4.4 วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ
วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรมพระธรรมปิฎก กล่าวว่า วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม หรือเรียกว่าคิดแบบเร้ากุศล หรือคิดแบบกุศลภาวนาเป็นวิธีคิดในแนวสะกัดกั้นหรือบรรเทาและขัดเกลาตัณหา จึงจัดได้ว่าเป็นข้อปฏิบัติระดับต้น ๆ สำหรับส่งเสริมความเจริญงอกงามแห่งกุศลธรรม และสร้างเสริมสัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกียะ หลักการทั่วไปของวิธีคิดแบบนี้ คือ ประสบการณ์คือสิ่งที่ได้ประสบหรือได้รับรู้อย่างเดียวกันบุคคลผู้ประสบหรือรับรู้ต่างกันอาจมองเห็นและคิดนึกปรุงแต่งไปคนละอย่าง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบุคคลที่ได้สะสมไว้ หรือขึ้นอยู่กับจิตนึกคิดในขณะนั้น เช่น คนหนึ่งมองสิ่งหนึ่งแล้วคิดปรุงแต่งไปในทางที่ดีงาม เป็นประโยชน์ เป็นกุศล แต่อีกคนหนึ่งกลับคิดไปในทางที่ไม่ดีไม่งาม เป็นโทษ เป็นอกุศล แม้แต่บุคคลเดียวกันมองเห็นอย่างเดียวกัน หรือประสบอารมณ์อย่างเดียวกัน แต่ต่างเวลากัน ก็อาจคิดปรุงแต่งที่แตกต่างกันก็ได้ ดังนั้น การทำใจที่ช่วยตั้งต้นและชักนำความคิดให้เป็นไปในทางที่ดีงาม และเป็นประโยชน์ เรียกว่าเป็นวิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม ซึ่งวิธีคิดแบบนี้มีความสำคัญทั้งในแง่ที่ทำให้เกิดความคิดและการกระทำที่ดีงาม เป็นประโยชน์ในขณะนั้น ๆ และในแง่ที่ช่วยแก้นิสัยความเคยชินที่คิดร้าย ๆ หรือมองโลกในแง่ร้าย ของจิตที่ได้สั่งสมไว้แต่เดิม พร้อมกับสร้างนิสัยความเคยชินใหม่ ๆ ที่ดีงามให้แก่จิตไปในเวลาเดียวกันด้วย เช่น เมื่อเราเกิดโรคร้ายแล้วคิดถึงความตาย แล้วสลดหดหู่เกิดความเศร้าความเหี่ยวแห้งใจบ้าง เกิดความหวาดหวั่นบ้าง เป็นต้น แต่ถ้าคิดให้ถูกวิธี ก็จะเกิดกุศลธรรม คือ เกิดความรู้สึกตื่นตัว กระตุ้นจิตใจ ไม่ประมาทเร่งขวนขวายปฏิบัติหน้าที่ ทำสิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์ ประพฤติธรรม ตลอดจนรู้เท่าทันความจริงที่เป็นคติธรรมของสังขาร
|