1. การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา/การตั้งประเด็นที่จะศึกษา จะต้องตั้งประเด็นปัญหาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษาก่อน เพราะการตั้งประเด็นปัญหาจะช่วยกำหนดเป้าหมายในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยได้อย่างถูกต้องและตรงประเด็น การตั้งกำหนดปัญหาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษานั้นมีด้วยกันหลายอย่าง ดังนี้ “ป้อมพระจุลจอมเกล้าสร้างขึ้นมาเมื่อใด” “ใครเป็นผู้ที่สร้างป้อมพระจุลจอมเกล้านี้ขึ้น” “ป้อมพระจุลจอมเกล้าถูกสร้างขึ้นไว้ในบริเวณใด” “ป้อมพระจุลจอมเกล้าถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ใด” “ลักษณะโดยทั่วไปของป้อมพระจุลจอมเกล้าเป็นอย่างไร” “ป้อมพระจุลจอมเกล้ามีความสำคัญอย่างไรในทางประวัติศาสตร์” 2. การรวบรวมหลักฐาน/สืบค้นและรวบรวมข้อมูล ในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับป้อมพระจุลจอมเกล้านั้นผู้ที่ได้ศึกษาจะต้องทำการค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับป้อมพระจุลจอมเกล้าจากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งแหล่งข้อมูลที่สามารถรวบรวมข้อมูลหลักฐานได้นั้นมีด้วยกันหลายอย่าง เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดประชาชน หอสมุดแห่งชาติหอจดหมายเหตุแห่งชาติ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ จังหวัดสมุทรปราการ ป้อมพระจุลจอมเกล้าจังหวัดสมุทรปราการ เว็บไซต์ต่าง ๆ นิตยสาร สารคดี รวมถึงผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือเกี่ยวกับป้อมพระจุลจอมเกล้า เป็นต้น 3. การประเมินค่าของหลักฐาน/การวิเคราะห์และตีความข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เมื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานจนได้ข้อมูลที่มีความถูกต้องและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลหลักฐานเหล่านั้น ทั้งนี้ ในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับป้อมพระจุลจอมเกล้านั้น ควรใช้ข้อมูลหลักฐานที่มีความหลากหลายและจะต้องมีการเทียบเคียงข้อมูลหลักฐานหลาย ๆ อย่าง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความถูกต้องมากที่สุด และจะต้องวิเคราะห์ด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่มีอคติ 4. การวิเคราะห์ สังเคราะห์และจัดหมวดหมู่ข้อมูล เมื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลหลักฐานที่มีจนได้ข้อมูลที่มีความถูกต้องและใกล้เคียงมากที่สุดแล้ว ผู้ที่ทำการศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่มีเหล่านี้ไปใช้ในการตอบประเด็นปัญหาที่ตั้งไว้เกี่ยวกับป้อมพระจุลจอมเกล้า ดังนี้
5. การเรียบเรียงและนำเสนอข้อมูล/การเรียบเรียงรายงานข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ในการเรียบเรียงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นั้น ผู้ที่ทำการศึกษาจะต้องลำดับเรื่องราวให้มีความถูกต้องตามข้อมูลที่ได้มา และในการนำเสนอข้อมูลที่ได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นสามารถทำได้หลายวิธีการ เช่น การนำข้อมูลเกี่ยวกับป้อมพระจุลจอมเกล้ามาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง การจัดทำรายงานเกี่ยวกับป้อมพระจุลจอมเกล้าและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ การจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ความรู้ เป็นต้น 10. ตำนาน เป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาของเมือง ปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ โดยการบอกเล่าต่อๆ กันมา แล้วรวบรวมเขียนขึ้นภายหลัง ตำนานจึงมีเรื่องนิทาน คติชาวบ้านและข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ร่วมกัน เช่น ตำนานเมืองหริภุญไชย ตำนานหิรัญนคร ตำนานสิงหนวัติกุมาร ตำนานพระธาตุช่อแฮ ตำนานพระแก้วมรกต พงศาวดารโยนก เป็นต้น มีงานนิพนธ์บางเรื่องที่ใช้ชื่อเรียกว่า ตำนาน แต่ไม่ใช่ เช่น ตำนานวังหน้า ตำนานการเลิกบ่อนเบี้ย และเลิกหวย เป็นต้นแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแต่ละยุคสมัยอาจจำแนกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
การแบ่งลำดับความสำคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็น 2 ประเภท คือ
ลักษณะสำคัญของหลักฐานประวัติศาสตร์ในประเทศไทย หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทย มีอยู่หลายลักษณะ อาจแบ่งลักษณะสำคัญของหลักฐานออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. หลักฐานที่ไม่ใช่ลายลักษณ์อักษร ได้แก่
ปราสาทหินพนมรุ้ง
ปราสาทหินพิมาย 1.2 โบราณวัตถุ หมายถึง สิ่งของโบราณที่มีลักษณะต่างๆกัน สามารถนำติดตัว การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโบราณวัตถุ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังสถานที่ทางประวัติศาสตร์เสมอไป และสามารถไปศึกษาได้จากแหล่งรวบรวมทั้งของราชการ เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
เครื่องปั้นดินเผาในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง หม้อบ้านเชียง
2. หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คำว่า จารึก หมายรวมถึง หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งใช้วิธีเขียนเป็นรอยลึก ถ้าเขียนเป็นรอยลึกลงบนแผ่นหิน เรียกว่า ศิลาจารึก เช่น ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 จารึกพ่อขุนรามคำแหง ถ้าเขียนลงบนวัสดุอื่นๆ เช่น แผ่นอิฐ เรียกว่า จารึกบนแผ่นอิฐ แผ่นดีบุก เรียกว่า จารึกบนแผ่นดีบุก และการจารึกบนใบลาน นอกจากนี้ยังมีการจารึกไว้บนปูชนียสถานและปูชนียวัตถุต่างๆ โดยเรียกไปตามลักษณะของจารึกปูชนียวัตถุสถานนั้นๆ เช่น จารึกบนฐานพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย สมัยลพบุรี จารึกบนฐานพีระพุทธรูป วัดป่าข่อย จังหวัดลพบุรี
จารึกวัดโพธิ์ จังหวัดนครปฐม เรื่องราวที่จารึกไว้บนวัสดุต่างๆ ที่พบในดินแดนประเทศไทย ส่วนมากจะเป็นเรื่องราวของพระมหากษัตริย์และศาสนา จารึกเหล่านี้มีทั้งที่เป็นตัวอักษร ภาษาไทย ภาษาขอม ภาษามอญ ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต จารึกที่ค้นพบในประเทศไทยมีอยู่จำนวนมาก เช่น จารึกสมัย ทวารวดี จารึกศรีวิชัย จารึกหริภุญชัย และจารึกสุโขทัย ศิลาจารึกหลักที่ 1 จารึกพ่อขุนรามคำแหง 2.2 เอกสารพื้นเมือง เอกสารพื้นเมืองนับได้ว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่สำคัญของประเทศไทย มักปรากฏในรูปหนังสือสมุดไทย และเรียกชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น ตำนาน พงศาวดาร จดหมายเหตุ ดังมีรายละเอียด ดังนี้ 1) ตำนาน เป็นเรื่องที่เล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต เล่าสืบต่อกันมาแต่โบราณจนหาจุดกำเนิดไม่ได้ แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนเล่าเรื่องราวเป็นคนแรก สิ่งที่พอจะรู้ได้ก็คือ มีการเล่าเรื่องสืบต่อกันมาเป็นเวลานานพอสมควร จนกระทั่งมีผู้รู้หนังสือได้จดจำและบันทึกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมาจึงมีการคัดลอกตำนานเหล่านั้นเป็นทอดๆไปหลายครั้ง หลายครา ทำให้เกิดมีข้อความคลาดเคลื่อนไปเรื่อย ๆ ดังนั้น เรื่องที่ปรากฏอยู่ในตำนานจึงอาจถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเรื่องเดิม เนื้อเรื่องของตำนาน ส่วนมากเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมืองหรือชุมชนสมัยดั้งเดิมเกี่ยวกับปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ หรือเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลสำคัญ เช่น พระมหากษัตริย์ วีรบุรุษ โดยสามารถจัดประเภทของตำนานไทยได้ 3 ลักษณะ คือ 1.1) ตำนานในรูปของนิทานพื้นบ้าน เช่น เรื่องพญากง พญาพาน ท้าวแสนปม 1.2) ตำนานในรูปของการบันทึกประวัติของพระพุทธศาสนา จุดมุ่งหมายเพื่อรักษาศรัทธา ความเชื่อ สัญลักษณ์ของพุทธศาสนา เช่น ตำนานพระแก้วมรกต 1.3) ตำนานในรูปของการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมือง ราชวงศ์ กษัตริย์ และเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับมนุษย์และสัตว์ในอดีต เช่น ตำนานสิงหนวัติกุมาร 2) พงศาวดาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสให้ความหมายของพงศาวดารว่าหมายถึง เรื่องราวที่เกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งสืบสันติวงศ์ลงมาถึงเวลาที่เขียนนั้น แต่ต่อมามีการกำหนดความหมายของพงศาวดารให้กว้างออกไปอีกว่าหมายถึง การบันทึกเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับอาณาจักรและกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักร พงศาวดารจึงมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีจวบจนกระทั่งสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 4) สามารถจำแนกพงศาวดารได้ 2 ลักษณะคือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาและพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-4 ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษธิบดี (ขำ บุนนาค) พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ พงศาวดารสกลรัชกาลที่ 3) จดหมายเหตุ ในสมัยโบราณจดหมายเหตุ หมายถึง การจดบันทึกข่าวคราวหรือเหตุการณ์เรื่องหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นในวัน เดือน ปีนั้นๆ แต่ในปัจจุบันนี้ความหมายของคำว่า จดหมายเหตุได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หมายถึง เอกสารทางราชการทั้งหมด เมื่อถึงสิ้นปีจะต้องนำชิ้นที่ไม่ใช้แล้วไปรวบรวมเก็บรักษาไว้ที่กองจดหมายเหตุแห่งชาติ มีคุณค่าด้านการค้นคว้าอ้างอิงและเอกสารเหล่านี้ เมื่อมีอายุตั้งแต่ 25-50 ปีไปแล้วจึงเรียกว่า จดหมายเหตุหรือบรรณสาร การบันทึกจดหมายเหตุของไทยในสมัยโบราณ ส่วนมากบันทึกโดยผู้ที่รู้หนังสือและรู้ฤกษ์ยามดี โดยมีการบันทึกวัน เดือน ปี และฤกษ์ยามลงก่อนจึงจะจดเหตุการณ์ที่เห็นว่าสำคัญลงไว้ โดยมากจะจดในวัน เวลา ที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น หรือในวัน เวลา ที่ใกล้เคียงกันกับที่ผู้จดบันทึกได้พบเห็นเหตุการณ์นั้นๆ ด้วยเหตุนี้ เอกสารประเภทนี้จึงมักมีความถูกต้องในเรื่องวัน เดือน ปี มากกว่าหนังสืออื่นๆ เช่น จดหมายเหตุของหลวง เป็นจดหมายเหตุที่ทางฝ่ายบ้านเมืองได้บันทึกไว้เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์และบ้านเมือง จดหมายเหตุโหร เป็นเอกสารที่เกิดขึ้นเนื่องจากโหรซึ่งเป็นผู้ที่รู้หนังสือและฤกษ์ยามจดไว้ตลอดทั้งปี และมีที่ว่างไว้สำหรับใช้จดหมายเหตุต่างๆ ลงในปฏิทินนเหตุการที่โหรจดไว้ โดยมากเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับดวงดาว |