ท่ามกลางบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงและความต่อเนื่องทางธุรกิจ เพื่อให้องค์กรสามารถก้าวไปสู่เป้าหมายได้เป็นผลสำเร็จ รวมถึงปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่ได้ในทุกสถานการณ์ บริษัทกำหนดกรอบการบริหารความเสี่ยง (Enterprise Risk Management Framework) เพื่อใช้ในการดำเนินงานโดยอ้างอิงมาตรฐานสากล กรอบการบริหารความเสี่ยงซีพีเอฟ ทั้งนี้ ในปี 2561 บริษัทมีความเสี่ยงสำคัญและกลยุทธ์ในการจัดการความเสี่ยงรวม 7 ด้าน 1. ความเสี่ยงใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมอย่างพลิกผัน (Disruptive Innovation) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ประกอบกับการมีความคิดสร้างสรรค์ ทำให้สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโมเดลทางธุรกิจใหม่ หรือสินค้ารูปแบบใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคสมัยใหม่ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงหรือทดลองในสิ่งใหม่ง่ายขึ้น ธุรกิจหรือสินค้าใหม่จึงมีโอกาสในการขายได้มากขึ้นตามไปด้วย นวัตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ อาจส่งผลต่อโมเดลทางธุรกิจ หรือปริมาณความต้องการสินค้าที่บริษัทผลิตได้ การบริหารความเสี่ยง บริษัทตระหนักถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค และเล็งเห็นถึงความพร้อมของผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนแปลงไปทดลองสิ่งใหม่ๆ บริษัทจึงคาดว่าตลาดจะมีการแข่งขันด้านนวัตกรรมในการผลิตสินค้าและบริการที่เพิ่มสูงมากขึ้น จึงได้เตรียมการโดย
ภัยจากโลกไซเบอร์ (Cyber Crime) รูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัทพึ่งพิงเทคโนโลยีมากขึ้น มีการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้กระบวนการผลิต นำระบบงานต่างๆ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และมีการเชื่อมโยงระบบงาน และฐานข้อมูลทั้งภายในและภายนอกองค์กร ดังนั้น ระบบงาน เครือข่ายคอมพิวเตอร์ และฐานข้อมูลของบริษัทอาจถูกรุกรานจากบุคคลภายนอก โดยมุ่งหวังที่จะโจรกรรมข้อมูลสำคัญของบริษัท ลูกค้า และพนักงาน หรือมุ่งทำลายระบบความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ความน่าเชื่อถือ และชื่อเสียงของบริษัทได้ การบริหารความเสี่ยง บริษัทเล็งเห็นถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากระบบงานหยุดชะงัก หรือข้อมูลที่สำคัญโดยเฉพาะข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน เช่น สูตรอาหาร รายชื่อลูกค้า แผนกลยุทธ์ หรือข้อมูลของพนักงาน รั่วไหลออกไปยังบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง บริษัทจึงดำเนินการในเรื่องต่างๆ ดังนี้
2. ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิของโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เพราะการเพิ่มขึ้นของประชากร การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ส่งผลให้เกิดสภาวะเรือนกระจก และเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสภาวะดังกล่าวกลายเป็นวิกฤตการณ์ที่อุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารต้องเผชิญ และเป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจอย่างมากทั้งด้านการจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้มีคุณภาพตามที่กำหนด มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ และในราคาที่เหมาะสม หรือการเลี้ยงสัตว์ในสภาพอากาศที่แปรปรวน ซึ่งหากบริหารจัดการไม่เหมาะสม อาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิต และประสิทธิภาพในการเลี้ยงสัตว์ได้ การบริหารความเสี่ยง การดำเนินธุรกิจของบริษัทจะคำนึงถึงผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดกระบวนการ โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยดำเนินการในด้านต่างๆ ดังนี้
ปริมาณและความเพียงพอของน้ำ โลกเผชิญวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ภัยแล้งที่นับวันจะทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้น การดำเนินธุรกิจของบริษัท ซึ่งจำเป็นต้องใช้น้ำที่มีคุณภาพ อาจได้รับผลกระทบทั้งจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการบำบัดน้ำให้ได้ตามคุณภาพ และต้นทุนการซื้อน้ำเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ การบริหารความเสี่ยง ด้วยความสำคัญของทรัพยากรน้ำที่มีผลต่อความต่อเนื่องในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร บริษัทจึงให้ความสำคัญในการพัฒนาแหล่งน้ำ และการบริหารจัดการแหล่งน้ำในทุกขั้นตอนการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่
สิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน การเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช้แรงงานทาส แรงงานบังคับ และแรงงานที่ได้จากกระบวนการค้ามนุษย์ ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานต้องให้ความสำคัญ และปฏิบัติให้สอดคล้องตามหลักสากล แต่ห่วงโซ่อุปทานในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าและบริการสู่ผู้บริโภคนั้น มีผู้เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก เช่น เกษตรกร คู่ค้าวัตถุดิบ บริษัทในฐานะผู้ผลิตอาหารสัตว์-ตัวสัตว์-อาหาร ผู้ขนส่ง และคู่ค้าที่เป็นผู้กระจายสินค้า เป็นต้น ซึ่งอาจมีผู้เกี่ยวข้องบางรายไม่ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งจะส่งผลต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ รวมถึงการจำหน่ายสินค้าของบริษัทได้ การบริหารความเสี่ยง แรงงานบังคับในห่วงโซ่อุปทาน แรงงานต่างด้าวในห่วงโซ่อุปทาน และสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ของพนักงานและผู้รับเหมาในสถานประกอบการ เป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญของบริษัท (Salient Human Rights Issues) ดังนั้น บริษัทจึงมุ่งมั่นบริหารจัดการประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่อุปทาน เริ่มจาก
ทั้งนี้ การดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนของบริษัทสอดคล้องกับมาตรฐานสากลต่างๆ เช่น
การลงทุนและผลการดำเนินงาน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทเน้นขยายการลงทุนในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ทั้งในธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ เลี้ยงสัตว์ และธุรกิจผลิตอาหารเพื่อการบริโภค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายฐานการผลิต และลดปัญหาด้านระเบียบข้อบังคับของประเทศคู่ค้าที่มีต่อประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตหลักในธุรกิจอาหารของบริษัท ดังนั้นจึงเกิดความท้าทายตั้งแต่การตัดสินใจลงทุน จนกระทั่งธุรกิจสร้างรายได้และผลตอบแทน ซึ่งอาจมีปัจจัยต่างๆ เข้ามากระทบและส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน หรือการไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวัง เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐ การแข่งขันทางการตลาดที่เข้มข้น เป็นต้น การบริหารความเสี่ยง การตัดสินใจลงทุนของบริษัท จะมีคณะกรรมการที่พิจารณากลั่นกรองก่อนการตัดสินใจดำเนินการ ซึ่งจะพิจารณาถึงความเกี่ยวเนื่องกันหรือความสอดคล้องกันกับธุรกิจเดิมของบริษัท ความคุ้มค่าในการลงทุน ความเหมาะสมของช่วงเวลา แหล่งที่มาของเงินลงทุน รวมถึงข้อกฎหมายของประเทศนั้นๆ และในกรณีที่มีการควบรวมกิจการ จะมีกระบวนการจัดทำ Due Diligence เพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบเชิงลึกในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านกฎหมาย ด้านบัญชีและการเงิน และด้านมูลค่าทางธุรกิจของบริษัท เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ นอกจากนี้ บริษัทมีการกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินงานและเป้าหมายในแต่ละประเทศ พร้อมทั้งมีการติดตามผลการดำเนินงานเป็นระยะๆ เพื่อประเมินผลการดำเนินงานและทบทวนแผนกลยุทธ์ให้สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย 3. ความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน คุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจในอาหารที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย รวมถึงสนใจตัวช่วยในการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเน้นบริโภคอาหารที่สดใหม่ ผ่านการปรุงแต่งให้น้อยที่สุด นอกเหนือไปจากรสชาติ ความหลากหลาย และความสะดวกสบาย จากแนวโน้มพฤติกรรมเหล่านี้ จึงเกิดเป็นความท้าทายในการผลิตและจำหน่ายสินค้าของบริษัทที่ต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย คุณค่าทางโภชนาการ และความอร่อยไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งภาครัฐยังมีการออกกฎหมายอาหารเพิ่มมากขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยในอาหารที่จัดจำหน่ายในประเทศ ตลอดจนคุ้มครองผู้บริโภค ดังนั้น หากสินค้าของบริษัทมีคุณภาพ และความปลอดภัยไม่สอดคล้องตามข้อกฎหมาย หรือความคาดหวังของลูกค้า อาจทำให้ไม่สามารถจัดจำหน่ายได้ เสียชื่อเสียง และกระทบต่อผลการดำเนินงาน การบริหารความเสี่ยง บริษัทมีเจตนารมณ์ในการยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยในสินค้าตลอดกระบวนการ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของผู้บริโภค ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการให้ก้าวทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง ผ่านกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตจนกระทั่งถึงการส่งมอบสินค้าและบริการสู่มือผู้บริโภค โดย
โรคระบาดในสัตว์ โรคระบาดที่เชื่อมโยงมาสู่คน โรคระบาดในสัตว์ยังคงเป็นเหตุการณ์ที่สามารถสร้างความเสียหายต่อธุรกิจการเลี้ยงสัตว์ และธุรกิจอาหารสัตว์ได้ ซึ่งโรคที่พบในปัจจุบันก็มีทั้งโรคที่สามารถบริหารจัดการได้แล้ว หรือบางโรคอยู่ระหว่างการบริหารจัดการ เช่น โรคกุ้งตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) โรคไมโครสปอร์ลิเดียในกุ้ง (Enterocytozoon Hepatopenaei : EHP) เป็นต้น ในขณะที่ยังมีโรคที่พบการระบาดในประเทศอื่นที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การระบาดอย่างใกล้ชิด เช่น โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever) เป็นต้น เพราะหากมีการแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศ ย่อมสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรม และกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท นอกจากนี้ หากโรคระบาดนั้นสามารถติดต่อมาสู่คนได้ ธุรกิจอาหารก็จะได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคอาจกังวลในความปลอดภัย จึงชะลอ หรืองดการบริโภคในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การบริหารความเสี่ยง บริษัทมีระบบการบริหารจัดการภายใน ตั้งแต่การติดตามข้อมูลข่าวสารของโรค การค้นคว้าและวิจัยถึงปัจจัยการเกิดโรค การพัฒนาพันธุ์สัตว์ให้มีความต้านทานโรค การออกแบบระบบการเลี้ยงให้ตัวสัตว์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม รวมถึงการให้สัตว์ได้รับอาหารที่มีคุณภาพเหมาะสมกับการเจริญเติบโตในแต่ละช่วงเวลา และนำระบบเตือนภัยการระบาดของโรคเข้ามาใช้เพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถเพิ่มมาตรการบริหารจัดการในเชิงป้องกันได้อย่างทันท่วงที และหากพบการระบาดของโรค บริษัทก็มีแผนบริหารจัดการในสถานการณ์วิกฤตรองรับไว้ด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและอุตสาหกรรมในการให้ความคิดเห็น และสนับสนุนการดำเนินการต่างๆ เพื่อสกัดกั้นการแพร่กระจายของโรคที่พบในประเทศอื่น แต่ยังไม่มีการระบาดในไทย ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการด้านห่วงโซ่อุปทาน การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพในปริมาณ และช่วงเวลาที่ต้องการ แต่ห่วงโซ่อุปทานของบริษัทมีผู้เกี่ยวข้องหลายกลุ่ม และมีจำนวนมากทั้งภายนอก และภายในองค์กร ดังนั้นการบริหารจัดการให้ทุกฝ่ายมีเป้าหมายตรงกัน และปฎิบัติตามบทบาทของตน จึงกลายเป็นความท้าทายที่บริษัทจะต้องประสานความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพราะหากไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างเหมาะสมแล้ว อาจส่งผลต่อคุณภาพและความปลอดภัยในสินค้า ความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากร และความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานได้ การบริหารความเสี่ยง บริษัทมุ่งมั่นในการบริหารห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยดำเนินการในด้านต่างๆ ดังนี้
ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 1. ความผันผวนของราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ ในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐมีการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น เช่น การกำหนดสัดส่วนการนำเข้า ข้าวสาลีต่อข้าวโพดเพื่อการเลี้ยงสัตว์ที่ต้องซื้อภายในประเทศ การกำหนดภาษีนำเข้าปลาป่น และกากถั่วเหลือง การประกันราคากากถั่วเหลือง เป็นต้น จึงทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดการค้าโลก นอกจากนี้ ประเด็นด้านข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความผันผวนได้เช่นกัน ปี 2560 - 2561 ราคาเฉลี่ยของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศมีดังนี้ หน่วย: (บาท/กิโลกรัม)
การบริหารความเสี่ยง การใช้วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ที่ดี ย่อมส่งผลต่อคุณภาพของอาหารสัตว์ คุณภาพของเนื้อสัตว์ และคุณภาพของอาหารเพื่อการบริโภคที่บริษัทผลิตและขายตลอดห่วงโซ่อุปทาน บริษัทจึงให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัตถุดิบเป็นลำดับแรก ส่วนประเด็นด้านราคาเป็นประเด็นรองที่บริษัทต้องบริหารจัดการโดย
2. ความผันผวนของราคาสัตว์มีชีวิตและสินค้าเนื้อสัตว์ ภาวะที่ปริมาณตัวสัตว์และเนื้อสัตว์ ไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ย่อมส่งผลต่อความผันผวนของราคา แต่การคาดการณ์อุปทานในตลาดโลกก็เป็นไปได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การเกิดโรคระบาด ภัยธรรมชาติ หรือการขยายธุรกิจในอุตสาหกรรม จากปัจจัยดังกล่าว หากบริษัทไม่สามารถบริหารจัดการตัวสัตว์ และเนื้อสัตว์ได้อย่างเหมาะสม ย่อมส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัท การบริหารความเสี่ยง การขยายสู่ธุรกิจอาหารแปรรูป และอาหารสำเร็จรูป เป็นกลยุทธ์ในการบริหารความผันผวนของราคาสัตว์มีชีวิต และเนื้อสัตว์ที่บริษัทนำมาใช้ โดยที่บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ตลอดจนเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้ โดยบริษัทจะเน้นให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ตลาด และความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้ทราบถึงแนวโน้มความต้องการของสินค้า จากนั้นจึงนำข้อมูลมาใช้ในการค้นคว้าและพัฒนาสินค้าให้มีความโดดเด่น และแตกต่างจากคู่แข่งขันทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อให้สินค้าเป็นที่ต้องการ นอกจากนี้ บริษัทยังต้องบริหารเนื้อสัตว์ทั้งหมดด้วยการร่วมกันวางแผนการขาย การผลิต และการขยายธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนด้านราคาขาย ด้านบุคลากร บริษัทมีการดำเนินธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และมีเป้าหมายการขยายธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้นการมีบุคลากรที่มีคุณภาพจะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ตลอดจนทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืน แต่ด้วยสถานการณ์ทางธุรกิจในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการมีบุคลากรหลากหลายช่วงวัย เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมทำงานร่วมกัน บริษัทจึงจำเป็นต้องบริหารบุคลากรให้เหมาะสมตั้งแต่การสรรหาและคัดเลือก การพัฒนา การบริหารผลตอบแทนและการจูงใจให้บุคลากรยังคงอยู่ร่วมงานกับบริษัท เพื่อให้องค์กรสามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำ และสร้างความสุขให้กับพนักงาน แต่หากบริษัทไม่สามารถบริหารบุคลากรได้อย่างเหมาะสม ย่อมส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน และการขยายธุรกิจได้ การบริหารความเสี่ยง การบริหารจัดการบุคลากรเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่บริษัทให้ความสำคัญในทุกกระบวนการเพื่อให้ได้ “คนเก่ง คนดี” ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร CPF Way และสามารถนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายได้ โดยเริ่มจาก
การคอร์รัปชัน ภาครัฐมีการประกาศพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งมีการระบุฐานความผิดไว้ทั้งผู้ให้และผู้รับสินบน ดังนั้น บริษัทในฐานะนิติบุคคลแห่งหนึ่งจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว และหากบริษัทปฎิบัติไม่สอดคล้อง ย่อมส่งผลต่อการละเมิดกฎหมาย อันอาจนำมาสู่การเสียชื่อเสียง และเสียค่าปรับได้ การบริหารความเสี่ยง ภาครัฐและบริษัทมีเป้าหมายที่สอดคล้องกันในการขจัดปัญหาการคอร์รัปชัน ซึ่งทำให้เกิดต้นทุนที่ไม่จำเป็น บริษัทจึงมีการดำเนินการในด้านต่างๆ โดย
ความผันผวนของตลาดการเงิน ในช่วงปี 2561 ที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่อัตราการว่างงานลดต่ำลง อย่างไรก็ตามตลาดการเงินโลกยังคงมีความผันผวนอันเนื่องมาจากความกังวลต่อข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ประกอบกับธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกามีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจำนวน 4 ครั้ง ซึ่งปัจจัยต่างๆ ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทมีความผันผวนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ และต้นทุนการระดมทุนในตลาดการเงินปรับตัวสูงขึ้น บริษัทจึงมีการพิจารณาความเหมาะสมของการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากรายรับของบริษัทโดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศ ทั้งรายรับจากการขายของกิจการในต่างประเทศ รายรับจากการส่งออกสินค้าของกิจการในประเทศไทย ตลอดจนการได้รับเงินปันผลจากการลงทุน เป็นต้น นอกจากด้านรายรับแล้ว บริษัทก็มีรายจ่ายสกุลเงินต่างประเทศซึ่งเกิดจากการซื้อวัตถุดิบเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการผลิต การนำเข้าวัสดุสิ้นเปลือง เครื่องจักร และอุปกรณ์บางส่วน รวมถึงการมีรายจ่ายเพื่อการลงทุนในต่างประเทศ นอกจากนี้เงินกู้ยืมบางส่วนก็อยู่ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศ ดังนั้นบริษัทจึงจำเป็นต้องบริหารจัดการรายรับและรายจ่ายให้เหมาะสม รวมถึงบริหารต้นทุนการกู้ยืมเพื่อลดผลกระทบดังกล่าวข้างต้น โดยในปี 2561 ซีพีเอฟและบริษัทย่อยในประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศเป็นจำนวน 33,520 ล้านบาท หรือร้อยละ 6 ของรายได้จากการขายรวม และมีมูลค่าการนำเข้าวัตถุดิบจำนวน 25,566 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 ของต้นทุนขายรวม สำหรับการบริหารจัดการภาระดอกเบี้ยนั้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ที่ 1.68 เท่า ซึ่งในจำนวนหนี้สินทั้งหมดนั้น มีบางส่วนเกิดจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และการออกตราสารทางการเงิน ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในรูปของดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มอาจจะขยับตัวสูงขึ้นในอนาคต บริษัทจึงต้องพิจารณาทางเลือกในการระดมทุน รูปแบบการจ่ายผลตอบแทน หรือช่วงเวลาที่ต้องการระดมทุน เพื่อให้เกิดภาระด้านดอกเบี้ยจ่ายในระดับที่เหมาะสม และสอดคล้องกับนโยบายของบริษัท การบริหารความเสี่ยง บริษัทมีการกำหนดให้สายงานบัญชีและการเงินเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแล วางแผนบริหารการเงิน ตลอดจนให้คำแนะนำปรึกษากับสายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับและการใช้จ่ายเงินตราสกุลต่างประเทศ นอกจากนี้บริษัทได้กำหนดนโยบายด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยเน้นไม่แสวงหากำไร รวมถึงกระจายความเสี่ยงจากการรับหรือจ่ายเงินตราต่างประเทศเป็นแบบหลากหลายสกุลเงินที่สำคัญทั่วโลก ตลอดจนมีมาตรการในการบริหารรายได้และรายจ่ายที่เป็นเงินตราต่างประเทศในสกุลเงินต่างๆ ให้สอดคล้องกัน (Natural Hedge) สำหรับการบริหารอัตราดอกเบี้ยนั้น บริษัทจะกู้ยืมเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทำให้บริษัททราบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่บริษัทก็มีการกู้ยืมโดยมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวส่วนหนึ่ง ซึ่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินกู้ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวจำนวน 60,099 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18 ของยอดเงินกู้รวมทั้งหมด โดยหากอัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกๆ ร้อยละ 1 จะส่งผลให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 601 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังได้กำหนดนโยบายด้านอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทตามงบการเงินรวม และปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังระมัดระวังในการตัดสินใจต่างๆ จึงกำหนดให้สายงานบัญชีและการเงินติดตามภาวะอัตราดอกเบี้ย รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ การตัดสินใจในทางเลือกใดนั้นจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ หรือผู้มีอำนาจอนุมัติ ซึ่งได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในนโยบายและระเบียบปฏิบัติทางการเงิน ถึงแม้ว่าบริษัทจะกำหนดกรอบการบริหารความผันผวนทางการเงินแล้วก็ตาม แต่ในความเป็นจริง มาตรการจัดการต่างๆ ก็อาจไม่สามารถทำให้ความผันผวนทางการเงินลดลงจนอยู่ในระดับที่บริษัทยอมรับได้ บริษัทจึงอาจนำอนุพันธ์ทางการเงินเข้ามาใช้เพิ่มเติมในการจัดการกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการใช้เครื่องมือทางการเงินเหล่านี้ ต้องดำเนินการโดยผู้ได้รับมอบหมาย และผ่านความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจอนุมัติเท่านั้น ความเสี่ยงด้านกฎหมาย และระเบียบทางการค้า บริษัทดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงมีการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายทั่วโลก การปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละประเทศถือเป็นพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่ต้องปฏิบัติ ซึ่งในปัจจุบันแต่ละประเทศมีการออกกฎหมายใหม่ รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายบ่อยมากขึ้น บางครั้งกฎหมายที่ออกอาจไม่ชัดเจน ทำให้ต้องอาศัยการตีความ การใช้ภาษาต่างประเทศในกฎหมายของต่างชาติ ทำให้อาจเข้าใจได้ไม่ดีพอ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายในการดำเนินงานของบริษัทที่ต้องศึกษา ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และปฏิบัติให้สอดคล้อง เพื่อให้ยังคงได้รับสิทธิในการประกอบธุรกิจ รวมถึงลดความเสี่ยงจากการทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้ต้องจ่ายค่าปรับ ถูกสั่งปิดสถานประกอบการชั่วคราว หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาต นอกจากนี้ ประเทศคู่ค้าในปัจจุบันที่บริษัทส่งสินค้าไปจำหน่ายก็มีการออกระเบียบทางการค้า เพื่อปกป้องคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ หรือคุ้มครองสุขภาวะของประชาชน ทั้งในรูปแบบของการกำหนดภาษีศุลกากร (Tariff Barriers) และมาตรการที่มิใช่ภาษีศุลกากร (Non-tariff barriers) เช่น การกำหนดโควต้า การกำหนดมาตรฐานของสินค้าที่เข้มงวดมาก ทำให้บริษัทอาจมีค่าใช้จ่ายในการผลิตและการจัดการสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลกระทบต่อยอดขาย และความสามารถในการแข่งขัน การบริหารความเสี่ยง บริษัทมีหน่วยงานกลาง เช่น สำนักกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ สำนักความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อม และพลังงาน สำนักกฎระเบียบอาหาร สำนักประกันคุณภาพ เป็นต้น ซึ่งทำหน้าที่ติดตามกฎหมายเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้อง และสื่อสารกับผู้ปฏิบัติงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
อย่างไรก็ดี การมีหน่วยงานกำกับดูแลอาจช่วยบริษัทในการตรวจติดตามการปฏิบัติตามกฎหมายได้ระดับหนึ่ง แต่อาจไม่สามารถครอบคลุมการดำเนินธุรกิจของบริษัทได้ทั้งหมด บริษัทจึงออกแบบระบบการทำงาน และตรวจติดตามการปฏิบัติงานเพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทได้ปฎิบัติสอดคล้องตามกฎหมายของทุกประเทศที่บริษัทมีการดำเนิน ธุรกิจหรือส่งสินค้าไปจำหน่าย รวมถึงการมุ่งเน้นให้บุคลากรทุกคน มีจริยธรรม จรรยาบรรณในการทำงานผ่านการปลูกจิตสำนึกในค่านิยม CPF Way การปรับปรุงคู่มือจริยธรรมในการทำงาน และการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์และชื่อเสียงขององค์กร สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว และมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ดังนั้น หากมีข่าว หรือเหตุการณ์ด้านลบปรากฎในสื่อ ซึ่งอาจเกิดจากข่าวในอุตสาหกรรม ข่าวลือที่ไม่เป็นความจริง การเผยแพร่ข้อมูลของบริษัทที่คลาดเคลื่อน หรือเกิดจากการดำเนินธุรกิจที่ผิดพลาด หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของบริษัท การบริหารความเสี่ยง บริษัทมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส มีความรับผิดชอบต่อสังคม ทำประโยชน์ต่อชุมชน ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียอย่างเหมาะสม และปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละประเทศที่เข้าไปลงทุนและส่งสินค้าเข้าไปจำหน่าย บริษัทจึงเน้นพัฒนาบุคลากร และกระบวนการทำงานภายใน ตลอดจนดำเนินโครงการต่างๆ ผ่านการ
ความเสี่ยงจากการที่ซีพีเอฟมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นซีพีเอฟมากกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมด ณ วันที่ 7 มีนาคม 2562 บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และบริษัทย่อย ถือหุ้นซีพีเอฟรวมกันคิดเป็นร้อยละ 48.93 ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของซีพีเอฟ จึงอาจทำให้วาระที่กฎหมายหรือข้อบังคับกำหนดให้ต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ไม่ผ่านการลงมติ หากบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และบริษัทย่อยงดออกเสียงหรือลงคะแนนเสียงไม่เห็นด้วยในวาระดังกล่าว การบริหารความเสี่ยง บริษัทและคณะกรรมการบริษัทยึดมั่นในการปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และคำนึงถึงประโยชน์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญดังนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่บริษัทประกาศใช้และมีการกำหนดขั้นตอนปฏิบัติ และระดับอำนาจอนุมัติในการดำเนินการด้านต่างๆ ของบริษัทไว้ โดยหากต้องขอมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการเข้าทำรายการใดๆ ก็ตาม วาระดังกล่าวต้องผ่านการกลั่นกรองจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ก่อนที่เลขานุการบริษัทโดยได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการ จะบรรจุเข้าเป็นวาระการประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณา และให้ความเห็นในรายการนั้นๆ สำหรับประกอบการพิจารณาลงมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ ในหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นจะระบุความเห็นขอธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตมีอัตราการหมุนเวียนของแงคณะกรรมการบริษัทอย่างเพียงพอและเหมาะสม เพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้ทราบความเห็นของกรรมการต่อรายการดังกล่าว และสามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบการตัดสินใจต่อไป และจากแนวทางปฏิบัติดังกล่าว บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะออกเสียงลงคะแนนในทิศทางเดียวกันกับความเห็นของคณะกรรมการบริษัทในแต่ละวาระ นอกจากนี้ กรณีบริษัทมีการเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกันซึ่งต้องขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นที่มีส่วนได้เสียซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานกำกับดูแล จะไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในวาระดังกล่าว |