ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลกาภิวัตน์อยู่ตลอดเวลา ทั้งด้านเทคโนโลยี สภาวะการแข่งขัน กฎระเบียบเช่นในปัจจุบัน การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นกระบวนการบริหารจัดการที่จำเป็น และมีความสำคัญในการนำพาให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนด ดังนั้นการมีระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
จะสะท้อนถึงการบริหารจัดการที่ดี มีความโปร่งใสที่สามารถตรวจสอบได้ อันเป็นรากฐานที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้ธนาคารเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงองค์กรโดยรวม (Enterprise Risk Management) โดยได้นำแนวทางการปฏิบัติที่ดีตามหลักสากลของ Committee of Sponsoring Organizations of the Tread way Commission (COSO-ERM) รวมถึงแนวทางปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
และคู่มือปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง มาใช้เป็นกรอบแนวทางในการบริหารและจัดการความเสี่ยง เพื่อให้การปฏิบัติงานของธนาคารสอดคล้องตามหลักมาตรฐานสากลและหลักเกณฑ์ปฏิบัติที่ดี ครอบคลุมความเสี่ยงที่สำคัญทั้ง 5 ด้านของธนาคาร ได้แก่
โครงสร้างการบริหารความเสี่ยงของธนาคารธนาคารได้จัดโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงองค์กรเพื่อสนับสนุนการบริหารความเสี่ยงด้านต่าง ๆ โดยกำหนดให้หน่วยงานการบริหารความเสี่ยงมีความเป็นอิสระ แยกออกจากหน่วยงานที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงโดยตรง และกำหนดให้หน่วยงานทั้งหมดของธนาคารเป็นผู้มีบทบาทหลักในการระบุ วัด ประเมิน ควบคุม และติดตามดูแลความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่ตนรับผิดชอบในฐานะหน่วยงานเจ้าของความเสี่ยง (Risk Owner) ธนาคารได้นำแนวทาง “กลไกการป้องกันความเสี่ยง 3 ระดับ (3 Lines of Defense)” มาใช้ในการกำหนดโครงสร้างการกำกับดูแลความเสี่ยง เพื่อให้มั่นใจว่าระบบการบริหารความเสี่ยงได้พัฒนาครอบคลุมทั่วถึงทั้งองค์กรและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงของธนาคารได้ดียิ่งขึ้น ดังนี้ แนวป้องกันระดับที่ 1 (First Line of Defense) ได้แก่ หน่วยธุรกิจ (Business Unit) และหน่วยงานสนับสนุนตามสายงานธุรกิจ คือ ฝ่ายงานและสาขาต่าง ๆ มีหน้าที่โดยตรงในการจัดการและควบคุมความเสี่ยงที่เป็นกิจกรรมประจำวัน (Day to Day Process)โดยแต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่าย / สำนักเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและระบบประจำฝ่าย / สำนัก (Operational Risk Officer) เพื่อทำหน้าที่ติดตามดูแลและรายงานความเสี่ยง รวมถึงรายงานเหตุการณ์ความเสียหายผ่านระบบ Risk Integrator (RI) มายังฝ่ายบริหารความเสี่ยงเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบในภาพรวม แนวป้องกันระดับที่ 2 (Second Line of Defense) ได้แก่ คณะกรรมการธนาคาร คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยง และฝ่ายบริหารความเสี่ยง มีหน้าที่ในการกำกับดูแลและประเมินความมีประสิทธิภาพของระบบการบริหารความเสี่ยงโดยรวม (Risk Oversight) แนวป้องกันระดับที่ 3 (Third Line of Defense) ได้แก่ คณะกรรมการตรวจสอบ และกลุ่มงานตรวจสอบและกำกับ มีหน้าที่ให้ความเชื่อมั่นและประเมินประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง โดยตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการบริหารความเสี่ยงและระบบการควบคุมภายใน (Risk Assurance) เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการตรวจสอบ เพื่อให้คณะกรรมการตรวจสอบ และคณะกรรมการธนาคารมีความมั่นใจในกระบวนการตรวจสอบและประสิทธิภาพกระบวนงานของธนาคาร นอกจากนี้ ธนาคารยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงขึ้นมาอีกหลายชุด เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ และการบริหารความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ของธนาคาร อาทิ คณะกรรมการบริหารสินทรัพย์และหนี้สิน (ALCO) คณะกรรมการสินเชื่อ คณะกรรมการตลาด คณะกรรมการบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เป็นต้น การพัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยง ปี 2556ในภาพรวมของปี 2556 ธนาคารได้พัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางในการบริหารความเสี่ยงของธนาคารมีกลไกที่มีมาตรฐานสอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดี และมีกระบวนการจัดการที่ดีที่จะสนับสนุนให้ธนาคารบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีการเชื่อมโยงกระบวนการบริหารความเสี่ยงเข้ากับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ในเชิงบูรณาการให้ครอบคลุมทั่วทั้งองค์กร ดังนี้
การบริหารความเสี่ยงด้านต่าง ๆธนาคารให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ทุกด้านตามแนวทางการบริหารความเสี่ยง COSO-ERM โดยในปี 2556 ธนาคารมีการบริหารจัดการความเสี่ยงแต่ละด้าน ดังนี้ 1. การบริหารความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategic Risk) ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ หมายถึง ความเสี่ยงที่เกิดจากการกำหนดแผนกลยุทธ์ แผนดำนินงานและการนำไปปฏิบัติไม่เหมาะสม หรือไม่สอดคล้องกับปัจจัยภายในและสภาพแวดล้อมภายนอก อันส่งผลกระทบต่อรายได้ เงินกองทุน หรือการดำรงอยู่ของกิจการ ธนาคารได้ทบทวน ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการบริหารความเสี่ยงด้านกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ได้แก่
2. การบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ความเสี่ยงด้านเครดิต หมายถึง โอกาสหรือความน่าจะเป็นที่คู่สัญญา (Counter party) ของธนาคารไม่สามารถปฏิบัติตามภาระที่ตกลงไว้กับธนาคาร รวมถึงโอกาสที่คู่ค้าจะถูกปรับลดอันดับความเสี่ยงด้านเครดิต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และเงินกองทุนของธนาคาร ธนาคารดำเนินการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตผ่านเครื่องมือที่สำคัญ ดังนี้
3. การบริหารความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) ความเสี่ยงด้านตลาด หมายถึง ความเสี่ยงที่สถาบันการเงินอาจได้รับความเสียหาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของฐานะทั้งที่อยู่ในงบแสดงฐานะทางการเงิน และนอกงบแสดงฐานะทางการเงินที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ย ราคาตราสารทุน อัตราแลกเปลี่ยน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย และราคาตราสารทุนอาจเกิดจากปัจจัยตลาดทั่วไป (General Market Risk) และ / หรือปัจจัยเฉพาะของผู้ออกตราสารนั้น (Specific Risk) ธนาคารกำหนดให้หน่วยงานที่ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงด้านตลาดเป็นผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติ รวมทั้งมีการวัดและประเมินมูลค่าความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำธุรกรรม (Net Interest Income Sensitivity) และการทดสอบวิเคราะห์ ความแตกต่างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย (Repricing Gap Scenarios Analysis) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยในบัญชีเพื่อการธนาคารให้เป็นไปตามกรอบนโยบายและแนวปฏิบัติที่ดี นอกจากนี้เพื่อให้ระบบการบริหารความเสี่ยงมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ธนาคารจึงมีการทบทวนเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านตลาด ได้แก่ นโยบายเพดานความเสี่ยงและดัชนีชี้วัดความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk Limit) อาทิ Duration-Based Gap (EVE Approach), Static Repricing Gap โดยกำหนดเป้าหมายการปรับโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สิน เพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยต่อรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในอีก 1 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ธนาคารได้มีการทบทวนนโยบายและแผนการทำธุรกรรมอนุพันธ์ของธนาคารอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนการควบคุม ดูแล และประเมินโอกาสที่จะเกิดความเสียหายจากแนวโน้มปัจจัยเสี่ยง การกำหนดมาตรการจัดการความเสี่ยง และการติดตามและรายงานความเสี่ยงสำคัญที่อาจจะส่งผลกระทบต่อธนาคาร เสนอต่อคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และคณะกรรมการธนาคารอย่างสม่ำเสมอ 4. การบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หมายถึง ความเสี่ยงที่เกิดจากการที่ไม่สามารถชำระหนี้สินและภาระผูกพันเมื่อถึงกำหนด เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้ หรือไม่สามารถจัดหาเงินทุนได้เพียงพอกับปริมาณความต้องการใช้เงินของธนาคารได้ทันเวลา หรือสามารถจัดหาเงินทุนได้ แต่ด้วยต้นทุนที่สูงเกินกว่าระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และเงินกองทุน ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายในและภายนอก รวมถึงความไม่เหมาะสมของโครงสร้างสินทรัพย์ และหนี้สินของธนาคาร ธนาคารบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง โดยคณะกรรมการบริหารทรัพย์สินและหนี้สิน ทำหน้าที่ควบคุมดูแลความเพียงพอของสภาพคล่อง การจัดหาแหล่งเงินทุนด้วยต้นทุนที่สอดคล้องและเหมาะสมกับการใช้เงินทุนระยะสั้นและระยะยาว (Asset & Liability Management) เพื่อให้ภาพรวมของความเสี่ยงด้านสภาพคล่องอยู่ในเพดานความเสี่ยงที่ยอมรับได้ สำหรับมาตรการ และเครื่องมือที่ใช้บริหารจัดการสภาพคล่องให้เหมาะสม สอดคล้องกับกลยุทธ์และสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ การทบทวนนโยบาย และกำหนดดัชนีวัดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk Limit) อาทิ Liquidity Ratio, Cumulative Maturity Gap อีกทั้งยังมีการติดตามฐานะสภาพคล่องสุทธิ (Liquidity Gap Report) และการประมาณการสภาพคล่องล่วงหน้า 30 วัน นอกจากนี้ ธนาคารได้ศึกษาดัชนีชี้วัดด้านสภาพคล่อง : อัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่ไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio ตามเกณฑ์ Basel III) และมีการประเมินและติดตามรายงานความเสี่ยงด้านสภาพคล่องจากระดับสินทรัพย์สภาพคล่อง การกระจุกตัวของเงินฝาก ตลอดจนการประมาณการแนวโน้มสภาพคล่องล่วงหน้าจากปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ในกรณีต่าง ๆ การทบทวนแผนฉุกเฉินทางการเงินประจำปี (Contingency Plan) เพื่อให้ธนาคารมีความพร้อมในการรองรับภาวะวิกฤต สภาพคล่องที่อาจเกิดขึ้นและมีความมั่นใจว่าสภาพคล่องของธนาคารเพียงพอรองรับในสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนการติดตามและรายงานความเสี่ยงสำคัญที่อาจจะส่งผลกระทบต่อธนาคาร เสนอต่อคณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยง คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และคณะกรรมการธนาคารอย่างสม่ำเสมอ 5. การบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและระบบ (Operational Risk) ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและระบบหมายถึง ความเสี่ยงจากการขาดการกำกับดูแลที่ดี หรือขาดธรรมมาภิบาลในองค์กร โดยมีสาเหตุมาจากกระบวนการปฏิบัติงานภายในบุคลากร ระบบงาน หรือเหตุการณ์จากปัจจัยภายนอก และส่งผลกระทบต่อรายได้จากการดำเนินงานและเงินกองทุนของธนาคาร รวมถึงความเสี่ยงด้านกฎหมาย เช่น ความเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย ถูกทางการเปรียบเทียบปรับและความเสียหายที่ได้รับจากการตกลงนอกชั้นศาล เป็นต้น แต่ไม่รวมถึงความเสี่ยงด้านกลยุทธ์และด้านชื่อเสียง (Reputation Risk) ธนาคารบริหารความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและระบบ ภายใต้แนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดผ่าน 4 เครื่องมือสำคัญที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทุกปี ได้แก่
|