู้ด้วยตนเอง) 


วิธีเบื้องต้นในการเริ่มต้นทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้น

  • เปิดเผยตัวเองมากขึ้น : ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง และสิ่งที่ตัวเองเป็น แสดงออกให้คนอื่นรับรู้ เพราะยิ่งคนรอบตัวเข้าใจเรามากเท่าไหร่ เขาจะได้ช่วยเราให้ถึงจุดหมายได้ หรือในวันที่เราอ่อนแอ คนรอบตัวก็จะได้รู้ว่าควรยื่นมือมาช่วยเรายังไงดี
  • ค้นหา Feedback : สอบถามคนรอบข้าง ไม่ต้องกลัวโดนว่า เพราะการรับ Feedback จะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น เราจะได้เปลี่ยนตัวตนส่วน blind self เป็น open self แต่ต้องระวังว่าถ้ารับ Feedback มากเกินไป อาจตกอยู่ในสภาวะข้อมูลล้น ซึ่งเราก็สามารถจัดการข้อมูลเหล่านี้ได้ด้วย The Feedback Matrix ที่แบ่ง Feedback ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ Useful, Useless, Significant และ Insignificant จะได้รู้ว่า Feedback ไหนควรหยิบมานั่งคิดต่อ และ Feedback ไหนไม่ต้องไปใส่ใจ (เดี๋ยวจะตกอยู่ในภาวะนอยด์ จากเสียงคนรอบข้างจนไม่เป็นอันทำอะไร) 

ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารีได้รับการก่อตั้งโดยใคร
ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารีได้รับการก่อตั้งโดยใคร

  1. Useful and Significant : เป็น Feedbackที่พูดถึงสิ่งที่สำคัญ และเป็นประโยชน์กับตัวเรามากๆ หากเพื่อนรอบตัวพูดเหมือนกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ก็ถึงเวลาที่เราต้องรีบแก้ไข ปรับปรุงตัวเองกันใหม่ เช่น “เวลาโกรธเธอชอบพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่น” feedback นี้สำคัญ เพราะกระทบกับเรื่องความสัมพันธ์ และถ้าเราแก้ไขได้ก็จะเป็นประโยชน์กับตัวเราเอง
  2. Useful but Insignificant : คำติชมมีประโยชน์กับเรานะ แต่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไหร่ ซึ่งเราก็ไม่ควรมองข้าม feedback พวกนี้เสียทีเดียว แต่ให้จัดเป็นความสำคัญลำดับหลังๆ เช่น “ถ้าพูดให้อ่อนหวานกว่านี้จะเข้าหาผู้ใหญได้ง่ายขึ้นนะ” คำแนะนำนี้มีประโยชน์ แต่ถ้าเรางานของเราไม่ได้ต้องเข้าหาผู้ใหญ่ ก็อาจไม่จำเป็นก็ได้ เป็นต้น
  3. Useless but Significant : feedback ที่แตะประเด็นสำคัญ แต่เป็นสิ่งที่เรายังทำตามไม่ได้ด้วยข้อจำกัดอะไรบางอย่าง feedback ประเภทนี้เราอาจหยิบมาครุ่นคิดต่อเมื่อมีเวลา เช่น “เข้างานสังคมบ้างจะได้ฝึกฝนการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี” แต่ถ้าเวลานั้นเรามีโปรเจกต์หลายตัวอยู่ในมือ แค่เวลานอนยังไม่มีเลย ก็รอให้เคลียร์งานหลักๆ เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน
  4. Useless and Insignificant : เราเรียก Feedback ประเภทนี้ว่าคำติชมราคาถูก ติไปเรื่อย ชมไปเรื่อย ไม่มีประโยชน์และไม่สลักสำคัญอะไรเลย มองข้ามข้อติชมประเภทนี้ ไม่ต้องเปลืองพลังงานสมองมาใส่ใจ เช่น “แต่งตัวไม่ค่อยแมทซ์กันเท่าไหร่เลยนะ”
  • ก้าวข้ามลิมิตของตัวเอง : Unknown self เป็นส่วนที่เราต้องขยันค้นหา ต้องลองทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อจะได้ค้นพบพรสวรรค์ หรือสิ่งมหัศจรรย์ที่ซ่อนเร้นไว้ เริ่มแรกเราอาจค้นหาตัวเองผ่านแบบทดสอบค้นหาตัวเองก่อนก็ได้ เช่น Strengths Finder ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาจุดแข็งของตัวเอง หรือลองทำ Personal SWOT analysis ดูจะได้เห็นภาพตัวเองชัดขึ้น หรือถ้าใครมีเวลาก็นั่งทำ Personal Development Plan เพื่อให้เห็นเป้าหมายกันชัดๆ ไปเลย และลงมือทำตามตารางที่วางไว้

 

การรู้จักตัวเอง ไม่มีหลักสูตรลัดตายตัว ถ้าคิดจะเรียนรู้ให้จบคอร์สภายในวันสองวันนี่เป็นไปไม่ได้เลย เรื่องแบบนี้ต้องเรียนรู้กันไปตลอดชีวิตค่ะ เพิ่มสิ่งนี้ เป็นหนึ่งในภารกิจการใช้ชีวิตของเรา