สถานการณ์พลังงานของโลก 2563

🔸️นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้เปิดเผยสถานการณ์การใช้พลังงานของประเทศไทย ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ว่า การใช้พลังงานขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.01 จากการใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน/ลิกไนต์ ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า เพิ่มขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจในช่วงต้นปี ในขณะที่การใช้น้ำมันลดลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ซึ่งภาครัฐมีการประกาศใช้มาตรการต่างๆ อาทิ การทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) การจำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด และการประกาศเคอร์ฟิว เป็นต้น สำหรับสถานการณ์พลังงานเชื้อเพลิงแต่ละประเภทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 สรุปได้ดังนี้

🔸️การใช้น้ำมันสำเร็จรูป ลดลงร้อยละ 8.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดระลอก 3 ในเดือนเมษายน 2564 ต่อเนื่องมาจนถึงเดือนกันยายน  โดยการใช้น้ำมันดีเซลลดลงร้อยละ 6.5 การใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล ลดลงร้อยละ 9.2 และการใช้น้ำมันเครื่องบิน ลดลงร้อยละ 44.9 ขณะที่การใช้น้ำมันเตา เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้ในภาคขนส่ง

🔸️การใช้ LPG โพรเพน และบิวเทน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 โดยการใช้เพิ่มขึ้นจากฐานการใช้ที่ต่ำมากกว่าปกติในปี 2563 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรม มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.9 ตามการขยายตัวของการส่งออก และภาคครัวเรือน มีการใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ขณะที่ภาคขนส่ง มีการใช้ลดลงร้อยละ 16.9 จากข้อจำกัดในการเดินทางในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และการใช้เอง มีการใช้ลดลงร้อยละ 36.8

- Advertisment -

สถานการณ์พลังงานของโลก 2563

🔸️การใช้ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจยกเว้นการใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ (NGV) ทั้งนี้การใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มฟื้นตัว การใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและการใช้เป็นเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 และร้อยละ 1.6 ตามลำดับ ตามการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ขณะที่การใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ (NGV) ลดลงร้อยละ 19.7 จากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เป็นข้อจำกัดทำให้การใช้ NGV ในการเดินทางลดลง

🔸️ด้านการใช้ไฟฟ้า ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้า (System Peak) ของปี 2564 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 เวลา 14.49 น. อยู่ที่ระดับ 31,023 MW เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับปีก่อน  โดยการใช้ไฟฟ้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 143,663 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 ซึ่งการใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ร้อยละ 45 อยู่ในสาขาอุตสาหกรรม การใช้เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้การผลิตสินค้าเพื่อส่งออกขยายตัวได้ดี ส่วนการใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ส่งผลให้ยังคงมีมาตรการ Work From Home และการจำกัดการเดินทาง ขณะที่การใช้ไฟฟ้าในสาขาธุรกิจลดลงร้อยละ 7.0 จากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2563 โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน อาทิ ธุรกิจโรงแรม ห้างสรรพสินค้า และภัตตาคาร เป็นต้น

🔸️สำหรับแนวโน้มการใช้พลังงานปี 2564 สนพ. ได้มีการพยากรณ์โดยอ้างอิงสมมุติฐานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะขยายตัวร้อยละ 1.2 เนื่องจาก (1) การขยายตัวจากการส่งออกสินค้า (2) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่าย การลงทุน และมาตรการเศรษฐกิจสำคัญของภาครัฐ และ (3) ฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติของปี 2563 สำหรับราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2564 อยู่ที่ 70.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยในปี 2564 อยู่ที่ 31.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนั้นเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2564 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เผยแพร่คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2564 ว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.9  ทั้งนี้ สนพ. คาดการณ์ว่าการใช้พลังงานขั้นต้นทั้งปีจะเพิ่มเพียงร้อยละ 0.2 ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มฟื้นตัวในช่วงต้นปี และการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

📌อย่างไรก็ตาม สนพ. ยังคงจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และปัจจัยอื่นๆ ที่จะส่งผลต่อการใช้พลังงานของประเทศอย่างใกล้ชิด อาทิ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก มาตรการในการป้องกัน โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ

สถานการณ์พลังงานโลกในยุค COVID-19

สำนักงานพลังงานสากล  (The International Energy Agency: IEA) คาดการณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะทำให้ความต้องการพลังงานทั่วโลกในปีนี้ลดลงถึง 6%  ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 70 ปี หรือนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง  และเทียบเท่ากับการสูญเสียความต้องการพลังงานทั้งประเทศอินเดียซึ่งเป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก

การคาดการณ์นี้มาจากสมมติฐานที่ว่า มาตรการทิ้งระยะห่างทางสังคมจะค่อยๆ ผ่อนคลายลงในไม่กี่เดือนข้างหน้า และสภาพเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น   ซึ่งหากธุรกิจฟื้นได้เร็ว  ภาพรวมความต้องการพลังงานในปีนี้อาจจะลดลงแค่ 3.8% แต่หากสถานการณ์ COVID-19 กลับมาแพร่ระบาดอีกระลอก ความต้องการพลังงานทั่วโลกก็อาจจะลดลงมากกว่า 6%

รายงานของ IEA ระบุว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ความต้องการพลังงานทั่วโลกได้ปรับตัวลดลง 3.8 %จากปีก่อนหน้า โดยแหล่งพลังงานจากถ่านหินได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์แพร่ระบาดในจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้ถ่านหินรายใหญ่ของโลก  ขณะที่ความต้องการน้ำมันก็ดิ่งลงอย่างฮวบฮาบ เนื่องจากประมาณ 60 % ของความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกมาจากภาคการเดินทางและการบิน ดังนั้น การที่ผู้คนหันมาอยู่บ้านมากขึ้น  ในขณะที่สายการบินหยุดให้บริการ จึงส่งผลให้ความต้องการน้ำมันลดลงอย่างมาก

ในส่วนของความต้องการใช้ไฟฟ้าก็หดตัวลงเช่นกัน โดย IEA คาดว่า ความต้องการไฟฟ้าจะลดลง 5% ในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ความต้องการก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย หลังจากที่เติบโตต่อเนื่องมาตลอด 10 ปี

อย่างไรก็ตาม แหล่งพลังงานที่คาดว่าจะเติบโตในปีนี้ก็คือแหล่งพลังงานหมุนเวียน  ซึ่งมีต้นทุนต่ำและสามารถเข้าถึงได้จากหลายแหล่ง อีกทั้งยังมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ๆ  โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ การผลิตกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนเติบโตขึ้น 3% คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 28% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากระดับ 26% ของปีก่อนหน้านั้น

สำหรับในปีนี้  IEA คาดว่า การผลิตกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนจะเติบโตขึ้น 5% โดยการใช้พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1%  ซึ่งยังต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19

อย่างไรก็ดี พลังงานหมุนเวียนถือเป็นแหล่งพลังงานที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดสำหรับช่วงวิกฤต COVID-19 และยังมีแนวโน้มเติบโตได้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วหรือช้า

นอกจากนี้ การระงับดำเนินการของธุรกิจต่างๆ ยังส่งผลการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  โดยรายงานของ IEA คาดว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกในปี 2020 จะอยู่ที่ระดับ 30.6 กิกะตัน หรือลดลงเกือบ 8% จากปี 2019

ที่มา :

https://www.cnbc.com/2020/04/30/energy-demand-set-to-fall-the-most-on-record-this-year-amid-coronavirus-pandemic-iea-says.html