จำนวนเม็ดเลือดขาวปกติขึ้นกับอายุและภาวะมีครรภ์ ยังไม่มีตัวเลขตรงกันของแต่ละสถาบันว่าจำนวนเม็ดเลือดขาวรวมที่ปกติเป็นเท่าไร บ้างก็ใช้ตัวเลข 5,000-10,000 cells/μL (5-10 x 109/L) เพราะจำง่าย ห้องแล็บของโรงพยาบาลศิริราชใช้ตัวเลข 4,400-10,300 cells/μL (4.4-10.3 x 109/L) แต่บางคนก็มีเม็ดเลือดขาวเพียง 3,300 cells/μL มานานหลายสิบปีโดยที่ไม่มีอาการอะไร แบบนี้ถือเป็นความหลากหลายที่ปกติ (normal variation) เหมือนความสูงของคน Show และเนื่องจากเม็ดเลือดขาวมีหลายชนิด ภาวะเม็ดเลือดขาวน้อยจึงต้องแยกว่าเป็นชนิดใดน้อย เม็ดเลือดขาวที่มีความสำคัญทางคลินิกเมื่อมันลดลงคือนิวโตรฟิลและลิมโฟไซต์ เรียกว่า ภาวะ neutropenia และ lymphopenia ตามลำดับ ดังนั้นเมื่อตรวจสุขภาพพบจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดน้อย จึงต้องเอาเปอร์เซนต์ของนิวโตรฟิลและลิมโฟไซต์มาคำนวณหาจำนวนสัมบูรณ์ของมัน นิยามของภาวะเม็ดเลือดขาวน้อยจะเป็นดังนี้ Neutropeniaหมายถึง จำนวนนิวโตรฟิลสัมบูรณ์ (absolute neutrophil count, ANC) ต่ำกว่า 1,500 cells/μL ถ้าน้อยกว่า 100 cells/μL จะเรียกว่า Agranulocytosis สาเหตุอาจมาจาก
ยิ่งจำนวนนิวโตรฟิลลดลงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งติดเชื้อต่าง ๆ ง่ายขึ้นเท่านั้น Lymphopenia หรือ Lymphocytopeniaหมายถึง จำนวนลิมโฟไซต์ ต่ำกว่า 1,000 cells/μL ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเอดส์ระยะท้าย ๆ ที่ CD4 ถูกทำลายไปมาก ในคนปกติทั่วไปพบได้น้อย แต่ถ้าพบให้มองหาสาเหตุเหล่านี้
ส่วน Eosinophil, Basophil, Monocyte มีเปอร์เซนต์น้อยอยู่แล้ว ทำให้ประเมินจำนวนที่ลดลงยาก และไม่มีความสำคัญทางคลินิก การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count : CBC)
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด หรือ การตรวจซีบีซี (ภาษาอังกฤษ : Complete Blood Count หรือ CBC*) คือ การตรวจเลือดวิธีหนึ่งที่ใช้วัดสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยได้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งช่วยตรวจหาปัญหาสุขภาพหรือโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลหิตจาง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือการติดเชื้อต่าง ๆ ซึ่งในใบรายงานผลของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะมีค่าปกติกำกับมาให้อยู่แล้ว แต่อาจจะแตกต่างกันในแต่ละแล็บและโรงพยาบาล ทั้งจากเทคนิคการตรวจ ยี่ห้อเครื่องที่ใช้ตรวจ รวมถึงหน่วยหรือค่าค่าต่าง ๆ ที่ใช้รายงานผล ดังนั้น แพทย์จึงเป็นผู้แปลผลตรวจจากค่าปกติที่กำกับมาในใบรายงานผล ร่วมกับอาการและการตรวจร่างกายของผู้ป่วย หมายเหตุ : การตรวจนี้อาจมีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า Complete Blood Cell Count, Blood Profile, Hemogram, Full Blood Count (FBC) ประโยชน์ของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
คำแนะนำก่อนตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
ขั้นตอนการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดการเจาะเลือด (เพื่อตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด) จะใช้เวลาเพียง 2-3 นาที ซึ่งจะมีรายละเอียดขั้นตอน ดังนี้
ผลข้างเคียงของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะปรากฏผลการตรวจที่แตกต่างกันไปแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับจำนวนเซลล์ที่อยู่ในเลือด ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วัดผลและวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยจากการตรวจดังกล่าว โดยผู้ที่ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดอยู่ในระดับผิดปกติ อาจต้องเข้ารับการตรวจเลือดอีกครั้ง รวมทั้งอาจต้องมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อช่วยวัดและยืนยันผลการวินิจฉัย โดยผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ผลการตรวจปกติ และผลการตรวจผิดปกติ (อาจต่ำหรือสูงกว่าค่าปกติ) ซึ่งจะขอพูดลงในรายละเอียดพอสังเขปของผลการตรวจแต่ละอย่างโดยแบ่งออกเป็นแต่ละหัวเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ตั้งแต่หัวข้อด้านล่างเป็นต้นไป IMAGE SOURCE : Anette OwenWBCWBC หรือ White Blood Cell คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งบทบาทในการเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค (Antibody) เพื่อปกป้องร่างกายและทำลายจุลชีพก่อโรค เช่น เชื้อโรคหรือจุลินทรีย์ใด ๆ ที่แปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
Neutrophil (Neut, PMN, Polys)Neutrophil (นิวโตรฟิล) หรือ Polymorphonuclear neutrophil (PMN) หรือบางคลินิกก็เรียกว่า Polys ซึ่งย่อมาจาก Polymorphonuclear cells คือ เซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดหนึ่งที่มีจำนวนเป็น % มากที่สุด มีบทบาทหลักในการทำลายเชื้อโรคชนิดแบคทีเรียที่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในร่างกายด้วยกระบวนการกลืนกิน
Lymphocyte (Lymph)Lymphocyte (ลิมโฟไซต์) คือ เซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดหนึ่งที่มีจำนวนเป็น % รองลงมาจากนิวโตรฟิล โดยลิมโฟไซต์จะมีพี่น้องร่วมกำเนิดในสายพันธุ์เดียวกันที่แยกย้ายกันทำหน้าที่ในแต่ละบทบาท คือ T-cells ที่มีหน้าที่ในการทำลายจุลชีพก่อโรคทุกชนิด, B-cells ที่มีหน้าที่ในการสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกายโดยตรง, และ Natural Killer cells ที่มีหน้าที่ในการทำลายแบบไม่เลือกทั้งจุลชีพก่อโรคและบรรดาเซลล์ของร่างกายที่กลายพันธุ์ไปเป็นเซลล์มะเร็ง รวมทั้งเซลล์ที่ดีอื่น ๆ ของร่างกายที่ถูกไวรัสเข้าไปแอบหลบซ่อนอยู่ภายในด้วย
Monocyte (Mono)Monocyte (โมโนไซต์) คือ เซลล์แยกย่อยอีกชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) มีหน้าที่ในการลาดตระเวนในหลอดเลือด เมื่อได้รับการเตือนภัยจากระบบภูมิคุ้มกัน (มักจะเป็น B-cells) ว่ากำลังมีจุลชีพก่อโรคบุกรุกเข้ามาฝังตัวอยู่ตรงเนื้อเยื่อ ณ บริเวณใดของร่างกาย โมโนไซต์ตัวที่อยู่ภายในหลอดเลือดที่อยู่ใกล้ที่สุดก็จะเข้าไปเขมือบกลืนจุลชีพที่ยังไม่ทันก่อโรค รวมทั้งยังมีหน้าที่เก็บกวาด (เขมือบ) บรรดาเศษชิ้นส่วนหรือซากของจุลชีพก่อโรคที่ถูกฆ่าโดย T-cells หรือ Natural Killer cells ของลิมโฟไซต์ด้วย
Eosinophil (Eos)Eosinophil (อีโอซิโนฟิล) คือ เซลล์แยกย่อยส่วนน้อยอีกชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ที่มีประมาณ 1-4% ของ WBC มีหน้าที่สำคัญในการช่วยทำลายสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในร่างกาย โดยช่วยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ช่วยให้อาการของภูมิแพ้ลดลงหรือหมดไป
Basophil (Baso)Basophil (เบโซฟิล) คือ เซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดสุดท้ายที่มีจำนวนเป็น % น้อยที่สุด (มีเพียงประมาณ 1% ของ WBC เท่านั้น) แต่ถึงแม้จะมีจำนวนน้อย เบโซฟิลก็มีบทบาทสำคัญในการควบคุมร่างกายไม่ให้หลั่งสารฮิสตามีน (Histamine) ออกมามากจนเกินไป ในกรณีที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ (ช่วยหน่วงเวลาไว้ไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองไวเกินไปต่อผลกระทบซึ่งมาจากสารก่อภูมิแพ้ใด ๆ)
RBCRBC หรือ Red Blood Cell คือ เซลล์เม็ดเลือดแดงซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการขนส่งออกซิเจนจากปอดด้วยวิธีการให้ออกซิเจนเข้าจับที่บริเวณผิวของเม็ดเลือดแดง โดยนำพาออกไปตามหลอดเลือด ส่งให้แก่ทุกเซลล์ทั่วร่างกาย และนำพาคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซมลพิษที่เหลือจากปฏิกิริยาการเผาผลาญสร้างพลังงานของทุกเซลล์แล้วกลับคืนมาส่งให้ปอด เพื่อทิ้งออกไปนอกร่างกายในช่วงที่มนุษย์หายใจออก
Hemoglobin (Hb, HgB, HGB)Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) คือ โปรตีนที่มีสีแดงเข้มซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเม็ดเลือดแดง และถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดเนื่องจากมีหน้าที่จับออกซิเจนจากปอดไปส่งให้เซลล์ต่าง. ทั่วร่างกาย และตับเอาคาร์บอนไดออกไซด์มาคืนให้ปอดเพื่อส่งออกทิ้งไปนอกร่างกาย
Hematocrit (Hct, HCT)Hematocrit (ฮีมาโทคริต) หรือบางแห่งก็เรียกว่า “ปริมาตรเซลล์อัดแน่น” (Packed cell volume : PCV) คือ ความเข้มข้นหรือความหนาแน่นของปริมาตรเม็ดเลือดแดงที่มีอยู่ในน้ำเลือดขณะนั้น จึงเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญตัวหนึ่งของการเกิดโรคโลหิตจาง
MCVMean Corpuscular Volume หรือ MCV (เอ็มซีวี) คือ ค่าปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดง ซึ่งคำนวณได้จากค่า Hematocrit หารด้วยจำนวน RBC
MCHMean Corpuscular Hemoglobin หรือ MCH (เอ็มซีเอช) คือ ค่าน้ำหนักเฉลี่ยของเนื้อฮีโมโกลบิน (Hemoglobin)
MCHCMean Corpuscular Hemoglobin Concentration หรือ MCHC (เอ็มซีเอชซี) คือ ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของเนื้อฮีโมโกลบินภายในแต่ละเซลล์เม็ดเลือดแดง
RDWRed Cell Distribution Width หรือ RDW (อาร์ดีดับเบิ้ลยู) คือ ความกว้างของการกระจายขนาดเม็ดเลือดแดง ซึ่งในคนปกตินั้นเม็ดเลือดแดงจะมีขนาดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันหรือเหมือนกันทุกเม็ด แต่ในร่างกายของคนบางคนอาจมีขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หรือผิดขนาด
Platelet CountPlatelet Count (เพลตเล็ต เคานต์) คือ จำนวนนับเกล็ดเลือด เกล็ดเลือดมีบาทสำคัญในการช่วยหยุดยั้งการไหลของเลือดขณะเกิดบาดแผลเพื่อป้องกันการเสียเลือดมากเกินควร
MPVMean Platelet Volume หรือ MPV (เอ็มพีวี) คือ ค่าเฉลี่ยปานกลางของปริมาตรเกล็ดเลือด
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทย เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด |