����Ըա�÷ҧ����ѵ���ʵ�� ���¶֧ ��кǹ����֡�� �鹤��� ����ͧ��������˵ء�ó�ҧ ����ѵ���ʵ�� ������ѡ�ҹ�ҧ����ѵ���ʵ�����դ�������ѹ��������§�Ѻ��������������¹�ŧ ��ѧ�� ���֡�Ҩҡ�͡��÷�����͡��ê�鹵���Ъ���ͧ����ѡ��Сͺ����红������Ҥʹ�� �繡�кǹ��������㹡�����Ǻ�������������繡�кǹ��÷��ѡ����ѵ���ʵ��������鷴�ͺ ������ԧ�ͧ�ҹ�����ҡ����Ǻ����ͧ�ؤ����� ���ͤ������§���� �����Ѵਹ �դ�Ҥ�����������٧ �������ö���繻���ª��㹡�����������ѧ����
ตีความหลักฐาน หรือการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล เป็นการทำความเข้าใจว่าหลักฐานนั้นมีความหมายอย่างไร หรือบอกข้อเท็จจริงอะไรแก่ผู้ศึกษาในการตีความหมายผู้ศึกษาต้องพยายามทำใจเป็นกลาง ไม่มีอคติ ไม่พยายามตีความเบี่ยงเบนให้ตรงกับแนวคิดหรือความเชื่อของตน การวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล เพื่อศึกษาว่าข้อมูลทั้งหลายมีความสอดคล้องหรือขัดแย้งกันอย่างไร จากนั้นนำข้อมูลทั้งหลายมาวิเคราะห์หรือแยกแยะประเด็น คือ สาเหตุ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผลของเหตุการณ์แล้วสังเคราะห์หรือรวมประเด็นต่างๆเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ตามประเด็นที่ต้องการศึกษา เรื่องราวในประวัติศาสตร์มากมาย ที่มีคำอธิบายที่หลากหลายบางครั้งคำอธิบายอาจจะแตกต่างกันตรงกันข้าม ซึ่งนักเรียนจะต้องนำมาวิเคราะห์ว่าเรื่องราวที่ควรจะเป็น หรือเรื่องราวที่น่าจะถูกต้องคืออย่างไร ไม่ใช่เชื่อในคำอธิบายใดๆในทันที การตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ การตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือ การทำความเข้าใจว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้ข้อมูลอะไร และข้อมูลนั้นมีความหมายว่าอย่างไร การตีความขั้นต้น
การตีความขั้นลึก ลักษณะของข้อมูลที่ได้จากการตีความหลักฐาน 2. 3. ความคิดเห็น เป็นสิ่งที่เกิดจากประสบการณ์ ทัศนคติ ค่านิยม อารมณ์ความรู้สึกของบุคคล แล้วแสดงออกมาให้ปรากฏเป็นคำพูดหรือข้อเขียน ซึ่งอาจมีหรือไม่มีหลักฐานประกอบก็ได้ การตรวจสอบและประเมินหลักฐาน การประเมินคุณค่าของหลักฐาน คือ การประเมินหลักฐานผู้ศึกษาประวัติศาสตร์จะใช้ในการตรวจหลักฐานว่ามีคุณค่าและความน่าเชื่อถือเพียงพอหรือไม่ก่อนที่จะนำมาใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ วิธีการประเมินความน่าเชื่อถือของหลักฐานแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ 1. การประเมินภายนอก 1. อายุของหลักฐาน การรู้ว่าหลักฐานสร้างหรือเขียนขึ้นเมื่อไร ทำให้เราตีความสำนวนภาษาที่ใช้ได้ถูกต้อง และเข้าใจสิ่งที่หลักฐานกล่าวถึงโดยอาศัยสภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ของยุคสมัยนั้นมาประกอบ 2. การประเมินภายใน พระราชพงศาวดารกรุงสยามจากต้นฉบับของบริติช มิวเซียม และ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่าสร้างเมื่อศักราช 810 ปีมะโรงสัมฤทธิศก (ตรงกับพ.ศ. 1991) หลักฐานทั้งหมดที่ยกมาเป็นหลักฐานชั้นรอง ควรหาหลักฐานชั้นต้นมาเทียบ คือ ศิลาจารึกวัดจุฬามณี ปรากฏว่าจารึกระบุว่า พระวิหารวัดจุฬามณีสร้างเมื่อ “ศักราช 826 ปีวอกนักษัตร” ตรงกับพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐฯ การประเมินภายนอกภายในเเบบภาษาง่ายๆ การประเมินภายในจะดูว่าหลักฐานนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นการเจาะลึกถึงผู้สร้าง ว่าเกี่ยยวข้องกับหลักฐานนั้นมากน้อยเพียงใดมีจุดมุ่งหมายอะไร การประเมินภายนอก ดูว่าของจริงหรือของปลอม |