เรียนประวัติศาสตร์ ที่ไหนดี

ภาควิชาประวัติศาสตร์ มีการจัดตั้งคณะอักษรศาสตร์ใน พ.ศ. 2460 โดยเมื่อก่อนเป็นวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาหนึ่งที่ได้จัดสอนในคณะนี้ ในฐานะเป็นวิชาพิเศษสำหรับนิสิตชั้นเตรียมแพทยศาสตร์ จนในปี พ.ศ.2515 ได้มีการแบ่งแยกแผนกวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ออกเป็น 2 แผนกวิชาต่างหากจากกัน ต่อมาเปลี่ยนจากการเรียก แผนกวิชา เป็น ภาควิชา ดังนั้นจึงเริ่มใช้คำว่า ภาควิชาประวัติศาสตร์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ภาควิชาฯ ได้ผลิตบัณฑิตทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณภาพสู่วงวิชาการ ระบบราชการ และภาคเอกชน

เรียนประวัติศาสตร์นั้นไม่ได้เรียนเพียงแต่ประวัติศาสตร์ไทย น้องๆ ยังจะได้เรียนประวัติศาสตร์ชาติอื่นรวมถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในโลก ซึ่งประวัติศาสตร์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีทั้งเปลี่ยนไปและเพิ่มขึ้น โดยในปีที่ 1 นั้นน้องๆ จะเรียนรวมกันทุกสาขาวิชาในคณะอักษรศาสตร์ อย่างวิชาการใช้ภาษาไทย, การใช้เหตุผล, ปริทัศน์ศิลปะการละคร, การค้นคว้าและการเขียนรายงาน, อารยธรรมตะวันออก,  อารยธรรมตะวันตก, วรรณคดีไทย, ภาษาทัศนา, การแปลขั้นต้น, ปรัชญาทั่วไป หรือ มนุษย์กับศาสนา พอปีสูงขึ้นก็จะได้เรียนวิชาที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับชั้นปีที่สูงขึ้นด้วย โดยมีวิชาบังคับได้แก่ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยใหม่, ประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่, ความคิดและวิธีการทางประวัติศาสตร์ ที่จะต้องเริ่มเรียนในปีที่ 2 รวมถึงวิชาเลือกอื่นๆ ด้วยที่จะต้องเรียนในปีที่ 2, 3 และ 4 โดยมีวิชาที่น่าสนใจ เช่น ประวัติศาสตร์การท่องเที่ยว, ประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมโลกมุสลิม, ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย, ประวัติศาสตร์สังคมไทย, ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับต่างประเทศ, การขยายตัวของยุโรป, ยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และประวัติศาสตร์ธุรกิจไทย เป็นต้น ซึ่งวิชาเลือกเหล่านี้ก็เป็นวิชาเรียนเลือกสำหรับผู้ทีเรียนสาขาโดยเลือกวิชาเหล่านี้เป็นวิชาโท และ ทางสาขายังเปิดโปรแกรมเกียรตินิยมให้น้องๆ ได้เลือกเรียนอีกด้วย

  น้องๆ หลายคนอาจจะคิดว่าสาขาประวัติศาสตร์เพื่ออะไร ทั้งๆที่ก็เรียนมาตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม แล้วจะเรียนประวัติศาสตร์อีกทำไม จบไปแล้วทำงานอะไร สาขาประวัติศาสตร์มีอะไรอีกมากมายให้ได้เรียนรู้ ถ้าบวกกับชอบและรักที่จะเรียนสาขานี้น้องๆ ก็จะมีความสุขกับการเรียนประวัติศาสตร์

- ด้านการสอนหนังสือเช่น ครู อาจารย์
- ด้านการนำเที่ยวและการเผยแพร่วัฒนธรรม เช่น ไกด์หรือมัคคุิเทศน์
- ด้านการบรรเทิง การแสดงทางด้านการประวัิติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น นวนิยาย ละคร ภาพยนต์ เป็นต้น
- ด้านนาฏศิลป์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ผู้ที่มีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ก็เพื่อการนำเสนอและการถ่ายทอดออกไปสู่สังคมได้อย่างถูกต้อง

ระบบรับตรง (มีนาคม)
- สำเร็จหรือกำลังศึกษาระดับชั้นม.6 ทุกแผนการเรียน
- มีผลการเรียนเฉลี่ย (GPAX) ไม่ต่ำกว่า 2.75
- มีผลคะแนนสอบ PAT1 (คณิตศาสตร์)
- มีผลสอบ 9 วิชาสามัญ (ในรายวิชาภาษาไทย, สังคมศึกษา, ภาษาอังกฤษ)
- สมัครผ่านทางเว็ปไซต์ http://www.atc.chula.ac.th

แอดมิชชัน
- GPAX 20%
- O-NET 30%
- GAT 30%
- PAT2 (วิทยาศาสตร์) 20%

เรียนประวัติศาสตร์ ที่ไหนดี

เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) นักการเมืองและนักเขียนคนสำคัญของอังกฤษ เคยกล่าวถึงความสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ไว้ว่า “those who do not know history are destined to repeat it.” “ผู้ไม่รู้ประวัติศาสตร์มักจะกระทำซ้ำรอยเดิม” หมายความว่าการศึกษาเหตุการณ์ ทัศนคติ และความเชื่อต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เป็นรากฐานที่สำคัญมากต่อการพัฒนาสังคมปัจจุบัน การศึกษาประวัติศาสตร์ในระดับปริญญา จะสอนครอบคลุมหลายหัวข้อ ตั้งแต่อารายธรรมโบราณ เช่น อารยธรรมกรีก อารยธรรมอียิปต์ อารยธรรมโรมัน ไปจนถึงเหตุการณ์ที่ร่วมสมัยมากขึ้นอย่างสงครามโลก สงครามเย็น การเคลื่อนไหวของสตรีที่เรียกร้องให้เพศหญิงมีสิทธิออกเสียง (the Suffragette movement) และอิทธิพลของเหตุการณ์เหล่านั้นที่ส่งผลมาถึงสังคมปัจจุบัน

อาชีพและโอกาสงานในอนาคต

ทักษะการวิเคราะห์ที่ได้จากการเรียนคอร์สนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำงานได้หลากหลายมาก ศิษย์เก่าหลายคนนิยมเรียนต่อในระดับการศึกษาที่สูง หรือ เข้าร่วมการอบรมเฉพาะทาง เพื่อทำงานเป็นนักวารสารศาสตร์ ทำงานด้านการสอน และทำงานด้านกฎหมาย โดยเน้นทำงานในส่วนที่ได้ใช้ความรู้วิชาประวัติศาสตร์ อย่างเช่น เขียนบทความเชิงประวัติศาสตร์ หรือ เป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ เป็นต้น

นอกจากนี้บัณฑิตส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานนอกหลักสูตร ยังนิยมทำงานในแผนกประชาสัมพันธ์ แผนกทรัพยากรมนุษย์ แผนกการตลาด และแผนกการบริหารจัดการ อีกด้วย รายได้เฉลี่ยเริ่มต้นของผู้จบสาขาวิชาประวัติศาสตร์ในประเทศอังกฤษอยู่ที่ 19,909 ปอนด์ต่อปี (ประมาณ 945,000 บาท) ประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจและมีความยืดหยุ่นในการเลือกทำงานเป็นอย่างมาก ซึ่งรายได้ก็จะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะงานที่เลือก

การสมัครเรียนสาขาประวัติศาสตร์

ในประเทศอังกฤษ ผู้สมัครสาขาวิชาประวัติศาสตร์ระดับปริญญาตรี จะต้องมีผลการเรียนระดับ 3 A-levels ขึ้นไป หรือเทียบเท่าสำหรับนักเรียนจากประเทศที่ใช้ระบบการศึกษาต่างจากประเทศอังกฤษ ส่วนในระดับปริญญาโทผู้สมัครจะต้องมีผลการเรียนระดับ 2:1 ขึ้นไป บางมหาวิทยาลัยจะพิจารณาใบสมัครของคุณเป็นพิเศษ ถ้าคุณมีความถนัดในวิชาภาษาอังกฤษ วรรณกรรมภาษาอังกฤษ กฎหมาย หรือเศรษฐศาสตร์

แต่ละมหาวิทยาลัยจะกำหนดเกณฑ์ในการรับสมัครที่ต่างกันออกไป แต่โดยมากแล้วผู้สมัครจากประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก จะต้องสอบ IELTS ได้อย่างน้อย 6.0 คะแนนขึ้นไป และสำหรับมหาวิทยาลัยบางแห่งที่มีชื่อเสียง ระดับคะแนนอาจจะเพิ่มเป็น 6.5 คะแนน

การศึกษาประวัติศาสตร์จะเน้นการวิเคราะห์เป็นหลัก และประเมินผลผู้เรียนผ่านแบบฝึกหัดงานเขียนและการสอบ ไม่ค่อยมีการปฏิบัติมากนัก หลักสูตรปริญญาตรีจะใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 3 ปี แต่ถ้าเรียนที่ประเทศสก็อตแลนด์ จะใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 4 ปี บางหลักสูตรที่ร่วมโครงการกับ Erasmus (European Community Action Scheme for the Mobility of University Students) นักศึกษาอาจจะมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศ 1 ปีด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ที่ต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ต่างประเทศ

เรียนที่ไหนดี

การเลือกสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณเรียนสาขาวิชาประวัติศาสตร์ สภาพแวดล้อมในละแวกนั้นจะมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อเนื้อหาหลักสูตร และอาจารย์ผู้สอนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ คุณควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนยื่นใบสมัคร ว่าคุณสนใจประวัติศาสตร์ด้านไหนเป็นพิเศษ และเลือกมหาวิทยาลัยให้ตรงกับความต้องการ หากสนใจประวัติศาสตร์อังกฤษในยุคกลาง คุณควรเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยอย่าง York และ Nottingham แต่ถ้าสนใจเรื่องการตั้งถิ่นฐานของชาวโรมัน มหาวิทยาลัยอย่าง Newcastle และ Durham ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

ผู้เรียนประวัติศาสตร์สามารถเลือกประกอบอาชีพได้มากมาย ซึ่งข้อสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การเลือกมหาวิทยาลัยที่มีเครือข่ายกับองค์กรชั้นนำที่คุณอยากร่วมงานด้วย อย่าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะมองการณ์ไกลถึงงานในอนาคต ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกสถานศึกษา คุณควรเลือกมหาวิทยาลัยที่มีบริการแนะนำสถานที่ทำงานนอกเวลาในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะประสบการณ์ระหว่างเรียนเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการสมัครงานในอนาคต

แต่ละมหาวิทยาลัยจะมีเงื่อนไขการรับสมัครที่ต่างกันออกไป อย่าลืมตรวจสอบคุณสมบัติของตัวเองให้ดีว่า ผ่านเกณฑ์การรับหรือไม่ และค่าธรรมเนียมการศึกษา ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง หากคุณมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ควรมองหามหาวิทยาลัยที่มีทุนสำหรับนักศึกษาขาดแคลนไว้เป็นทางเลือกหนึ่งด้วย