ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 :
ทนในสิ่งที่ยากจะทนให้พ้นผ่าน…ต่อให้ค่ำคืนนั้นจะมืดมิดแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วพระอาทิตย์จะกลับมาฉายแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง บทความโดย : หมอแมวน้ำเล่าเรื่อง www.marumura.com จักรวรรดิญี่ปุ่นต้องการครอบครองทวีปเอเซียและแปซิฟิกจึงเริ่มทำสงครามกับจีน ลุกลามกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปีค.ศ. 1939-1945 ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญของฝ่ายอักษะ
ทหารญี่ปุ่นมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวด้วยการยึดคติว่า “ยอมตายไม่ยอมแพ้” ทำให้สงครามภาคพื้นเอเชียแปซิฟิคไม่สามารถจบลงได้ง่าย แม้ช่วงหลังกองทัพญี่ปุ่นเริ่มพ่ายแพ้ แต่ฝ่ายทหารยังคงยืนยันว่าจะใช้แผ่นดินญี่ปุ่นเป็นสมรภูมิตัดสินแพ้ชนะในการรบครั้งนี้ ความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เป็นจุดพลิกผันให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม คือ การที่อเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกที่ฮิโรชิม่าในวันที่ 6 ส.ค. 1945 หลังจากนั้นอีก 3 วันได้ทิ้งที่นางาซากิ ทำให้มีผู้เสียชีวิตบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากและมีทรัพย์สินเสียหายมหาศาล
แต่ชาวญี่ปุ่นก็ยังนิ่งไม่ยอมแพ้ เพราะทั้งชาติเตรียมตัวตายพร้อมกันไว้แล้ว ผู้นำในชาติมีความเห็นแตกออกเป็นหลายฝ่าย สุดท้ายองค์จักรพรรดิยอมรับปฏิญญาพ็อทซ์ดัมที่ให้ทหารญี่ปุ่นยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขเพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จักรพรรดิญี่ปุ่นมีพระราชดำรัสแก่สามัญชนผ่านการกระจายเสียงทางแผ่นเสียงที่บันทึกเอาไว้ เนื้อหาที่ตรัสไม่มีคำว่า “ยอมแพ้” แม้แต่คำเดียว ถ้อยความสำคัญขององค์จักพรรดิที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นอดทนฟันฝ่าอุปสรรคจนสร้างประเทศกลับมาให้ยิ่งใหญ่ได้
คือ “อดทนในสิ่งที่เหลือจักทานทน ข่มกลั้นในสิ่งที่ยากจักข่มกลั้น เพื่อถากถางปูทางสู่มหาสันติภาพอันจักยั่งยืนสืบไปนับพันปี” หลังจบสงครามสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาปกครองปฏิรูปทางสังคมและการเมืองในญี่ปุ่นใหม่เกือบหมด สุภาษิตญี่ปุ่นที่หมอชอบมาก คือ “明けない夜はない” แปลว่า “ไม่มีคืนไหนที่จะไม่เช้า” ต่อให้ค่ำคืนนั้นจะมืดมิดแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วพระอาทิตย์จะกลับมาฉายแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีใครที่จะจมอยู่กับความทุกข์ตลอดไป หากเราอดทนต่อสู้กับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น สักวันเราจะกลับมามีความสุขได้ การที่คนเราต้องเจอกับปัญหาอุปสรรค สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราผ่านมันไปได้ คือ การที่มีความสามารถในการฟื้นตัว แม้เจอกับแรงกดดันและความเครียดระดับสูง แต่ยังมีความมั่นใจและมีความหวังในการที่จะฟื้นตัวกลับมา (resilience) เรียกสั้นๆว่า ความยืดหยุ่นทางใจ >> ทำอย่างไรให้มี “ความยืดหยุ่นทางใจ” (resilience) ที่ดี@ สร้างความเชื่อมโยงระหว่างตัวเองกับคนอื่น_ การที่เรารับรู้ได้ว่ายังมีคนที่เข้าใจและเห็นอกเห็นใจเราอยู่ ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้ง ดังนั้นการที่เรามีคนที่ช่วยเหลือประคับประคองจิตใจเราได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ _ บางคนเวลาที่เจอกับเรื่องเครียดจะแยกตัวออกไปอยู่คนเดียว สิ่งที่จะช่วยได้ คือ การพยายามฝืนออกไปเจอกันคนอื่นที่น่าจะดีกับเรา เช่น คนในครอบครัว, เพื่อน, กลุ่ม/สมาคมต่างๆ _ สังคมของคนญี่ปุ่นมักอยู่กันเป็นหมู่คณะ สามัคคี มีการให้ความช่วยเหลือกัน โดยมีการฝึกกันตั้งแต่เด็ก เช่น การทำงานกันเป็นทีม @ ดูแลสุขภาพกายและจิตใจให้ดี_ การมีสุขภาพกายที่ดีมีผลต่อสภาพจิตใจด้วย ในช่วงที่มีความเครียดร่างกายจะมีการทำงานเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นต้องกินให้อิ่ม (เป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน), นอนให้หลับ, ออกกำลังกาย, มีงานอดิเรกที่ทำแล้วผ่อนคลาย โดยที่ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น ไม่ไปใช้สารเสพติด _ ชาวญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมหลายอย่างที่ช่วยดูแลสุขภาพกายให้ดี เช่น “นอนไวตื่นเช้า”, การกินเพื่อรักษาสุขภาพ แต่ละฤดูกาล/เทศกาลจะมีอาหารพิเศษเช่น “โดโย โนะ อุชิโนะฮิ (วันทานปลาไหลของญี่ปุ่น)” ที่มีคุณค่าทางสารอาหารมากในฤดูร้อนที่มีอากาศร้อน @ ตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริง_ เมื่อเจอกับปัญหาความเครียดต้องตั้งสติให้ได้ก่อน ยอมรับอารมณ์ลบที่เกิดขึ้น เช่น โกรธ, เสียใจ, น้อยใจ หลังจากนั้นค่อยคิดว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร และจะจัดการอย่างไร ค่อยๆ วางแผนแก้ไปทีละอย่าง _ ตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้จริง เริ่มต้นจากสิ่งง่ายๆที่ทำได้ก่อน เพราะถ้าเป้าหมายยากไปจะทำให้ท้อ และคิดว่าตัวเองแย่ ไร้ความสามารถ _ เมื่อวางแผนแล้วให้ลงมือทำ ถึงแม้ตอนแรกจะยากที่ต้องฝืนทำ แต่เมื่อทำไปได้แล้วทุกอย่างจะไปได้เรื่อยๆ _ คนญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นในการทำงานสูง งานที่ได้รับแม้มีปัญหาสักเท่าใดจะต้องทำให้สำเร็จ มีการพัฒนาตนเอง เรียนรู้จากความผิดพลาดเพื่อผลักดันตัวเองให้เก่งขึ้น @ คิดในสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์_ สำรวจดูข้อเท็จจริงของเรื่องที่เกิดขึ้น นำมาเทียบกับความคิดที่มีอยู่ เช่น เรากำลังกังวลเกินกว่าเหตุไปมั้ย เราไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนเรื่องเครียดที่เข้ามาได้ แต่เราปรับมุมมองและการจัดการรับมือที่มีต่อมันได้ _ ยอมรับว่า “ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง” เพราะมันเป็นเรื่องตามธรรมชาติ หากยังทำใจตอนนี้ไม่ได้ไม่เป็นไร ให้ค่อยๆทำใจไป ไม่กดดันตัวเองเพราะปัจจัยหลายอย่างเราไม่สามารถควบคุมได้ _ มองหาความหวังที่เป็นสิ่งน่าจะเกิดขึ้นได้มากกว่าย้อนคิดอดีตที่ไม่สามารถกลับไปแก้อะไรได้ เช่น คิดโทษตัวเอง _ เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นว่าปัญหาเกิดจากอะไร เพื่อที่ครั้งหน้าจะได้หาทางป้องกันไม่ให้ผิดพลาดซ้ำแบบเดิม _ นึกถึงเรื่องดีๆในอดีตที่เราเคยเจออุปสรรคแล้วสามารถผ่านมันมาได้ เป็นการบอกกับตัวเองว่าเรามีความสามารถมากพอที่จะผ่านเรื่องร้ายๆไปได้ _ วิกฤติที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้เรียนรู้หรือสร้างทักษะใหม่ๆ เมื่อเราผ่านมันไปได้เราจะมีความภาคภูมิใจในตัวเอง _ ความเชื่อของคนญี่ปุ่น “หากทนไหว สิ่งดีงามจะรออยู่” ยามที่ต้องทุกข์ใจต้องพยายามมองในแง่ดี @ ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น_ เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง การที่เรารู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครในเรื่องนั้นได้ ถือเป็นวิธีการแก้ปัญหาแบบหนึ่ง _ หากความเครียดที่เกิดขึ้นทำให้จิตใจแย่มาก เช่น ซึมเศร้า, ท้อแท้, สิ้นหวัง, กังวลอย่างมาก, กินไม่ได้, นอนไม่หลับ, สมาธิความจำไม่ดี หรือมีอาการที่เริ่มส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิต แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์, นักจิตวิทยา ในอดีตเมื่อ 75 ปีที่ผ่านมา แม้ประเทศญี่ปุ่นจะกลายเป็นเถ้าธุลีจากสงคราม ทุกอย่างขาดแคลนและดูน่าสิ้นหวัง แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง รวมไปถึงวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นได้ช่วยส่งเสริมให้มีความยืดหยุ่นทางใจที่ดี (resilience) จนทำให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเลวร้ายมาได้ เราทุกคนสามารถฝึกให้มีความยืดหยุ่นทางใจที่ดีได้ค่ะ:)) บทความโดย :
หมอแมวน้ำเล่าเรื่อง www.marumura.com เรื่องแนะนำ : คลินิก JOY OF MINDS #ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 : ทนในสิ่งที่ยากจะทนให้พ้นผ่าน Tags :
|