(บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้วและไม่ได้ตามสานการณ์การศึกษาจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลจึงบกพร่องอยู่มาก จึงไม่ควรนำไปใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการ) การศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นคล้ายกับการศึกษาประวัติของครอบครัวหรือสายตระกูล ซึ่งชาวบ้านธรรมดาๆ ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีประสบการณ์การศึกษาทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการในสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัย เพราะโดยธรรมชาติของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนั้น มักเริ่มขึ้นจากเรื่องราวบอกเล่าภายในของผู้คนในท้องถิ่นที่ยังคงมีเรื่องราวให้จดจำได้ และนักวิจัยท้องถิ่นสามารถเรียนรู้ได้จากความชำนาญเท่าที่จำเป็น การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นริเริ่มอย่างจริงจัง ที่อังกฤษในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยเฉพาะหนังสือของ W. G. Hoskins เรื่อง The Making of the English Landscape พิมพ์ครั้งแรกในปี ๑๙๕๕ ทำให้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นที่แพร่หลาย ในการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนั้น บันทึกเอกสารสำคัญที่เก็บรักษาไว้หรือตกทอดสู่ลูกหลาน และผู้อาวุโสในสังคม สามารถให้คำแนะนำ กระตุ้น และเป็นหลักฐานหรือผู้ให้ข้อมูลสำคัญ อีกทั้งการเรียบเรียงและรูปแบบการเขียนเปิดกว้างมาก จึงมีนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจำนวนมากที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่เป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่และรู้เรื่องราวและรับรู้ในประวัติศาสตร์ในท้องถิ่นของตนเอง นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นทั้งหมดใช้กระบวนการที่เริ่มจากข้อเท็จจริงพื้นฐานจากหลักฐานในท้องถิ่น แล้ววิเคราะห์รายละเอียดที่มีอยู่มากมาย เช่น เรื่องราวชีวิตประจำวันกว้างๆ บริบททางภูมิศาสตร์ ความรู้ความชำนาญเฉพาะ เช่น อาชีพประจำท้องถิ่น การทำเกษตรกรรม การค้าขาย เป็นต้น แต่ก็มีอยู่บ้างที่ บางคนใช้วิธีการศึกษาที่มีทฤษฎีวิเคราะห์ร่วมเพิ่มเติม ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในต่างประเทศหลายๆ แห่ง มักดำเนินได้โดยการสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่นที่เป็นหน่วยงานการปกครองอย่างเป็นทางการและสมาคมภาคเอกชน รวมทั้งผู้คนในชุมชน นอกจากการค้นคว้า การสัมมนาหรือจัดประชุมในระหว่างนักประวัติศาสตร์ ท้องถิ่นด้วยกัน กิจกรรมหลักอื่นๆ ที่ส่งเสริมงานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้มีชีวิตชีวาและรับใช้ชุมชนก็คือ การจัดสร้างห้องสมุด, หอจดหมายเหตุ, พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น, การทำสินค้าที่ระลึกในพิพิธภัณฑ์รวมไปถึงหนังสือประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น, CD เพลงพื้นบ้าน, ข้าวของที่ระลึกต่างๆ บางแห่งรวมเอาศูนย์ผลิตภัณฑ์สินค้าหัตถกรรมของกลุ่มชาวบ้านไว้ในสถานที่เดียวกันหรือในบริเวณเดียวกัน ตลอดจนการจัดการท่องเที่ยวเพื่อชมวิถีชีวิต พื้นที่ หรือสถานที่ เช่น อาคารเก่าเพื่อการค้าหรือที่อยู่อาศัยที่อนุรักษ์แล้ว เช่น “สมาคมประวัติศาสตร์ท้องถิ่นญี่ปุ่น” [The Japanese Local History Association] ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. ๑๙๕๐ ซึ่งเป็นองค์กรกลางและมีบทบาทหลักในการเชื่อมประสานในหมู่นักวิจัยท้องถิ่น นักวิชาการ ภัณฑารักษ์ และนักประวัติศาสตร์ รวมทั้งองค์กรทางวิชาการในการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นทั่วญี่ปุ่น ในกรณีของประเทศญี่ปุ่นนั้น หน้าที่ความรับผิดชอบอย่างสำคัญขององค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม ก็คือมีหน้าที่ในการสร้างสถานที่และดำเนินการรวมทั้งกิจกรรมที่มีความต่อเนื่อง เช่น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ศิลปะ สวนสาธารณะ City Hall โรงละคร ลดหลั่นกันไปตามสถานะทางเศรษฐกิจของจังหวัด เมือง หรือชุมชนต่างๆ ในญี่ปุ่น “ความแตกต่างในความเป็นหนึ่งเดียว” สนับสนุนความหลากหลายทางชีวิตวัฒนธรรมย่อยๆ ที่แสดงออกจากเรื่องราวความเป็นมาหรือประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ระบบสัญลักษณ์ของกลุ่มตระกูล การใช้ภาษาและสำเนียงการพูด บ้านเรือน อาหารการกิน เครื่องนุ่งห่มและวิธีแต่งกาย และกลายเป็นฐานความรู้สำคัญเมื่อเกิดการจัดการท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น และสินค้าต้นกำเนิด โอทอปตามฤดูกาล ซึ่งเป็นพื้นฐานที่แตกต่างไปจากการดำเนินการสร้าง OTOP (โครงการ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ) ในท้องถิ่นต่างๆ ของประเทศไทยที่เพียงตัดยอดรูปแบบที่มิได้คงความหมายของความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น ตามแนวทางที่ต้องใช้ความหลากหลายของท้องถิ่นเป็นอัตลักษณ์ของสินค้าตามที่ควรจะเป็น ก่อนเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในประเทศไทยจากการสำรวจเพื่อทำความเข้าใจเบื้องต้นถึงความหมายของการใช้คำว่า “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ในประเทศไทยพบว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการศึกษาทางสังคมศาสตร์หลายประการ จึงเลือกลักษณะของรูปแบบการเขียนงานทางประวัติศาสตร์บางประการที่น่าจะมีอิทธิพลต่อการสร้างงาน “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในประเทศไทย” มาพิจารณาโดยย่อ ดังนี้ ประวัติศาสตร์อนุภาค [Micro History]ประวัติศาสตร์อนุภาคเป็นสาขาหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งพัฒนาเริ่มแรกในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๗๐ การศึกษาประวัติศาสตร์อนุภาคเน้นศึกษาในขอบเขตเล็กๆ เช่น เมืองขนาดเล็กหรือหมู่บ้าน โดยศึกษาข้อมูลในระดับปัจเจกและเน้นเรื่องราวที่มีความสำคัญรองลงมาจากเหตุการณ์ใหญเ เนื่องจากการวิเคราะห์ภาพเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เป็นองค์ประกอบต่างๆ นั้น เป็นรากฐานที่นำไปสู่ความเข้าใจในเหตุการณ์สำคัญๆ ได้ Micro History เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์แบบใหม่หรือ New History เน้นศึกษาเรื่องที่มีคุณค่าและได้รับความสนใจภายในชุมชนท้องถิ่นนั้น ด้วยเหตุนี้เอง ในด้านหนึ่งงานของ Clifford Geertz นักมานุษยวิทยาที่ถูกจัดในกลุ่ม มานุษยวิทยาวัฒนธรรม [Cultural Anthropology] ที่ใช้การศึกษาระบบสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอธิบายการติดต่อสื่อสารของผู้คน เพิ่มความเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา แนวคิดทฤษฎีีทางวัฒนธรรมและสังคมของเขาส่งอิทธิพลต่อ นักภูมิศาสตร์ นักนิเวศวิทยา นักรัฐศาสตร์ นักมนุษยศาสตร์ จนถึงนักประวัติศาสตร์ในกรณีเดียวกัน ประวัติศาสตร์แบบใหม่หรือ New History เป็นคำเดียวกับ Nouvelle Histoire เกิดขึ้นจากกลุ่มนักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสสกุลแอนนาล [Annales School] รุ่นที่ ๓ ในทศวรรษที่ ๑๙๗๐ เมื่อกล่าวถึง New History จึงต้องอ้างถึงนักประวัติศาสตร์ในสกุลแอนนาล [Annales School] ซึ่งใช้การตีความทางประวัติศาสตร์แบบทุกแง่มุม [Total History] เป็นสกุลประวัติศาสตร์ที่ได้ชื่อมาจากวารสารทางวิชาการคือ Annales d’histoire conomique et sociale ที่ก่อตั้งโดย Marc Bloch และ Lucien Febvre ในปี ค.ศ. ๑๙๒๙ โดยใช้วิธีการศึกษาแบบสังคมศาสตร์อย่างเป็นระบบมาใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ผนวกกับความรู้ทางภูมิศาสตร์ ปฏิเสธการครอบงำของการเขียนประวัติศาสตร์ที่เน้นเรื่องราวทางการเมือง การทูต และการสงคราม รวมทั้งวิธีการเขียนพรรณนาทางประวัติศาสตร์โดยใช้เอกสารทางราชการเป็นแหล่งข้อมูลหลักแบบนักประวัติศาสตร์์ ในยุคศตวรรษที่ ๑๙ แม้ว่าจะมีนักประวัติศาสตร์บางคนยังคงทำงานภายใต้รูปแบบการศึกษาของสกุลแอนนาล แต่ทุกวันนี้วิธีการศึกษาแบบแอนนาลก็มีความต่างน้อยลงตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับนักประวัติศาสตร์ที่ทำงานในด้านประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ [Cultural History and Economic History] ในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๔๐ และ ๑๙๕๐ Fernand Braudel เป็นนักวิชาการชั้นนำในสกุลแอนนาล งานของเขาจัดว่าอยู่ในช่วงที่สองของการเขียนงานประวัติศาสตร์แบบที่ใช้ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมขนาดใหญ่มาร่วมวิเคราะห์ เขามีต่อนักประวัติศาสตร์ต่างๆ ทั่วโลกจนถึงยกให้เขาเป็นนักประวัติศาสตร์คนสำคัญในกลุ่มนักประวัติศาสตร์ยุคใหม่ โดยเฉพาะงานหนึ่งในสามเรื่องที่ใช้เวลาการค้นคว้าอย่างละเอียดและยาวนานคือ เมดิเตอเรเนียนในยุคพระเจ้าฟิลิปที่ ๒ แห่งสเปน พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ และตีพิมพ์ต่อมาอีกหลายครั้ง, La Méditerranée et le Monde Méditerranéen à l’Epoque de Philippe II (1949) (The Mediterranean and the Mediterranean World in the Age of Philip II) วิธีการศึกษาแบบประวัติศาสตร์อนุภาคนั้น ใช้การศึกษาทางด้านสังคมหรือ ประวัติศาสตร์สังคม [Social History] ซึ่ง ใช้การวิเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์ จาก มุมมองพัฒนาการทางสังคม ซึ่งรวมเอาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ชนชั้น การวิเคราะห์ในแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาสังคมซึ่งแสดงถึงวิวัฒนาการของบรรทัดฐานทางสังคม พฤติกรรม ฯลฯ ซึ่งต่างไปจากประวัติศาสตร์การเมืองหรือประวัติศาสตร์ทางการทหาร และประวัติศาสตร์ของวีรบุรุษหรือมหาบุรุษในรูปแบบการเขียนประวัติศาสตร์แบบเดิมๆ ความต่างของนักประวัติศาสตร์แบบดั้งเดิมกับนักประวัติศาสตร์สังคมก็คือ นักประวัติศาสตร์แต่เดิมจะเน้นการพรรณนา เช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน ส่วนนักประวัติศาสตร์สังคมนั้นจะเน้นการตั้งคำถาม เช่น ทำไมจึงเกิดความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น และเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ประเด็นสำคัญอะไรที่สนับสนุนให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น วิธีการศึกษาเช่นนี้ทำให้นักวิชาการสามารถอภิปรายได้อย่างเต็มที่สำหรับแง่มุมที่ยังไม่ได้ให้ความสำคัญหรือมีการศึกษามากนัก ประวัติศาสตร์สังคมมักถูกอธิบายว่าเป็น ประวัติศาสตร์จากรากหญ้า หรือ ประวัติศาสตร์แบบรากหญ้า [History from Below] การศึกษาประวัติศาสตร์เช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์สังคม พัฒนามาจากการศึกษาแบบสกุลแอนนาลและเป็นที่นิยมศึกษากันในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๖๐ มุ่งเน้นไปที่มุมมองของบุคคลธรรมดาภายในสังคมและอาณาบริเวณ ซึ่งถูกมองว่าไม่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ นั่นหมายรวมเรื่องราวของกลุ่มผู้หญิง กลุ่มรักร่วมเพศ กลุ่มผู้ใช้แรงงานหรือบ้านเมืองในอาณานิคมของชาวตะวันตกที่ห่างไกล ฯลฯ เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คนและกลุ่มคนจำนวนมาก ซึ่งคนเหล่านี้เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์มากเสียยิ่งกว่าผู้นำ นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลจากแนวคิดแบบมาร์กซิสเรื่อง ชนชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจคือสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ การเขียนงานแบบมาร์กซิสทำให้เกิดประวัติศาสตร์ของชนชั้นแรงงานที่เรียกว่า วัตถุนิยมทางประวัติศาสตร์ [Historical Materialism] ที่ศึกษาการกดขี่ครอบงำการจัดการทรัพยากรพื้นฐานด้วยทุนและรัฐ โดยใช้วิธีวิทยาของ ประวัติศาสตร์จากรากหญ้า แนวคิดแบบมาร์กซิสคือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ในสกุลแอนนาล และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเขียนงานแบบ ประวัติศาสตร์สังคม ประวัติศาสตร์บอกเล่า [Oral History]เป็นการเล่าเรื่องผ่านปากคำจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งและเป็นส่วนหนึ่งของ “ประเพณีบอกเล่า” หรือ Oral Tradition ประวัติศาสตร์บอกเล่าสามารถบันทึกปากคำหรืออธิบายเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ร่วมสมัยต่างๆ แต่สำหรับนักประวัติศาสตร์บางคนถือว่าเป็นหลักฐานที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ในขณะที่นักประวัติศาสตร์บางกลุ่มเห็นว่ามีความหมายที่คงอยู่และมีการส่งผ่านความหมายนั้น เพราะในแต่ละช่วงเวลาผู้คนสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในความทรงจำนั้น แต่เนื้อเรื่องหลักยังคงอยู่ นักมานุษยวิทยาที่เก็บข้อมูลประวัติศาสตร์บอกเล่าต้องใช้ความชำนาญและถือคติว่า ต้องหลีกเลี่ยงที่จะถามนำ เพราะคนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะพูดในสิ่งที่คนสัมภาษณ์ต้องการให้พูดอยู่แล้ว การทำงานประวัติศาสตร์บอกเล่าจึงจำเป็นต้องใจเย็นและสามารถรอได้เพื่อจะได้คำตอบที่ส่งผ่านมาจากเจ้าของเรื่องราวนั้นโดยตรง ปราศจากอคติของผู้สัมภาษณ์เข้าไปเกี่ยวข้อง นักประวัติศาสตร์บอกเล่าพยายามที่จะบันทึกความทรงจำของผู้คนมากมาย แต่ละคนอาจจะจำผิดพลาดหรือบิดเบือนด้วยเหตุผลส่วนตัว เอกสารทางประวัติศาสตร์จึงถูกนำมาพิจารณาให้เป็นตัวช่วยมากกว่าที่จะเชื่อถือผู้ให้ข้อมูลเพียงคนเดียว ประวัติศาสตร์บอกเล่ามักใช้เป็นวิธีการศึกษาเมื่อทำการศึกษาประวัติศาสตร์จากรากหญ้า [History from below] ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ [Ethnohistory]การศึกษาวัฒนธรรมทางชาติพันธุ์และธรรมเนียมของชนพื้นเมืองโดยการบันทึกตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่อาจจะหรืออาจจะไม่มีอยู่ทุกวันนี้ วิธีการศึกษาใช้ทั้งแนวทางเช่นศึกษารวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์และข้อมูลทางชาติพันธุ์วรรณนา ผู้ศึกษาจะใช้เครื่องมือ เช่น แผนที่ ดนตรี ภาพวาด ภาพถ่าย เรื่องเล่า ประเพณีบอกเล่า สภาพนิเวศ พื้นที่โบราณต่างๆ โบราณสถานและโบราณวัตถุ สิ่งของเครื่องใช้ที่เก็บรวบรวมในพิพิธภัณฑ์ ประเพณีที่ยังคงอยู่ ภาษา ชื่อสถานที่ เป็นต้น นักประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์จึงมีการเรียนรู้ที่จะใช้ความรู้เฉพาะอย่าง เช่น ความรอบรู้เรื่องภาษาศาสตร์ ความเข้าใจปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมในหนทางที่จะสร้างการวิเคราะห์ในแนวลึกได้มากกว่านักประวัติศาสตร์โดยทั่วไป ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์คือความพยายามศึกษาอย่างมากให้อยู่บนฐานของการศึกษาแบบองค์รวม/Holistic เป็นวิธีการศึกษาแบบประวัติศาสตร์ที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด เมื่อมันสามารถ “รวมเอาความทรงจำและเสียงของผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าไปด้วย” [Simmons, William S. 1988. Culture Theory in Contemporary Ethnohistory / Ethnohistory] ประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อม [Environmental History]คือการศึกษามนุษย์และธรรมชาติกับความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีมาในอดีต แม้จะใช้วิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์ แต่มักจะหยิบยืมจากงานของนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการในสาขาอื่นๆ ประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อมโยงใยถึง ประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อมทางวัตถุ และ ประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อมเชิงวัฒนธรรม / ภูมิปัญญา ซึ่งเน้นที่ภาพตัวแทนของสภาพแวดล้อมที่สัมพันธ์กับสังคม ประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อมทางการเมือง เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของรัฐบาล กฎหมาย และนโยบายของรัฐ การศึกษาทั้งหมดเน้นเรื่องผลกระทบต่อปัจจัย ทางสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการพัฒนาสังคม การ เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและมนุษย์ที่เป็นตัวแทนในการเปลี่ยนแปลง แต่ก็มักจะติดอยู่กับการเปลี่ยนแปลงแบบโรแมนติกที่เอาแต่โศกเศร้าเสียใจ พัฒนาการของสกุลอันนาลในช่วงทศวรรษที่ ๒๐ มีอิทธิพลมากต่อประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อมในฐานะที่เน้นต่างไปจากประวัติศาสตร์การเมืองและภูมิปัญญาผ่านทางการศึกษาเรื่องเกษตรกรรม ประชากร และภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อมสมัยใหม่เกิดขึ้นในยุคทศวรรษที่ ๖๐ และต้นทศวรรษที่ ๗๐ พร้อมกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม งานช่วงแรกๆ เน้นไปที่สังคมก่อนอุตสาหกรรมและความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นผลมาจากการเมืองระดับประเทศและในท้องถิ่นที่การทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่เคยมีมา เป็นต้น ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม [Cultural History]มีการกล่าวถึงคำจำกัดของประวัติศาสตร์วัฒนธรรมมาตั้งแต่ทศวรรษที่ ๗๐ ซึ่งรวมเอาวิธีการศึกษาแบบมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์เพื่อนำและในอเมริกาที่ใกล้เคียงกับการศึกษา American Studies ส่วนใหญ่จะศึกษาปรากฏการณ์ร่วมกันของกลุ่มคนที่ไม่ใช่ชนชั้นนำ เช่น งานคาร์นิวัล งานเทศกาล และพิธีกรรมสาธารณะ การแสดงเรื่องราว วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมในความสัมพันธ์ของมนุษย์ (แนวคิด วิทยาศาสตร์ ศิลปะ เทคนิควิธี) และความเคลื่อนไหวทางสังคมที่แสดงออกทางวัฒนธรรม เช่น ชาตินิยม แนวคิดหลักทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เช่น อำนาจ อุดมการณ์ ชนชั้น วัฒนธรรม อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ทัศนคติ เชื้อชาติ มุมมอง และวิธีการของประวัติศาสตร์แนวใหม่ เช่น การแสดงออกของเรื่องราวทางร่างกาย ซึ่งการศึกษาจำนวนหนึ่งพิจารณาในเรื่องการปรับตัวของวัฒนธรรมแบบประเพณีไปสู่ยุคแห่งการสื่อสารมวลชน เช่น ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ วารสาร ภาพโปสเตอร์ จากการพิมพ์สู่แผ่นฟิล์ม และอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ที่เป็นวัฒนธรรมของทุนนิยมมีที่มาจากงานแบบประวัติศาสตร์ศิลป์ งานศึกษาสกุลอันนาล สกุลศึกษาแบบ มาร์กซิส ประวัติศาสตร์แบบอนุภาค และประวัติศาสตร์วัฒนธรรมแบบใหม่ ผู้ที่ถูกกล่าวถึงและอ้างอิงผลงานบ่อยครั้งในการศึกษาประวัติศาสตร์วัฒนธรรม คือ Jürgen Habermas ในเรื่องพื้นที่สาธารณะ (Public sphere) เขาเป็นที่รู้จักจากแนวคิดเรื่อง ‘เหตุผลการสื่อสาร’ (Communicative rationality) และ Clifford Geertz ในเรื่อง thick description ซึ่งหมายถึง พฤติกรรมของมนุษย์ที่ไม่เพียงแต่จะอธิบายเฉพาะเพียงแค่พฤติกรรม แต่ต้องศึกษาบริบทแวดล้อมด้วย ด้วยการพิจารณาดังกล่าว พฤติกรรมเหล่านั้นจึงจะมีความหมายต่อคนภายนอก ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในประเทศไทยเมื่อประมวลจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาพเคลื่อนไหวของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในรอบกว่า ๓๐ ปีที่ผ่านมา ประเมินจากงานศึกษาที่ปรากฏแล้วจำนวนหนึ่ง เช่น งานของอาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล “The Changing Landscape of the past : new histories in Thailand since 1973” [Journal of Southeast Asian Studies. Volume: 26. Issue: 1. Publication Year: 1995] รายงานวิจัย “โครงการประมวลวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้เพื่อเขียนตำราเรื่องการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย” ของ อาจารย์ยงยุทธ ชูแว่น เสนอต่อสกว. พ.ศ. ๒๕๔๘ “การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ของอาจารย์ฉลอง สุนทราวาณิชย์ และ “สถานะของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” อาจารย์ฉลองนำสนทนา “จากการเมืองทางปัญญาสู่ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ของอาจารย์ธิดา สาระยะ ใน “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น”, (สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๒๙) “สังคมไทยในความคิดและความใฝ่ฝันของ อาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา” ของอาจารย์อานันท์ กาญจนพันธุ์ (สำนักเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๙) ทำให้เข้าใจพัฒนาการของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในประเทศไทยได้ดังนี้ การเขียนประวัติศาสตร์นิพนธ์แบบพงศาวดารตั้งแต่ต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็เพื่อวัตถุประสงค์ในการฟื้นฟูบ้านเมือง เพราะพระราชพงศาวดารไปจนถึงการชำระพระราชพงศาวดารของเหตุการณ์บ้านเมืองในสมัยอยุธยาคือการสร้างแผ่นดินให้กลับมั่นคงดังเดิม การแต่งและแปลวรรณคดี ตลอดจนชำระเอกสารต่างๆ จึงมีความจำเป็นตลอดมาในช่วงรัชกาลที่ ๑ ไปจนถึงรัชกาลที่ ๓ การเคลื่อนไหวเรื่องประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเริ่มชัดเจนตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา เพื่ออ้างสิทธิ์ในยุคอาณานิคมที่ต้องมีพรมแดน อาณาเขตที่ชัดเจน และเป็นส่วนหนึ่งของการก่อตัวรัฐชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมและการเมืองในช่วงรัชกาลที่ ๔ และ ๕ นำมาซึ่งการเติบโตของปัญญาชนที่เป็นสามัญชน ประวัติศาสตร์ที่ผูกขาดการสร้างโดยชนชั้นนำเริ่มขยับขยายไปสู่คนธรรมดาที่มีการศึกษาทั้งในท้องถิ่นและที่ศูนย์กลาง แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมจากรัฐแบบโบราณจนกลายเป็นรัฐชาติในช่วงเวลาดังกล่าว ส่งผลการผูกขาดการสร้างประวัติศาสตร์ของชนชั้นนำมากเกินไป ประวัติศาสตร์ถูกนำมารับใช้ชนชั้นนำ เช่น ประวัติศาสตร์ในสกุลดำรงราชานุภาพและประวัติศาสตร์แบบหลวงวิจิตรวาทการ สำหรับประเทศไทย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นคำที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ ๒๕๑๐ มีหลักฐานการใช้คำว่า “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” ในคำนำหนังสือ ประวัติศาสตร์อีสาน ฉบับพิมพ์ครั้งแรกของ เติม วิภาคย์พจนกิจ โดยอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๓ (ค.ศ. ๑๙๗๐) กระบวนการเคลื่อนไหวของนักศึกษามีผลกระทบต่อสังคมหลังเหตุการณ์เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ และ พ.ศ. ๒๕๑๙ ทำให้เกิดกระแสตื่นตัวทางปัญญาโดยเฉพาะการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง มีการสร้างประวัติศาสตร์แบบใหม่หรือ New History ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ คือผลของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจในประเทศไทยนับแต่เริ่มใช้แผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติในทศวรรษที่ ๕๐ เป็นต้นมา พลังของประวัติศาสตร์แบบใหม่ได้เผชิญหน้ากับสังคมและรัฐไทยแบบใหม่ แม้จะได้รับอิทธิพลวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์จากตะวันตก ซึ่งหมายถึงประวัติศาสตร์แบบใหม่หรือ New History ที่มีการศึกษาหลายแนวทาง เช่น ประวัติศาสตร์จากรากหญ้า ประวัติศาสตร์แบบใหม่ ประวัติศาสตร์สังคม ประวัติศาสตร์สภาพแวดล้อม แต่ในประเทศไทยก็ยังคงใช้คำว่า “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” แบบรวมๆ และคลุมเครือ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความวาทกรรมและในทางสังคมศาสตร์ เช่น มานุษยวิทยา มาใช้ร่วมกัน การเกิดขึ้นของประวัติศาสตร์นอกศูนย์กลางหรือประวัติศาสตร์ท้องถิ่นคลี่คลายจนมีแนวทางศึกษาอีกหลายด้าน เช่น ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์สังคม และประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เกิดแนวทางการศึกษาที่กลายเป็นการวิเคราะห์การสร้างวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ในอดีต โดยต้องการตอบโต้ “ประวัติศาสตร์แบบจารีต” [Conventional History] สร้างวิธีการศึกษาโดยปฏิเสธ ต่อต้าน รื้อประวัติศาสตร์แบบรวมศูนย์ แบบมหาราช แบบการสงคราม จนกลายเป็นการศึกษาเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้มุ่งเน้นแต่เพียงเฉพาะแต่ความสนใจแบบเดิมๆ ดังที่เคยเป็นมา New History ในประวัติศาสตร์ไทย |