มอยเจอร์ไรเซอร์กับเซรั่มแตกต่างกันอย่างไร

ความแตกต่างของการบำรุงผิวแต่ละประเภท บทความโดยทีม R&D – ทุกวันนี้ร่างกายของเราโดนแสงแดด และมลภาวะต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดริ้วรอย สิว ฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวแก่ก่อนวัย ใครอยากมีผิวขาวสว่างใส มีออร่าแบบดารา ลองหันมาบำรุงผิวเป็นประจำ จะทำให้ผิวสวยคงอยู่คู่กายเราตลอดไป วิธีบำรุงผิวมีหลากหลายให้เลือกสรรขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน บำรุงผิวหน้าและผิวกายควรเลือกสูตรให้เหมาะสมของแต่ละช่วงวัย แล้วทดสอบการแพ้ก่อนซื้อ หากพบว่าแพ้ครีมตัวไหนให้งดใช้ทันที และที่สำคัญก่อนที่จะเลือกซื้อครีมมาใช้ให้ถูกกับผิวของคุณ ควรศึกษาเนื้อครีมแต่ละประเภทก่อน ต่อไปนี้เป็นความแตกต่างของเนื้อครีมแต่ละประเภท ได้แก่ เนื้อครีม , โลชั่น , เจล , ซีรั่ม , เอสเซ็นส์


  1. ครีม (Cream)

ครีมบำรุงผิวส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของน้ำมัน (Oil) + น้ำ (Water) ซึ่งจะมีความเข้มข้นของเนื้อครีมสูงมากที่สุด หากเทียบกับการทำงานรูปแบบ(Body Form) การดูดซึมเนื้อครีมเข้าสู่ผิวได้ช้ากว่าการบำรุงผิวชนิดอื่น เนื้อครีมที่นิยมใช้กันในปัจจุบันอาจมีการใส่ส่วนผสมของสาร Active Ingredients เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่

“ครีม(Cream)” เหมาะสำหรับสาวผิวแห้ง เนื่องจากผิวขาดความชุ่มชื้น ใบหน้าลอก และเกิดริ้วรอยอ่อนกว่าวัยได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น หลังจากใช้ครีมบำรุงผิวแล้วควรทำความสะอาดหน้าด้วยโฟมล้างหน้าที่มีค่า PH ควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล


  1. โลชั่น (Lotion)

เนื้อโลชั่นมีลักษณะคล้ายครีมมาก แต่จะมีส่วนประกอบของน้ำ(Water) มากกว่าเนื้อครีม เพิ่มส่วนผสมของสาร Active Ingredients วิตามิน หรือสารสกัดบำรุงผิวพรรณชนิดอื่นลงเนื้อโลชั่นได้ จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงผิวใหม่สวยกระจ่างใสขึ้นกว่าเดิม
“โลชั่น(Lotion)” เหมาะสำหรับผิวธรรมดา (Fluid) และผิวผสม ซึ่งผิวผสมเป็นผิวที่ค่อนข้างดูแลยาก หากเลือกใช้โลชั่นบำรุงผิวหน้า ควรทาในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากมีผิวมันบริเวณ T-Zone จึงต้องดูแลส่วนนี้เป็นพิเศษ


  1. ซีรั่ม (Serum)

เนื้อซีรั่มส่วนใหญ่เป็นแบบใส มีเนื้อสัมผัสที่บางเบา หากเทียบกับการบำรุงผิวชนิดอื่น เนื้อซีรั่ม คือสูตรที่พัฒนาให้มีความเข้มข้นของ Active Ingredients สูงขึ้น และเห็นผลชัดเจนในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ซึมซับการบำรุงเข้าสู่ผิวหนังได้เร็ว เพราะเป็น Water Based Product (มีน้ำเป็น Medium ต่างจากครีมและโลชั่น) มีการบำรุงอย่างล้ำลึกและเหมาะกับผิวทุกประเภท จึงไม่แปลกใจที่ Serum มีราคาที่สูงกว่าการบำรุงผิวชนิดอื่น


  1. เจล (Gel)

มีลักษณะเนื้อสัมผัสคล้ายเจล ซึ่งเป็นสารประเภท Polymer โครงสร้างภายในเนื้อเจลสามารถอุ้มน้ำได้จำนวนมาก ด้วยคุณสมบัติของ Water Absorbent ทำให้เจลบำรุงผิวประเภทนี้ส่วนใหญ่นำไปใช้บำรุงเพิ่มวิตามินและความชุ่มชื้นให้กับบริเวณใต้ดวงตา ลดรอยหมองคล้ำบริเวณใต้ดวงตาได้เป็นอย่างดี


  1. ฟลูอิค (Fluid/Fluide) หรือเอสเซ้นส์ (Essence)

เป็นเนื้อซีรั่ม มีเนื้อสัมผัสเนื้อบางเบา แต่มีสีที่เข้มข้นมากกว่าซีรั่มทั่วไป เนื่องจากมีส่วนผสมเพิ่มความเข้มข้นในปริมาณสูงสุดด้วย Active Ingredient เป็น Water Based ซึมซับเร็ว เกลี่ยง่าย การบำรุงผิวมีประสิทธิภาพเห็นผลชัดยิ่งขึ้น


สำหรับข้อแตกต่างของครีมแต่ละประเภทนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ ไม่เพียงแต่ผู้ใช้เท่านั้น เจ้าของแบรนด์ที่อยากผลิตสินค้าประเภทครีม เครื่องสำอางก็ควรศึกษาเอาไว้เพื่อที่จะได้เรื่องกลุ่มลูกค้าได้ถูกต้อง สำหรับผู้ที่สนใจสร้างแบรนด์ครีม สามารถเข้าดูข้อมูลได้ที่หน้า รับผลิตครีม

ซึ่งมีโมเลกุลที่เนื้อสัมผัสเบามีขนาดเล็กกว่าครีม จึงทำให้มีความสามารถในการซึมลงสู่ชั้นผิวที่ลึกกว่าการทาครีม  ผนวกกับการที่สามารถใส่สารอาหารที่เข้มข้นมี Active Ingredients สูงกว่าครีม เพื่อบำรุงผิวได้มากกว่า ดังนั้น เมื่อใช้เซรั่มเราจะสังเกตุเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า ปัจจุบันมีการนำเซรั่มมาเป็นส่วนผสมที่ใช้กับทุกเพศทุกวัย

ประโยชน์ของเซรั่ม

• ซีรั่มได้รับการออกแบบมาให้เป็นผู้จัดการปัญหาต่างๆของผิวได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาของผิวที่อยู่ลึกลงไปกว่าชั้นของหนังกำพร้า  ดังนั้น เรามาลองดูประโยชน์ของเซรั่มต่อการจัดการปัญหาต่างๆเหล่านี้กันค่ะ

• เซรั่มซึมลึกเข้าสู่ผิวชั้นในช่วยแก้ไขปัญญาผิวจากด้านใน ในขณะที่มอยส์เจอไรเซอร์แบบครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวแต่ได้แค่ผิวชั้นนอก

• ในวัยรุ่นเซรั่มช่วยเสริมผิวให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น

• ผู้ที่มีผิวแห้ง หรือ มีอาการแดงการอักเสบจากการเป็นสิว เซรั่มจะช่วยดูแลด้วยการบรรเทาอาการต่างๆลง

• เซรั่ม ยังเป้นผู้พิทักษ์ผิวจากการถูกทำร้าย ทั้งสภาพอากาศและมลภาวะต่างๆ

 • ในสุภาพบุรุษเซรั่มสามารถช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองภายหลังการโกนหนวดได้เป็นอย่างดี

ผลักเซรั่มอย่างไรให้ลงลึก

เพื่อให้การดูแลผิวด้วยเซรั่มเป็นไปอย่างได้ผล  การเตรียมผิวหน้าเพื่อพร้อมรับการบำรุงจึงเป้นขั้นตอนที่สาวๆไม่ควรมองข้าม

  • ขั้นตอนพื้นฐานก่อนหน้าสวยทุกครั้ง คือ การทำความสะอาดผิวหน้า
  • รู้หรือไม่ว่าการทาเซรั่มทันทีหลังการล้างหน้าที่หน้ายังเต็มไปด้วยความชุ่มชื้นนั้น ทำให้เซรั่มสามารถลงสู่ผิวได้สูงกว่าการทาหลังจากที่หน้าแห้งแล้วถึง 10 เท่า
  • หากต้องการบำรุงผิวจากภายนอกหลังทาเซรั่ม ควรเว้นช่วงเวลาสัก 5 นาทีจะดีที่สุด
  • การเลือกเซรั่มก็สำคัญไม่แพ้เงื่อนไขข้างต้นนั่นก็คือการเลือกซื้อเซรั่มที่มาจากธรรมชาติดูได้จากการปราศจากสีและกลิ่น

เมื่อไฮยาลูรอนิคแอซิด(Hyaluronic Acid)มาอยู่ในรูปแบบเซรั่มเข้มข้นที่ซึมเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว ทำให้เราสามารถบำรุงผิวได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพที่น่าพอใจ ผลิตภัณฑ์ของเราได้รวมนวัตกรรมนี้เอาไว้ให้แล้วใน ซีรี่ย์“PWP Hylu Collagen” ซึ่งมีทั้ง2 สูตร ประกอบด้วย

มอยเจอร์ไรเซอร์กับเซรั่มควรลงตัวไหนก่อน

ลำดับการทาครีมก็ส่งผลต่อการทำงานที่ดีของครีมด้วยเช่นกันนะคะ อย่างเซรั่มกับมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ถ้าอยากใช้ทั้งคู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องทาให้ถูกลำดับค่ะ ลำดับที่ถูกต้องก็คือ หลังจากล้างหน้าแล้ว ควรทาเซรั่มก่อน แล้วคอยตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพราะว่าเซรั่มมีเนื้อครีมที่บางเบากว่า ควรทาก่อน ถ้าหากเราทามอยส์เจอร์ไร ...

มอยเจอร์ไรเซอร์ ทาเยอะไหม

หลายคนอาจจะคิดว่าการทาครีม หรือมอยเจอร์ไรเซอร์ในปริมาณเยอะ ๆ จะช่วยให้ผิวได้รับการบำรุงมากยิ่งขึ้น แต่จริง ๆ แล้วการทาครีมในปริมาณที่มากเกินไป อาจจะทำให้ผิวเกิดการอุดตัน และเกิดปัญหาผิวตามมาได้ เช่น สิวผด สิวอักเสบ เป็นต้น ดังนั้นในการบำรุงผิวหน้าในแต่ละครั้งควรทามอยเจอร์ไรเซอร์ในปริมาณที่พอดีและเหมาะสมกับผิวหน้าดี ...

ทามอยเจอร์ไรเซอร์แล้วทาครีมได้ไหม

ไม่ควรทาโลชั่นในขณะที่ผิวยังเปียกน้ำอยู่ เพราะ มอยเจอไรเซอร์ ไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวที่มีน้ำบล็อกอยู่ได้ วิธีที่ถูกต้องคือซับผิวให้หมาดหรือพอให้มีความชื้นเล็กน้อยแล้วค่อยทาโลชั่น วิธีนี้จะช่วยให้เนื้อครีมซึมซาบเร็วและกักเก็บความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิวไว้ได้ดีขึ้น

เซรั่มกับครีมอะไรดีกว่ากัน

2021-07-13 09:17:16. สองตัวนี้ทำงานต่างกัน เซรั่มจะเน้นเรื่องสิว ผิวแพ้ง่าย และรูขุมขนกว้าง ในขณะที่ครีมบำรุงจะเน้นเรื่องผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ริ้วรอย และผิวขาดน้ำ คุณแม่อาจจะเลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่งก็ได้ แต่ เพื่อประสิทธิภาพที่สูงสุด เราแนะนำให้ใช้คู่กันค่ะ