ตัวอย่าง การคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Interest Rate) กรณีที่ในสัญญาไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไว้ให้ ซึ่งข้อมูลตามสัญญาที่มีประกอบด้วย ราคาเงินสด 660,000 บาท (ราคารวมภาษี) จ่ายชำระเงินดาวน์ 258,394 บาท (รวม VAT) ผ่อนชำระเดือนละ 7,581 บาท (รวมภาษี) โดยผู้ให้เช่าซื้อคิดดอกเบี้ยอัตราคงที่ (Flat rate) เท่ากับ 2.65% และมีระยะเวลาการผ่อนชำระเท่ากับ 60 เดือน วิธีการคำนวณสามารถใช้โปรแกรม
Microsoft Excel ได้ดังนี้ เมื่อเปิดไฟล์แล้วกรอกข้อมูลพื้นฐานข้างต้นลงไป และเลือก Cell ที่ต้องการจะคำนวณอัตราดอกเบี้ย จากนั้น Nper คือจำนวนงวด (เดือน) ที่ผ่อนชำระ (เช่น 60 เดือน) Pmt คือ จำนวนเงินที่ต้องจ่ายชำระต่องวด (ไม่รวม VAT) ยกเว้นกรณีรถยนต์นั่งที่ไม่สามารถขอคืน VAT ได้(ตัวอย่างนี้คือ 7085.05 บาท) Pv คือ ราคาเงินสดหลังหักเงินดาวน์ (ตัวอย่างนี้คือ 375,332.71 บาท) FV คือมูลค่าของหนี้ที่คงเหลือ ณ วันสิ้นสุดสัญญา (อันนี้ให้กรอก 0 เพราะเมื่อผ่อนชำระครบแล้วก็ไม่มีภาระหนี้ใด ๆ เหลือ) Type คือ การจ่ายชำระจ่ายต้นเดือนหรือปลายเดือน อันนี้ให้กรอก 0 หรือไม่ต้องกรอกก็ได้ ซึ่งผลการคำนวณจากตัวอย่างจะได้ค่าเท่ากับ 0.004176643 หรือ 0.4176% ต่องวด (ทั้งหมด 60 งวด) และนำอัตรานี้ไปคูณกับเงินต้นคงเหลือแต่ละงวด จะได้ดอกเบี้ยจ่ายของแต่ละงวดที่ผ่อนชำระ คิดดอกเบี้ยนั้นมีด้วยกัน2 แบบ ด้วยกัน คือ แบบFlat rate และ แบบ Effective rate การคิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate) คือ ผู้กู้จะต้องเสียดอกเบี้ยคงที่ตลอดระยะเวลาที่ต้องผ่อนชำระ โดยทั่วไปแล้วการคิดดอกเบี้ยแบบนี้จะใช้กับการกู้ซื้อรถยนต์ สมมุติว่าคุณต้องการจะกู้เงินเป็นจำนวน 50,000 บาท ดอกเบี้ย 50,000*0.10=5000
ในสถานการณ์ที่2 (Effective Rate) คุณเข้าไปติดต่อขอกู้เพื่อซื้อบ้าน
จะเห็นนะครับว่าการจ่ายดอกเบี้ยแบบ Effective rate แม้เงินต่องวดที่ต้องจ่ายจะมากกว่าแต่ เมื่อคิดรวมเงินทั้งหมดแล้ว ยอดเงินรวมที่เราจ่ายจะน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยแบบ (Flat Rate) ต่อไปที่นี้ถ้าคุณไปกู้ก็อย่าไปหลงเชื่อนะครับถ้าเจ้าหน้าที่เขาจะบอกว่า ถ้าเขาบอกว่าอัตราดอกเบี้ยแบบ Effective rate >Flat rate มันก็จริงนะครับที่Effective rate ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากกว่า แต่เมื่อคิดยอดเงินรวมทั้งหมดที่เราต้องจ่ายแล้วจะน้อยกว่ามากครับ |