สมการการบริโภคสมการการบริโภคสมการการบริโภค ได้มาจากนำแนวความคิดของทฤษฎีเคนส์ ที่ให้การบริโภคขึ้นอยู่กับรายได้ในระยะสั้น โดยสามารถเขียนความสัมพันธ์ ได้ดังนี้ C = f(Y) จะได้สมการเส้นตรง คือ C = a + bY a = ค่าใช้จ่ายในการบริโภคของประชากรในขณะที่ไม่มีรายได้ (Y = 0) b = ตัวเลขที่แสดงสัดสวนการเปลี่ยนแปลงการบริโภคต่อการเปลี่ยนแปลงรายได้ เมื่อกำหนดให้รายได้เปลี่ยนแปลงไปหนึ่งหน่วย จากสมการข้างต้นหากสมมติว่าประชาชนคนหนึ่ง หรือทั้งประเทศมีพฤติกรรมอย่างเดียวกัน ถ้าให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นตัวแทน และมีพฤติกรรมในการใช้จ่ายในช่วงไม่มีการทำงานหรือไม่มีรายได้ (Y = 0) จะใช้จ่ายเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งก็คือ ค่า a ถ้าหากบุคคลคนนี้มีงานทำเดือนแรก รายได้ 6,000 บาท การใช้จ่ายเดือนละ 8,600 บาท สามารถหาค่า b ได้จาก b = ค่าใช้จ่ายในการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป = 8,600 - 5,000 = 3,600 = 0.6 6,000 – 0 6,000 จากค่าของ a และ b สามารถนำมาแทนค่าในสมการการบริโภค ได้ดังนี้ C = 5000+ 0.6Y ซึ่งสามารถพยากรณ์การใช้จ่ายของบุคคลคนนี้ได้ในอนาคต ขณะที่มีรายได้เกิดขึ้น เช่น ถ้ามีรายได้ 20,000 บาท การใช้จ่าย สามารถคำนวณได้ดังนี้ C = 5,000 + 0.6Y (20,000) = 17,000 บาท สมการการออมหาได้จาก สมการการออมหาได้จาก S = Y-C แต่เนื่องจาก C = a+bY จะได้ S = Y-(a+bY) = Y-a-bY S = -a+(1-b)Y จาก C = 5,000 + 0.6 Y S = -5,000 +0.4 Y ถ้าให้รายได้ = 20,000 บาท หาการออมได้จาก S = -5,000 + 0.4 (20,000) = 3,000 หรือ S = Y-C = 20,000 – 17,000 = 3,000 การหารายได้ดุลยภาพดำนวณได้จากหลักการที่ว่า รายได้ดุลยภาพ คือ ระดับรายได้เท่ากับการใช้จ่ายในการบริโภคของประชาชน นั่นคือ Y = C ดังนั้นถ้ามี C = 5,000 + 0.6Y (1-0.6) Y = 5,000 Y = 5,000 = 12,500 บาท 0.4 หรือ S = -5,000 + 0.4 Y ที่ดุลยภาพ S = 0 ดังนั้น 0 = -5,000 + 0.4 Y 0.4 Y = 5,000 Y = 12,500 บาท ที่ Y = 12,500 บาท C = 5,000 + 0.6 (12,500) = 12,500 บาท ความโน้มเอียงในการบริโภคและความโน้มเอียงในการออม 1. ความโน้มเอียงในกรบริโภค คือ ตัวเลขที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคกับรายได้ แบ่งเป็น 2 ชนิด ก. ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการบริโภค (Average Propensity to Consume: APC) คือ ตัวเลขที่ แสดงสัดส่วนระหว่างการบริโภคกับรายได้ หาได้จาก APC = C / Y ถ้าให้ C = 5,000 + 0.6 Y โดยที่ Y = 20,000 จะได้ C = 17000 บาท APC = 17,000 = 0.85 20,000 นั่นคือที่รายได้ 20,000 บาท จะมีการใช้จ่ายเป็น 85% ของรายได้ในระดับนั้น ข. ความโน้มเอียงหน่วยสุดท้าย (Marginal Propensity to Consumer: MPC) คือ ตัวเลขสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรายได้ไปหนึ่งหน่วย หาได้จาก MPC = C2 - C1 = b Y2 - Y1 เช่น C = 5,000 + 0.6 Y ถ้า Y1 = 0, C1 = 5,000 Y2 = 20,000, C2 = 17, 000 MPC = 17,000 - 5,000 20,000 – 0 = 12,000 = 0.6 = b 20,000 2. ความโน้มเอียงในการออม คือ ตัวเลขที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการออมกับรายได้ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ก. ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการออม (Average Propensity to Save = APS ) คือ ตัวเลขที่แสดงสัดส่วนระหว่างการออมกับออมกับรายได้ หาได้จาก APS = S / Y ถ้าให้ S = - 5,000 + 0.4 Y ถ้า Y = 20,000, S = 3,000 บาท APS = 3,000 = 0.15 20,000 นั่นคือ ณ ระดับรายได้ 20,000 บาท การออมจะมีค่าเท่ากับ 15 % ของรายได้เนื่องจาก อีก 85% เป็นค่าใช้จ่าย ดังนั้น APC + APS = 1 ข. ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการออม (Marginal Propensity to Save = MPS ) คือ ตัวเลขที่แสดงสัดส่วนระหว่างการเปลี่ยนแปลงของการออมกับการเปลี่ยนแปลงของรายได้ หาได้จาก MPS = S2 - S1 Y2 - Y1 เช่น S = -5,000 + 0.4 Y ถ้า Y1 = 0, S1 = 3,000 Y2 = 20,000 S2 = 3,000 MPS = 3,000 – ( - 5,000) 20,000 – 0 = 8,000 = 0.4 20,000 นั่นคือ MPS = 1- MPC = 1- b หรือ MPC + MPS = 1 posted by Pholwat Choomsook @ 1:58 PM MPC และ MPS มีความสําคัญยิ่งในการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงรายได้ เพราะช่วยให้ ทราบผลการเปลี่ยนแปลงรายได้เมื่อค่าใช้จ่ายมวลรวมเปลี่ยนแปลง ในปัจจุบันมักจะกําหนดให้ MPC และ MPS ในระบบเศรษฐกิจหนึ่ง ๆ มีค่าคงที่ทฤษฎีการกำหนดรายได้ประชาชาติ เป็นการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ และความต้องการใช้จ่ายมวลรวม (Desired Aggregate Expenditure: DAE) ความต้องการใช้จ่ายมวลรวม (DAE) คือ ความต้องการจะใช้จ่ายของภาคเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ครัวเรือน ธุรกิจ รัฐบาล ต่างประเทศ ในการซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายซึ่งผลิตขึ้นได้ในประเทศ ในระยะเวลาหนึ่ง ความต้องการใช้จ่ายมวลรวมประกอบ ไปด้วย
การบริโภค หมายถึง รายจ่ายของครัวเรือนในการซื้อสินค้าและบริการในรอบ 1 ปี จากการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ พบว่า ปัจจัยสำคัญที่กำหนดการบริโภคและการออมมีหลายปัจจัย เช่น รายได้ประชาชาติ อัตราภาษี ระดับราคาสินค้าและบริการ ฯลฯ ทฤษฎีการบริโภคของเคนส์ กล่าวว่า รายได้ที่ใช้จ่ายได้ (Disposable Income) เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดในการกำหนดรายจ่ายเพื่อการบริโภค ดังนั้นเมื่อสมมติให้ปัจจัยอื่น ๆ คงที่ ฟังก์ชันการบริโภคจึงขึ้นอยู่กับรายได้ที่ใช้จ่ายได้แต่เพียงอย่างเดียว
ความโน้มเอียงส่วนเพิ่มในการออม (Marginal Propensity to Save: MPS) หมายถึง อัตราส่วนระหว่างการเปลี่ยนแปลงในจำนวนเงินออม ต่อการเปลี่ยนแปลงในรายได้ที่ใช้จ่ายได้ นั่นคือ เป็นการวัดค่าของการออมที่เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจาก การเปลี่ยนแปลงของรายได้ 1 หน่วย โดยที่ |