โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์ อาการ

    • โรคติดเชื้อเอชพีวี (Human Papillomavirus: HPV) พบได้มากในผู้หญิง และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อเอชพีวีจะไม่มีอาการหรือบาดแผลใด ๆ ให้เห็น  ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ และอาจแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์หรือการทำกิจกรรมทางเพศอื่น ๆ ได้ง่าย ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นกังวลว่าตนเองอาจติดเชื้อไวรัสเอชพีวีควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ ส่วนผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 9-26 ปี และไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน สามารถป้องกันโรคนี้ได้ด้วยการฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก

    • หนองในแท้ เป็นอีกโรคที่เกิดจากการทำกิจกรรมทางเพศกับผู้ที่ติดเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของโรค หากป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นอยู่ก่อนแล้วจะยิ่งเสี่ยงติดโรคหนองในแท้มากขึ้น นอกจากนี้ อาจติดเชื้อที่บริเวณอื่น ๆ นอกเหนือจากอวัยวะเพศได้ เช่น ตา คอ ทวารหนัก เป็นต้น หลายคนอาจสับสนระหว่างโรคนี้และกับโรคหนองในเทียม เนื่องจากมีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น มีหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ เจ็บปวดหรือแสบร้อนเวลาปัสสาวะ แต่ผู้ป่วยหญิงหลายคนก็ไม่มีอาการแสดงให้เห็นหรือมีอาการน้อยมาก ทั้งนี้ โรคหนองในแท้รักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ และควรพาคู่นอนเข้ารับการรักษาพร้อมกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

    • โรคคลามายเดีย หรือ โรคหนองในเทียม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบบ่อยในประเทศทางตะวันตก เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ คลามายเดีย แทรโคมาทิส (Clamydia trachomatis) ซึ่งการติดเชื้อทำให้เซลล์เยื่อบุผิวผิดปกติ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นกับเซลล์เยื่อบุต่าง ๆ เช่น องคชาติเพศชาย ช่องคลอด ปากมดลูก ท่อปัสสาวะ เป็นต้น เชื้อคลามายเดียแทรโคมาทิสนั้น ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อาจไม่แสดงอาการ แต่เชื้อเข้าสู่ร่างกายและพร้อมแพร่กระจายต่อ ทำให้โรคนี้มีอัตราการติดเชื้อที่สูงได้ ซึ่งเชื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในน้ำอสุจิของผู้ชาย และอยู่ในน้ำในช่องคลอดของผู้หญิง

    • เริมที่อวัยวะเพศ เป็นโรคจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็ก ไวรัส (Herpes Simplex Virus: HSV) ซึ่งจะเข้าไปฝังตัวบริเวณรากประสาทใกล้กับไขสันหลัง ทำให้เชื้อยังอยู่ในร่างกายแม้ในระยะที่อาการของโรคสงบลงแล้ว จึงไม่อาจรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงควบคุมอาการไม่ให้กำเริบ การติดเชื้อโรคเริมครั้งแรกนั้นมีอาการค่อนข้างรุนแรง โดยจะปรากฏตุ่มน้ำและมีอาการบวมแดงบริเวณอวัยวะเพศหรือบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ปาก ส่วนการติดเชื้อครั้งต่อไปมักไม่มีอาการรุนแรงเท่าครั้งแรก หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต อย่างไรก็ตาม โรคเริมจะแสดงอาการเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลง ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน มีความเครียด เกิดการติดเชื้อ หรือต้องใช้ยาที่ส่งผลต่อระบบภูมิค้มกัน อาจมีอาการกำเริบได้บ่อยและเป็นนานกว่าผู้ป่วยทั่วไป

    • โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียจากการทำกิจกรรมทางเพศที่สัมผัสกับแผลโดยตรง อาการของโรคมักปรากฏบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก โรคซิฟิลิสรักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาเพนิซิลลิน หากรีบเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ทว่าหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อหัวใจ สมอง หรืออวัยวะอื่น ๆ และเป็นอันตรายถึงชีวิต ทั้งยังแพร่เชื้อจากมารดาไปสู่ทารกในครรภ์ได้

    • โรคไทรโคโมนิอาสิส (Trichomoniasis) เกิดจากการติดเชื้อปรสิตชนิดหนึ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก อวัยวะเพศ และทวารหนัก โดยผู้ติดเชื้ออาจไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็นทำให้ไม่รู้ตัวและไม่ได้รับการตรวจรักษา ซึ่งจะทำให้เสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีมากขึ้นไปด้วย โรคนี้รักษาให้หายได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจซ้ำภายใน 3 เดือนหลังรับการรักษา เพราะมีความเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้

    • การติดเชื้อเอชไอวี และโรคเอดส์ โรคติดเชื้อเอชไอวีนั้นไม่สามารถรักษาให้หายได้ โดยเชื้อไวรัสชนิดนี้ติดต่อกันผ่านทางของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด อสุจิ น้ำหล่อลื่นภายในช่องคลอด หรือนมแม่ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ได้รับเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย อย่างไรก็ตาม โรคติดเชื้อเอชไอวีควบคุมอาการได้หากรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทว่าหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้การติดเชื้อรุนแรงขึ้นจนเข้าสู่ระยะเอดส์ ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโรคและส่งผลอันตรายถึงชีวิต

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “กามโรค” ชื่อก็บ่งบอกว่าสามารถติดต่อกันได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน โดยภาษาอังกฤษจะเรียกว่า STIs ย่อมาจากคำว่า Sexually Transmitted Infection นั่นเอง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นี้จะสามารถส่งต่อเชื้อผ่านทางอวัยวะเพศ ช่องคลอด ทหารหนัก ทางปาก รวมถึงการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ เช่น เลือด อสุจิ น้ำในช่องคลอด และของเหลวในร่างกายอื่นๆ ด้วย และยังหมายถึงการที่ติดต่อจากแม่สู่ลูก การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์ อาการ

โรคติดต่อทางเพสสัมพันธุ์ อาการ

พฤติกรรมใดบ้างที่เสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ ?

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ให้บริการทางเพศ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีอะไรบ้าง ?

หลักๆ แล้วโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะถูกจำแนกออกตามประเภทกลุ่มของการติดเชื้อ ได้แก่ 1. กลุ่มเชื้อแบคทีเรีย เช่น

  • ซิฟิลิส เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Treponema Pallidum ซึ่งอาศัยอยู่ได้ในทุกส่วนของร่างกาย เนื่องจากมีขนาดที่เล็กมากๆ แม้โรค ซิฟิลิส นี้อาจรู้สึกว่าไม่ได้ร้ายแรงหากเทียบกับโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ แต่มันก็ทำให้ผู้ป่วยเองรู้สึกได้ถึงความทรมานได้ไม่น้อยเหมือนกัน ยิ่งสถิติที่ผ่านมาระบุชัดเจนว่าเริ่มมีคนป่วยด้วยโรคดังกล่าวมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดใช้คำว่าในเมืองไทยโรคซิฟิลิสกำลังระบาดอย่างหนัก จึงจำเป็นต้องทำความรู้จักให้มากขึ้น
  • หนองในแท้ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Neisseria gonorrhoeae อาการหนองในระหว่างผู้หญิงและผู้ชายจะต่างกันออกไป แต่สิ่งทีเหมือนกันอย่างแรกคือเชื้อจะเริ่มแสดงอาการหลังจากได้รับเข้าสู่ร่างกายไม่เกิน 1 สัปดาห์ ทั้งนี้บางคนอาจไม่ได้มีอาการอะไรเลย
  • หนองในเทียม เกิดจากเชื้อโรคที่ชื่อว่า Chlamydia Trachomatis ได้ผ่านเข้าไปสู่ร่างกาย (เป็นเชื้อคนละตัวกับหนองในแท้) มักพบเจอได้บ่อยในกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน อย่างไรก็ตาม ในบางรายอาการของโรคจะไม่แสดงให้เห็น แต่สามารถแพร่กระจายไปติดกับผู้อื่นต่อได้หากมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกันอย่างถูกวิธี โดยทั่วไปแล้วหากเป็นหนองในเทียม อาการจะไม่หนักเท่ากับการเป็นหนองในแท้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ในการติดเชื้อและป่วยเป็นโรคนี้
  • แผลริมอ่อน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Haemophilus Ducreyi หากเกิดขึ้นกับใครก็ตามจะส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณอวัยวะเพศ มีอาการเปื่อย นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ โรคแผลริมอ่อน โดยอาการในแต่ละเพศจะมีลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เกิดความทรมานกับร่างกายไม่ต่างกัน

2. กลุ่มเชื้อไวรัส เช่น เริม หูดหงอนไก่ หูดข้าวสุก ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ไวรัสเอชพีวี (HPV)

  • เริม หรือ Herpes เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับหลายคน เมื่อเชื้อ โรคเริม ได้เข้าสู่ร่างกายแล้วจะอยู่กับคนๆ นั้นไปตลอดชีวิต โดยที่คนส่วนใหญ่เป็นกันจะเกิดจากเชื้อ 2 สายพันธุ์ คือ Herpes Simplex Virus ชนิด 1 หรือ HSV-1 กับ Herpes Simplex Virus ชนิด 2 หรือ HSV-2 จะบอกว่า โรคเริม นี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็ไม่เชิง เพราะในความจริงคนที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อก็สามารถติดได้เช่นกัน ถือว่าเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย
  • หูดหงอนไก่ เกิดจากเชื้อที่เรียกว่า Human Papilloma Virus หรือ HPV ประกอบกับมีเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุกว่า 150 สายพันธุ์ที่ถูกระบุเอาไว้เป็นตัวเลขทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่นี้ ปกติแล้วเชื้อไวรัสตัวที่พบบ่อยสุดจะเป็น HPV 6 กับ HPV 11 
  • หูดข้าวสุก เกิดจากเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum Virus (MCV) เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่วัยทารกไปจนถึงผู้สูงอายุ ความอันตรายของหูดข้าวสุก คือ ในเด็กที่มีอายุ 1-10 ปี ที่ร่างกายยังไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอ แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่ภูมิคุ้มกันแข็งแรงดีแล้ว จะช่วยกำจัดจนหูดข้าวสุก สามารถหายได้เองภายในระยะเวลา 1 ปี ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ผู้ปกครอง จึงต้องระมัดระวังอย่าให้เด็กในความดูแลเกิดโรคหูดข้าวสุกจะเป็นเรื่องดีที่สุด
  • ไวรัสตับอักเสบบี
  • ไวรัสตับอักเสบซี
  • ไวรัสเอชพีวี (HPV)

3. กลุ่มเชื้อปรสิต เช่น โลน หิด พยาธิในช่องคลอด4. กลุ่มเชื้อรา เช่น เชื้อราในช่องคลอด

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ผู้ที่ติดเชื้อกามโรคนั้น มักจะแสดงอาการแตกต่างกันออกไปตามชนิดของโรค ซึ่งอาการต่างๆ อาจเกิดขึ้นที่อวัยวะเพศอย่างเดียว หรืออวัยวะอื่นๆ ในร่างกายได้ทั้งหมด และในบางรายที่รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย อาจจะยังไม่มีอาการแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด แต่สามารถสังเกตได้จากความผิดปกติเล็กน้อยเหล่านี้ ได้แก่

  • มีผื่น ตุ่มนูน ขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือบริเวณทหารหนัก
  • ในเพศหญิงอาจมีอาการตกขาวมากกว่าปกติ มีกลิ่นหรือสีที่ผิดปกติ เช่น เหม็นคาว มีกลิ่นรุนแรง บางรายมีอาการคันในช่องคลอดติดต่อกันหลายสัปดาห์
  • ในเพศชายอาจมีน้ำเหลืองหรือน้ำหนอง ไหลออกมาจากปลายอวัยวะเพศและรู้สึกแสบขัดเวลาที่ปัสสาวะ
  • มีอาการเจ็บแสบ หรือเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ บวมโต กดแล้วรู้สึกเจ็บ
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีไข้ ร่วมกับมีอาการระคายเคืองที่อวัยวะเพศ
  • อาการผิดปกติอื่นๆ มีผื่นขึ้นตามแขนขาและลำตัว น้ำหนักลด เบื่ออาหาร

อาการของเชื้อกามโรคนั้น อาจไม่แสดงให้เห็นทันที บางรายใช้เวลา 2-3 วันจึงจะแสดงอาการ บางรายใช้เวลาเป็นปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพของร่างกายแต่ละคน นอกจากนี้ การติดเชื้อกามโรคมีความเสี่ยงสูงที่ทำให้หญิงกำลังตั้งครรภ์ เกิดการแท้งลูกหรือทำให้ทารกเสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้นหญิงตั้งครรภ์ทุกราย จึงควรได้รับการตรวจคัดกรองเชื้อและทำการรักษากามโรคก่อนทุกราย

การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ในขั้นตอนของการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยว่า ผู้ป่วยติดเชื้อชนิดใด ด้วยการซักประวัติและความเสี่ยงในการติดเชื้อ ร่วมกับการเจาะเลือด การเก็บปัสสาวะ หรือสารคัดหลั่งส่งตรวจเพื่อวินิจฉัยยืนยันในห้องปฏิบัติการที่มีผลชัดเจน หากเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจสามารถรักษาให้หายขาดได้ ยกเว้น เชื้อไวรัสอาจจะต้องดูแลสุขภาพไม่ให้เจ็บป่วยอีก เพราะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งยารักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

  1. ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือปรสิต เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส ซึ่งผู้ป่วยต้องรับประทานยาต่อเนื่องจนหมด และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายเป็นปกติ
  2. ยาต้านไวรัส (Antivirus) เช่น โรคเริม ผู้ป่วยควรได้รับยาต้านไวรัสร่วมกับการดูแลสุขภาพ และเชื้อจะยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย เมื่อไหร่ที่ร่างกายอ่อนแอ อาจจะกลับมาแสดงอาการอีกครั้ง และมีโอกาสแพร่เชื้อให้กับคู่นอนได้ด้วย ถึงแม้จะมีโอกาสต่ำ ดังนั้น ควรรับประทานยาและรักษาให้หายขาดก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ หรือต้องป้องกันทุกครั้ง

สรุปแล้วโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามารถป้องกันได้ด้วยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและเหมาะสม ซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง และหากไม่มั่นใจว่าหายขาด เชื้อกามโรคบางชนิดสามารถฉีดวัคซีนป้องกันได้ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคในอนาคตได้