ผ่อน บ้าน 2 ปี รี ไฟแนนซ์ ได้ไหม

ผ่อน บ้าน 2 ปี รี ไฟแนนซ์ ได้ไหม

ถ้าคนที่รู้จักหรือเคย รีไฟแนนซ์บ้าน ก็จะทราบกันดีว่าโดยทั่วไปแล้วเราจะรีไฟแนนซ์บ้านได้ เมื่อหลังผ่อนมาครบ 3 ปี แต่จริงๆ แล้วเหตุผลที่เราต้องรีไฟแนนซ์หลังครบ 3 ปีนั้นคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมต้องเป็นตัวเลข 3 ปี เรื่องนี้อธิบายได้ง่ายมาก วันนี้เราจะมาอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจชัดกันไปเลย

ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงบอกว่าต้องรีไฟแนนซบ้าน หลังผ่อนครบ 3 ปี ?

มีให้เห็นกันบ่อยๆ เพราะว่าบางครั้งอัตราดอกเบี้ยลอยตัวขึ้นมาแพงตั้งแต่ปีที่ 2 หรือปีที่ 3 ซึ่งพอคำนวณดูแล้ว ถ้ารีไฟแนนซ์ ไปธนาคารที่ดอกเบี้ยถูกมากจริงๆ บวกกับค่าธรรมเนียมต่างๆแล้ว ยังคุ้มกว่าทนผ่อนให้ครบ 3 ปีกับธนาคารเดิมก็มี

เป็นไปได้ไหมที่รีไฟแนนซ์หลัง 3 ปีแล้วยังโดนค่าปรับอยู่ ?

ต้องบอกว่า “มี” อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าเหตุผลที่หลายคนไม่ยอม รีไฟแนนซ์ บ้านก่อน 3 ปี เพราะเงื่อนไขในสัญญากู้ธนาคารเดิมระบุไว้ว่าจะมีการปรับเงินถ้ารีไฟแนนซ์ก่อนครบ 3 ปี แต่ก็มีบางธนาคารที่ระบุไว้ในสัญญานานกว่า 3 ปีเช่น 5 ปีหรือ 7 ปีเป็นต้น ซึ่งอาจจะแลกมาด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษตอนขอกู้ที่ถูกกว่า หรือบางคนที่ธนาคารได้ช่วยออกค่าธรรมเนียมการจดจำนองกับกรมที่ดิน จึงมีเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าห้ามรีไฟแนนซ์ก่อนครบ 5 ปี

แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าควรรอให้ครบ 3 ปีก่อนไหมถึง รีไฟแนนซ์ ?

ตรงนี้อาจจะต้องอาศัยการคำนวณเข้ามาเกี่ยวข้องนิดนึง ขอแนะนำวิธีที่ง่ายที่สุด คือให้ไปดาวน์โหลด excel เปรียบเทียบดอกเบี้ยปัจจุบัน VS อัตราดอกเบี้ยธนาคารใหม่จะรีไฟแนนซ์ และวิธีใช้ คลิกที่นี่ และดูอัตราดอกเบี้ยของธนาคารใหม่ที่จะรีไฟแนนซ์ ที่ถูกที่สุด ณ ปัจจุบันได้ที่ www.refinn.com 

ผู้เขียน : พงศธร ธนบดีภัทร ผู้ร่วมก่อตั้ง Refinn.com เว็บไซต์รีไฟแนนซ์บ้านออนไลน์

  • www.fundloan.info
  • www.moneyhub.in.th/article/refinn/

จบการศึกษาระดับปริญญาโท จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขา เคหพัฒนศาสตร์ Housing Development มีความสนใจงานด้านอสังหาริมทรัพย์ หากมีข้อแนะนำติชม สามารถแนะนำกันมาได้เลยนะคะ *v*

เพิ่มเติม

วิดีโอ แนะนำ

ผ่อน บ้าน 2 ปี รี ไฟแนนซ์ ได้ไหม




บริษัท คิดเรื่องอยู่ จำกัด (ผู้ประกอบการของ thinkofliving.com) จะไม่รับผิดชอบ หรือรับผิดต่อเนื้อหา หรือความไม่ถูกต้องใดๆในข้อมูลที่ให้ไว้ ณ ที่นี้ ดังนั้นผู้ใช้ข้อมูลจะถูกร้องขอให้ตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นอิสระกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developer) ก่อนที่จะทำการตัดสินใจใดๆที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ที่ปรากฎอยู่ ณ ที่นี้ บริษัท คิดเรื่องอยู่ จำกัด กรรมการ พนักงาน ตัวแทนและผู้แทนอื่นๆ จะไม่รับผิดชอบต่อการดำเนินการใดๆ ต้นทุน / ค่าใช้จ่าย / ความสูญเสียที่เกิดขึ้นแก่คุณ

เป็นเรื่องปกติที่แต่ละธนาคารจะนำเสนอโปรโมชันของสินเชื่อบ้าน ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำหรือเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ในช่วงปีแรก ๆ เพื่อจูงใจให้กู้เงินกับทางธนาคาร แต่พอหมดช่วงโปรโมชันอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระก็จะปรับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนด ทำให้หลาย ๆ คนมองหาแนวทางประหยัดค่าดอกเบี้ยด้วยการพยายามผ่อนชำระหนี้สินให้หมดไปเร็ว ๆ โดยเอาโบนัสหรือเงินเดือนจากการทำงานมาจ่ายเพิ่มขึ้นในแต่ละงวดเพื่อลดต้นลดดอกให้ได้มากที่สุด

ขอแนะนำให้ลองพิจารณาเรื่อง การรีไฟแนนซ์ ซึ่งเป็นการกู้เงินก้อนใหม่ไปโปะหนี้ก้อนเก่า เพื่อลดภาระการผ่อนชำระ โดยมีสินทรัพย์หรือบ้านของเราหลังเดิมเป็นตัวค้ำประกัน ที่สำคัญคือ เราต้องพยายามหาเงื่อนไขการให้กู้ยืมที่ดีกว่าเดิม เช่น ดอกเบี้ยลดลง จำนวนเงินผ่อนต่อเดือนลดลง หรือระยะเวลาผ่อนนานขึ้น โดยทั่วไปธนาคารจะมีเงื่อนไขให้รีไฟแนนซ์ได้หลังจากผ่อนบ้านไปแล้วเป็นเวลากี่ปี ซึ่งจะระบุไว้ให้ในสัญญากู้ เช่น ผ่อนชำระมาแล้วอย่างน้อย 3 - 5 ปี เป็นต้น

ถ้าจะให้ดีลองทำตาม 3 ขั้นตอน รีไฟแนนซ์อย่างไรให้มีกำไรคุ้มค่า” ก่อนตัดสินใจ ดังนี้

เนื่องจากกฎเกณฑ์ของแต่ละธนาคารไม่เหมือนกัน ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ อัตราดอกเบี้ยตลอดอายุสินเชื่อที่จะรีไฟแนนซ์จะต้องต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยตลอดสินเชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งเงื่อนไขเรื่องจำนวนเงินผ่อนต่องวดที่ลดลงและระยะเวลาการผ่อนชำระที่นานขึ้น เพื่อคำนวณว่าจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้เรามากขนาดไหน

การรีไฟแนนซ์ก็คล้ายกับการขอสินเชื่อใหม่ ดังนั้นเราก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในกระบวนการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การจดจำนองหลักประกัน 1% ของวงเงินกู้ การประเมินมูลค่าหลักประกัน การทำประกันอัคคีภัย ซึ่งหลาย ๆ ธนาคารก็มักจะยื่นข้อเสนอประเภทฟรีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้ตัดสินใจเลือกรีไฟแนนซ์ด้วย ที่สำคัญคือ ต้องตรวจสอบเงื่อนไขการไถ่ถอนสินเชื่อจากธนาคารเดิมด้วยว่า กำหนดให้สามารถรีไฟแนนซ์ได้ตั้งแต่ปีที่เท่าไรของการกู้ เพราะถ้าผิดเงื่อนไข จะต้องจ่ายค่าปรับการไถ่ถอนก่อนกำหนดด้วย

หลังจากได้ข้อมูลแหล่งเงินกู้ที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดแล้ว ก็ต้องวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจ โดยนำค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาเปรียบเทียบกับจำนวนดอกเบี้ยทั้งหมดที่เราจะประหยัดไปได้ หากดูแล้วคุ้มค่าต่อการรีไฟแนนซ์ ก็ติดต่อธนาคารและดำเนินการตามขั้นตอนได้เลย ถ้าต้องการวงเงินสินเชื่อรีไฟแนนซ์สูงกว่ายอดสินเชื่อคงเหลือเดิม ให้ลองยื่นเอกสารกับธนาคารเป้าหมายอย่างน้อย 3 แห่งขึ้นไป จากนั้นเลือกรีไฟแนนซ์กับธนาคารที่ให้วงเงินสูงที่สุด ภายใต้เงื่อนไขการผ่อนชำระและค่าธรรมเนียมที่ใกล้เคียงกัน

หลังจากผ่อนบ้านจนครบกำหนดเวลาขั้นต่ำตามสัญญาเงินกู้แล้ว เรามีโอกาสและมีสิทธิในการตัดสินใจในเรื่องการรีไฟแนนซ์ อย่างไรก็ตาม เราต้องเปรียบเทียบรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ดี เพราะไม่ได้มีแค่เรื่องของดอกเบี้ยที่ถูกลงเท่านั้น ยังมีเรื่องค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นซึ่งเราจะต้องคำนวณความคุ้มค่าก่อนตัดสินใจทุกครั้ง แต่ถ้าคำนวณแล้วเงินที่ประหยัดดอกเบี้ยไปไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายหรือค่าเสียเวลา ก็ควรเลือกชำระเงินกู้กับธนาคารเดิมจนหมดสัญญาดีกว่า

สำหรับใครที่สนใจเรียนรู้เทคนิคบริหารจัดการหนี้ ให้มีเงินเหลือใช้ และสามารถเก็บออมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตได้

สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “WMD1101 : หมดหนี้มีออม” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

ให้คะแนนเนื้อหานี้กี่คะแนน