ต้องพรีเซนต์งานเป็นภาษาอังกฤษ แบบนี้จะทำยังไงดีให้การพรีเซนต์ออกมาเป๊ะปังกันนะ หลายคนน่าจะกังวลใจอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ไม่ต้องกังวลใจไป วอลล์สตรีทอิงลิช มีทริคดีๆ มากฝาก Show เตรียมร่างกายตัวเองให้พร้อม!การพรีเซนต์งาน สิ่งสำคัญอย่างแรกนอกเหนือจากเนื้อหาที่เราต้องการจะพรีเซนต์ คือการเตรียมร่างกายให้พร้อมเสมอก่อนวันพรีเซนต์ ตั้งแต่การนอนหลับให้เพียงพอ การดูแลร่างกายให้แข็งแรงไม่ป่วยไข้ก่อนการพรีเซนต์ การแต่งกายให้ดูดี เหมาะสม ก็สำคัญ แน่นอนว่าในฐานะของการเป็นผู้นำเสนอ บุคลิกภาพของเราจะต้องดูดี เสียงที่ใช้ต้องพรีเซนต์ก็ดัง ฟังชัด ไม่พูดช้า หรือเร็วไป และที่ขาดไม่ได้ก็คือการใช้ “ภาษากาย” หรือว่า “Body language” ให้เหมาะสม เช่น การผายมือไปที่สไลด์ การยืนตัวตรงปลายเท้าแยกออกจากกันและ Eye contact (การสบตา) ก็เป็นสิ่งที่ผู้นำเสนอควรมี เราควรมองผู้ฟังของเราหลายๆคนเป็นครั้งคราว อย่าจ้องเสียจนคนฟังรู้สึกเกร็งล่ะ
จัดเรียงข้อมูลที่ควรจำไว้ใช้เสมอเรียกว่าเป็นหลักการพรีเซนต์สากลเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณพรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษด้วยแล้ว อาจจทำให้หลายคนไม่มั่นใจ ตื่นเต้นเกินเหตุ กลายเป็นว่าตอนพรีเซนต์จริงพูดวกไปวนมา ดังนั้นการจัดเรียงข้อมูลจึงสำคัญมากๆ
หัดใช้ Presentation AidsPresentation Aids นั้นแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ตัวช่วยในการนำเสนอ” ซึ่งเราจะนิยมใช้ PowerPoint หรือว่า Prezi กันเป็นส่วนใหญ่ แต่เราจะต้องจำให้ขึ้นใจเลยนะว่าเจ้าพวกนี้มันเป็นเพียงตัวช่วยของเราเท่านั้น เราควรจะเป็นจุดเด่นที่สุดของการนำเสนอ นั่นคือเราควรจะเตรียมตัวมาให้พร้อม และใช้สายตามองคนดูมากกว่าที่จะมองสไลด์นะ อย่างที่เราได้พูดไปในข้อที่แล้ว ในสไลด์อาจจะใส่หัวข้อหลักๆ ประเด็นสำคัญเอาไว้ช่วยเตือนความจำเราระหว่างพรีเซนต์มากกว่า มีสคริปต์ไว้ไม่เสียหายข้อมูลที่ใช้พรีเซนต์อาจจะเยอะ ในบางครั้งคนเราอาจจะจดจำได้ไม่หมด โดยเฉพาะเมื่อพรีเซนต์ด้วยภาษาอังกฤษ อาการตื่นเต้น ประหม่า อาจจะทำให้คุณหลงลืมข้อมูล คำศัพท์ได้ ดังนั้นการมีสคริปต์ถือไว้ติดตัวจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย และทางเลือกที่ดีมากๆ โดยเฉพาะการนำเสนอที่มากกว่า 5 นาที ขึ้นไป
ส่วนขนาดของสตริปต์ ที่แนะนำนั้น ควรมีขนาดประมาณนามบัตร เพราะถ้าหากใหญ่เกินไปเราจะดูไม่เป็นมืออาชีพ แต่ในกรณีที่ต้องพรีเซนต์นานๆ มีข้อมูลเยอะเกินกว่าจะอัดลงไปในแผ่นเดียวก็แนะนำว่าเราสามารถใช้หลายแผ่น ซ้อนๆ กันไว้ได้ สำคัญคืออย่าก้มหน้าอ่าน พยายามใช้เป็นแค่เครื่องมือเตือนความจำ เตือนประเด็นหลักๆ ศัพท์ที่ชอบลืมตอนพรีเซนต์ก็พอนะ แนะนำตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่งเตรียมตัว เตรียมกาย เตรียมสคริปต์มาพร้อมที่จะพรีเซนต์แล้ว ขั้นแรกของการพรีเซนต์ให้ดี ให้ปัง คือ การแนะนำตัวให้น่าฟัง เพราะนี่คืออีกหนึ่งเสน่ห์และความสำคัญที่ผู้นำเสนอ ที่เราไม่ไม่ควรจะมองข้าม ซึ่งนอกจากแนะนำตัวแล้ว เราก็ควรจะกล่าวทักทายและพูดถึงหัวข้อที่เราจะนำเสนอสักนิด โดยคุณอาจจะเริ่มต้นจากประโยคทักทายง่ายๆ ตัวอย่าง Good morning, I am…..(ชื่อ)….., Hello everyone, …..(ชื่อ)….. is my name. Hello there, you can call me…..(ชื่อ)….. Nice to meet you here. I’m…..(ชื่อ)….. . On behalf of ….(ชื่อบริษัท)…..Company. I would like to welcome you here today. My name is …..(ชื่อ-นามสกุล)….. and I am …..(ตำแหน่งงาน)….. . (ในนามของบริษัท…. ดิฉัน/กระผม มีความยินดีต้องรับท่านผู้มีเกียรติทุกท่านในวันนี้ ดิฉัน/กระผม ..ชื่อ.. ตำแหน่ง…) Good morning/afternoon/evening ladies and gentlemen. My name is …..(ชื่อ-นามสกุล)…. .(สวัสดีท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทั้งหลาย ดิฉัน/กระผม……) และใช้ผสมกับตัวอย่างประโยคด้านล่างนี้ เพื่อเริ่มต้นการพรีเซนต์ เปิดประเด้น หรือเปิดหัวข้อที่คุณต้องการจะพรีเซนต์ได้เลย ตัวอย่างประโยค Today I am here to talk to you about….. (วันนี้ ดิฉัน/ผม จะพูดเกี่ยวกับ…..) As you all know, today I am going to talk to you about….. (อย่างที่ทุกคนทราบกันดี วันนี้ดิฉัน/ผมจะพูดถึงเรื่อง…..) I would like to take this opportunity to talk to you about… (ดิฉัน/ผม ขอถือโอกาสนี้พูดเกี่ยวกับเรื่อง…..) I am delighted to be here today to tell you about….. (ดิฉัน/ผม รู้สึกยินดีที่มาในวันนี้เพื่อที่จะพูดให้ท่านทั้งหลายฟังเกี่ยวกับ…..) Today I would like to outline….. (วันนี้ดิฉัน/ผม อยากจะพูดถึงภาพคร่าวๆในเรื่อง…..) หมั่นใช้ Signal Words และบอกผู้ฟังเสมอเมื่อเปลี่ยนหัวข้อหลังจากที่เราบอกคร่าวๆ แล้วว่าเราจะพูดเกี่ยวกับอะไร สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือเราต้องบอกคนฟังทุกครั้งว่าเรากำลังจะเริ่มกันที่หัวข้อไหน หากจบหัวข้อนี้แล้วจะต้องเปลี่ยนหัวข้อก็ต้องโดยใช้ Signal Words หรือ Signal Sentences บอกผู้ฟังเสมอ เพื่อให้ผู้ฟังตามทัน และเข้าใจสิ่งที่เราจะพรีเซนต์ โดยคุณอาจจะใช้ประโยคเหล่านี้ในการเริ่มต้นหัวข้อ หรือเปลี่ยนหัวข้อ ตัวอย่างประโยค I’m going to start with…(ชื่อหัวข้อแรก)… (เราจะไปเริ่มกันที่หัวข้อ… กันก่อน นะครับ/นะคะ) I’ve finished the first part and moving to the next one… (ตอนนี้เราจบส่วนแรกกันแล้ว และต่อไปจะเริ่มกันต่อที่หัวข้อ … ) Let’s go to the next point. (เอาล่ะ ไปหัวข้อต่อไปกันดีกว่า) Now, we are moving to the new topic. (ตอนนี้เรากำลังจะเริ่มกันที่หัวข้อใหม่) Here is the new topic. (นี่คือหัวข้อใหม่) นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ อ้อ! ถ้าหากเรามีพรีเซนต์ที่มากกว่าหนึ่งคนและเรากำลังจะต้องส่งต่อการนำเสนอนี้ให้เพื่อนของเรา เราก็ควรจะบอกคนฟังด้วยประโยคเหล่านี้ I’ve done my part and I will pass it on to Ms./Mrs./Mr./… (นี่ก็ได้จบส่วนของ ผม/ดิฉันแล้ว ต่อไปจะเป็นส่วนของคุณ … นะครับ/นะคะ) Ms./Mrs./Mr./… is going to take you to the next topic. (คุณ… จะเป็นคนมาพาคุณไปยังหัวข้อใหม่ นะครับ/นะคะ) The next topic will be spoken by Ms./Mrs./Mr./… (หัวข้อต่อไป คุณ… จะเป็นผู้มาอธิบายนะครับ/นะคะ) สรุปอีกครั้งให้ผู้ฟังเสมอสุดท้ายของการพรีดซนต์ สิ่งที่เราไม่ควรลืมเลยก็คือการสรุปนั่นเอง สรุปนี้มีความสำคัญมากๆ เพราะจะทำให้คนฟังจำได้ทุกหัวข้อว่าเราพูดเรื่องอะไรไปบ้างแล้ว นอกจากนี้คนส่วนใหญ่นั้นจะจำส่วนสุดท้ายกันได้มากที่สุด To sum up… (สรุปคือ…) So to summarise the main points of my talk… (สรุปประเด็นใหญ่ๆที่ดิฉัน/ผมพูดคือ…..) Just a quick recap of my main points… (สรุปอย่างสั้นๆเกี่ยวกับประเด็นใหญ่ๆที่ดิฉัน/ผมพูดคือ….) การสรุปที่ดีต้องกระชับ สั้น ได้ใจความ หรือเป็นการเรียงพูดถึงหัวข้อหลักๆ พร้อมส่วนเสริมอธิบายเพียงเล็กน้อยก็ได้ และหลังจากสรุปการพรีเซนต์แล้ว ถ้าจะปิดการพรีเซนต์ คุณอาจจะปิดท้ายด้วยประโยคว่า That brings the presentation to the end. Thank you for your attention. (การนำเสนอจบแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจฟังกัน นะคะ/นะครับ) Thank you all for listening, it was a pleasure being here today. (ขอขอบคุณที่ทุกท่านตั้งใจฟัง รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มาในวันนี้ ค่ะ/ครับ) อย่าลืมเปิดโอกาส และอนุญาตให้ผู้ฟังถามนอกเหนือจากการกล่าวปิด กล่าวสรุปแล้ว อย่าลืมทิ้งค้างให้ผู้ฟังเกิดความงงอยู่เพียงฝ่ายเดียว หลักการพรีเซนต์ที่ดีคุณควรเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ถามด้วย เพื่อจะได้อธิบายในส่วนที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน โดยคุณอาจจะใช้ประโยคต่อไปนี้ก็ได้เมื่อจบการพรีเซนต์แล้ว ตัวอย่างประโยค Feel free to interrupt me if there’s anything you don’t understand. (คุณสามารถถามได้เสมอ ถ้าเกิดไม่เข้าใจตรงไหนระหว่างการบรรยาย นะคะ/นะครับ) If you don’t mind, we’ll leave questions till the end. (หากคุณไม่ว่าอะไร เราขอตอบคำถามต่างๆ ในตอนท้าย นะครับ/นะคะ) If anyone has any questions, I’ll be pleased to answer them. (หากใครมีคำถามอะไร ถามได้เลย นะคะ/นะครับ ยินดีตอบ ค่ะ/ครับ) Does have anyone have any questions? (มีใครมีคำถามไหม ครับ/คะ?) I will be happy to answer your questions now (ดิฉัน/ผม มีความยินดีที่จะตอบคำถามของพวกท่านในตอนนี้) If you have any questions, please don’t hesitate to ask (ถ้ามีคำถาม กรุณาอย่าลังเลที่จะถาม นะครับ/นะคะ) If you have any further questions, I will be happy to talk to you at the end. (ถ้ามีคำถามเพิ่มเติม ดิฉันยินดีที่จะพูดคุยกับทุกท่านหลังจากนี้ ครับ/ค่ะ)
Post Views: 18,023 |