การตั้งครรภ์จะไม่ถือว่าครบกำหนดอย่างสมบูรณ์จนกว่าจะครบ 39 สัปดาห์ตามข้อกำหนดใหม่ที่ได้รับการรับรองโดยวิทยาลัยสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากความเข้าใจเดิม ซึ่งถือว่าการตั้งครรภ์ครบกำหนดนับเป็นระยะเวลา 37 สัปดาห์ ซึ่งปัจจุบัน ได้เรียกการตั้งครรภ์จนถึง 37 สัปดาห์ว่าเป็นเพียงการตั้งครภ์ครบกำหนดในระยะแรก (early term)
เท่านั้นโดยผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าคุณแม่ควรทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ลูกน้อยอยู่ในครรภ์จนครบกำหนดคลอดให้เป็นไปตามธรรมชาติ ทำไมจึงต้องเปลี่ยนนิยามของการตั้งครรภ์ครบกำหนด วิธีการนับกำหนดคลอดแบบใหม่ ผลจากการค้นพบนี้ ผู้เชี่ยวชาญ ณ ปัจจุบันจะไม่พิจารณาระยะเวลาครบกำหนดจนกว่าจะครบ 39 สัปดาห์ ทารกที่เกิดในช่วงสัปดาห์ที่ 37 – 38 จะถือว่าเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนด ส่วนทารกที่เกิดในสัปดาห์ที่ 41 เป็นต้นไป จะถือเป็นทารกที่เลยกำหนดคลอด และหลังจากสัปดาห์ที่ 42 จะนับเป็นทารกที่เกินกำหนดคลอด อดทนไว้และไม่ต้องวางแผน ความอดทนทำให้เกิดการผ่าตัดฉุกเฉินน้อยลง ทำไมสัปดาห์สุดท้ายจึงมีความสำคัญ ดีต่อสมองของลูก ทั้งนี้คุณแม่ควรปรึกษาระยะเวลาคลอดที่เหมาะสมกับแพทย์อีกครั้งเนื่องจากในแต่ละครรภ์อาจมีข้อบ่งชี้ที่แตกต่างกันไป คลอดก่อนกำหนดการคลอดก่อนกำหนด หรือ การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด (Preterm labor, Premature labor) ตามคำจำกัดความขององค์การอนามัยโลก หมายถึง ทารกที่คลอดเมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ หรือ 259 วัน โดยเริ่มนับจากวันแรกของวันที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย[2],[3] ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าการคลอดก่อนกำหนด หมายถึง สตรีที่มีระยะการตั้งครรภ์ไม่ถึง 38 สัปดาห์เต็ม หรือ 266 วัน (หรือก่อนวันกำหนดวันคลอดมากกว่า 2 สัปดาห์) โดยเริ่มนับจากวันที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย[1] โดยปกติแล้วเมื่อไปฝากครรภ์แพทย์ผู้ดูแลจะคาดคะเนวันคลอดหรือวันกำหนดคลอดให้ ซึ่งอายุครรภ์ที่ครบกำหนดของคนทั่วไปจะอยู่ที่ 40 สัปดาห์ หรือ 280 วัน คือ เริ่มนับจากวันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายแล้วบวกไปอีก 280 วัน และในทางการแพทย์จะถือว่าการคลอดก่อนหรือหลังกำหนดวันคลอด 2 สัปดาห์ คือ ในระหว่าง 38-42 สัปดาห์ ยังถือว่าอยู่ในระยะการคลอดตามกำหนด การคลอดก่อนกำหนดเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ทางสูติแพทย์และกุมารแพทย์ยังพบได้อยู่ในปัจจุบันนี้ ในปี พ.ศ.2548 องค์การอนามัยโลกได้ประมาณว่ามีทารกคลอดก่อนกำหนดประมาณ 12.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 9.6% ของการคลอดทั้งหมด ส่วนในประเทศไทยมีรายงานจากโรงพยาบาลศิริราชว่า อัตราการคลอดก่อนกำหนดมีสูงถึง 12.9%[2] และยังพบว่ามีทารกที่คลอดก่อนกำหนดประมาณ 6-7 ใน 100 คน จะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม[1] ซึ่งส่วนใหญ่ทารกจะตัวเล็ก อวัยวะต่าง ๆ ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เช่น ปอดไม่เติบโตพอที่จะหายใจได้ตามปกติ ตับยังทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ตัวเหลือง หรือทารกดูดนมไม่ค่อยเก่ง เป็นต้น หมายเหตุ : หากทารกคลอดในช่วงระหว่างอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ ถึงก่อนอายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์[2] (ส่วนองค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ที่อายุครรภ์ตั้งแต่ 22 สัปดาห์ขึ้นไป[1]) จะเรียกว่า “การคลอดก่อนกําหนด” หรือ “ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด” (Preterm labor, Premature labor) และจะเรียกทารกที่เกิดแล้วว่า “ทารกคลอดก่อนกำหนด” (Preterm infant, Premature infant, Preemie, Premie) ถ้าทารกมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม จะเรียกว่า “ทารกน้ำหนักน้อย” แต่ถ้ามีน้ำหนักเฉลี่ยน้อยกว่า 1,500 กรัม จะเรียกว่า “ทารกมีน้ำหนักตัวน้อยมาก” ส่วนทารกที่คลอดก่อนอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ซึ่งมักเสียชีวิต จะเรียกว่า “การแท้ง” (Abortion)[2] (บางข้อมูลใช้เกณฑ์การคลอดที่อายุครรภ์ต่ำกว่า 20 สัปดาห์ถือเป็นการแท้ง) อันตรายจากการคลอดก่อนกำหนดทารกที่คลอดก่อนกำหนดน้อย ๆ เช่น 1-2 สัปดาห์ หรือคลอดสัปดาห์ที่ 35-36 ส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหาอะไร แต่ทารกที่มีปัญหามาก ๆ จะเป็นทารกที่คลอดก่อนกว่ากำหนดมาก ทำให้ทารกมีน้ำหนักตัวน้อยมาก (น้อยกว่า 1,500 กรัม) ซึ่งทารกในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นทารกที่คลอดเมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ 32-33 สัปดาห์ และยิ่งถ้าคลอดก่อนกำหนดมากขึ้นเท่าไรปัญหาก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น “เนื่องจากอวัยวะต่าง ๆ ของทารกที่คลอดก่อนกำหนดยังเจริญเติบโตได้ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้อัตราการตายของทารกมีสูงมากกว่าทารกที่คลอดครบกำหนดถึง 3 เท่า และยังพบว่าทารกแรกคลอดจำนวน 2 ใน 3 ที่เสียชีวิตในเดือนแรกเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนด[1]“ การคลอดก่อนกำหนดเป็นความผิดปกติทางสูติกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ทารกเสียชีวิตและมีความพิการสูง ซึ่งปัญหาของทารกที่คลอดก่อนกำหนดก็มีมากมาย เช่น มีน้ำหนักตัวน้อย การขยายตัวของปอดไม่สมบูรณ์ทำให้มีปัญหาในการหายใจ มีปัญหาเลือดออกในสมอง เกิดการติดเชื้อ มีพัฒนาการทางด้านร่างกายไม่ดี และสมองอาจมีความพิการได้ง่าย ส่วนทารกกลุ่มที่มีน้ำหนักตัวน้อย นอกจากจะต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานและทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการดูแลสูงแล้ว ยังพบว่ามีผลหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายของทารกในระยะยาวอีกด้วย เช่น ทารกมีปัญหาด้านสติปัญญา สายตา และมักมีสุขภาพไม่แข็งแรง แม้ว่าจะผ่านช่วงที่มีปัญหาระยะเฉียบพลันหรือระยะแรกคลอดไปได้ก็ตาม (ความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ที่เด็กเกิด)[2] ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าแม้ทารกแรกเกิดจะมีสุขภาพปกติดีก็ตาม แต่พัฒนาการก็จะไม่เท่ากับทารกที่คลอดครบกำหนด คือ เด็กมักจะอ่อนแอ ดูแลได้ยาก กินอาหารแล้วย่อยได้ยาก และมีการเจริญเติบโตช้ากว่าเด็กปกติ[1] อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรงพยาบาลจะสามารถเลี้ยงเด็กทารกน้ำหนักน้อยให้รอดมาได้และส่วนใหญ่ก็ปกติและแข็งแรงดี แต่ก็มีเด็กส่วนหนึ่งที่มีความพิการ ปัญญาอ่อน สมองเสื่อม หูหนวก ตาบอด ซึ่งเหล่านี้จะเป็นภาระอันใหญ่หลวงตามมาต่อครอบครัวและสังคม สำหรับการคลอดก่อนกำหนดนั้นจะส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายทารก ดังนี้
สำหรับผลกระทบต่อคุณแม่หลังคลอด โดยทั่วไปมักไม่มีผลต่อร่างกายมากนัก เนื่องจากทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะมีน้ำหนักตัวน้อย จึงทำให้คลอดได้ง่าย ความช้ำในช่องคลอดมีน้อย แผลหายไว เพียงแต่จะมีปัญหาในเรื่องของจิตใจเสียมากกว่า (แต่บางกรณีก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อและเสียเลือดมากได้) ซึ่งจะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อสุขภาพโดยรวมของคุณแม่ได้ เช่น คุณแม่มีความเครียดสูง กลัวเลี้ยงลูกไม่รอด กลัวลูกไม่แข็งแรงสมบูรณ์ กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ซึ่งหากเครียดมากก็อาจทำให้คุณแม่เกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด รับประทานอาหารได้น้อยลง ไม่ดูแลตัวเอง นอกจากนี้การที่ทารกมีอายุครรภ์อ่อนมาก ๆ คุณแม่ก็ไม่สามารถให้นมบุตรได้เอง จึงส่งผลให้การสร้างน้ำนมลดลง เป็นต้น ส่วนผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป คือ คุณแม่จะมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้สูงขึ้นกว่าคนทั่วไปอย่างมาก ดังนั้นจึงควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุนี้ แพทย์จึงจำเป็นต้องหาวิธีต่าง ๆ ที่จะช่วยลดการคลอดก่อนกำหนดให้ได้มากที่สุด และถ้าจำเป็นต้องให้คลอดก่อนกำหนด ก็จะต้องหาวิธีทำให้ทารกสมบูรณ์พอที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการเลี้ยงดู (หรือถ้าจะเกิดก็ขอให้น้อยที่สุด) โดยมีหลักการสังเกตง่าย ๆ ว่าถ้าสามารถให้ทารกเจริญเติบโตในครรภ์ได้อีกสักระยะ โอกาสที่ทารกจะเกิดมาแล้วไม่แข็งแรงหรือเสียชีวิตก็มีน้อยลง เพราะโดยปกติแล้วทารกในครรภ์จะใช้เวลาในช่วง 2 เดือนสุดท้ายเพื่อปรับตัวให้พร้อมที่จะออกมาสู่โลกภายนอก ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าทารกจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (100-200 กรัมต่อสัปดาห์) ควบคุมการหายใจได้ดี ร่างกายจะดูดซึมเอาแคลเซียมจากเลือดของแม่มาสร้างกระดูก มีไขมันจับตามใต้ผิวหนังเพื่อควบคุมอุณหภูมิของร่างกายไม่ให้ร้อนหรือหนาวจนเกินไป จึงทำให้ทารกที่เกิดมามีชีวิตรอดได้ ดังนั้น ถ้าสามารถประคับประคองให้ทารกอยู่ในครรภ์ได้จนกว่าจะใกล้วันคลอดได้นานเท่าไร ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อทารกมากขึ้นเท่านั้น อายุครรภ์กับโอกาสรอดของทารกในอดีต หากทารกคลอดออกมาที่อายุครรภ์น้อยกว่า 28 สัปดาห์ จะถือว่าเป็นการแท้งบุตร เพราะมีโอกาสเลี้ยงทารกให้รอดชีวิตได้น้อยมาก แต่ในปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ในการดูแลทารกก่อนกำหนดมีความก้าวหน้าไปมาก จึงสามารถเลี้ยงทารกที่มีอายุครรภ์น้อย ๆ ได้ ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้กำหนดว่า การคลอดตั้งแต่อายุครรภ์ 22 สัปดาห์ขึ้นไป (หรือทารกมีน้ำหนักตัวมากกว่าหรือเท่ากับ 500 กรัม ก็สามารถเลี้ยงทารกให้รอดได้) ไปจนถึงอายุครรภ์ก่อนครบ 37 สัปดาห์ จะถือว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนด แต่สำหรับโรงพยาบาลในประเทศไทย (ที่มีขีดความสามารถ) สามารถดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดตั้งแต่อายุ 24 สัปดาห์ หรือมีน้ำหนักตัว 600 กรัมขึ้นไปให้รอดได้[2] และยังมีโรงพยาบาลอีกหลายแห่งที่สามารถเลี้ยงทารกที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 1,000 กรัม ให้รอดได้มากขึ้นเรื่อย ๆ[1] แต่อย่างไรก็ตามยิ่งอายุครรภ์น้อยมากเท่าไร โอกาสการรอดชีวิตก็น้อยมากขึ้นไปด้วย ดังนี้
สาเหตุการคลอดก่อนกำหนดภาวะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด คือ โรค อาการ หรือสภาวะของคุณแม่ที่แสดงให้เห็นว่าอาจจะมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดหรือคลอดลูกน้ำหนักน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีโรค อาการ หรือสภาพดังกล่าว ได้แก่ ภาวะต่าง ๆ ที่มีอยู่ก่อนการตั้งครรภ์ อาการหรือโรคแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์ และการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่เหมาะสมในขณะตั้งครรภ์ของคุณแม่[1] ส่วนสาเหตุของการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดและการเกิดการคลอดก่อนกำหนด ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ประมาณ 50% ยังหาสาเหตุการเกิดไม่ได้[2] แต่พบว่ามีปัจจัยบางอย่างที่มีความสัมพันธ์กับการชักนำให้กล้ามเนื้อมดลูกของคุณแม่มีการหดรัดตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดอาการเจ็บครรภ์คลอดและคลอดทารกก่อนเวลาอันควร ได้แก่
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือภาวะเสี่ยงที่อาจทำให้มีการคลอดก่อนกำหนดได้ ซึ่งแต่ละภาวะไม่ได้เป็นสาเหตุให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดโดยตรง เพียงแต่จากสถิติแล้วพบว่า คุณแม่จะมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดมากกว่าผู้ที่ไม่มีโรคหรือไม่ได้อยู่ในภาวะเช่นนี้ ส่วนจะมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดมากน้อยเพียงใดนั้นก็ยังไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างแน่ชัด เพราะยังมีคุณแม่อีกจำนวนหนึ่งที่ร่างกายปกติดีทุกอย่าง ทำงานสบาย ไม่เครียด ตั้งครรภ์ครั้งแรกไม่เคยแท้ง ไปตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ น้ำหนักขึ้นดี และไม่มีโรคร้ายแรงต่าง ๆ ตามที่กล่าวมา แต่ก็ยังคลอดก่อนกำหนดได้ ในกรณีเช่นนี้จึงไม่มีทางที่จะป้องกันมิให้เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้ แต่ถ้าคุณแม่รู้แต่เนิ่น ๆ ว่าเริ่มมีอาการเจ็บครรภ์ก็ให้รีบไปพบแพทย์ ซึ่งแพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยหยุดยั้งการเจ็บครรภ์ได้ครับ อาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดโดยปกติแล้วในระยะที่คุณแม่ตั้งครรภ์เกิน 6 เดือนขึ้นไป คุณแม่จะรู้สึกว่ามดลูกหดรัดตัวเบา ๆ เป็นระยะ ๆ ไม่สม่ำเสมอ ไม่รู้สึกเจ็บปวด วันละ 2-3 ครั้ง ซึ่งเป็นการฝึกหัดตามธรรมชาติของมดลูกที่จะบีบตัวเมื่อถึงกำหนดคลอด การหดรัดตัวของมดลูกแบบนี้จึงถือเป็นเรื่องปกติและไม่เป็นอันตราย เพราะไม่เหนี่ยวนำให้เกิดการคลอดตามมา แต่ในกรณีที่มีการหดตัวบ่อย ๆ ถี่เกินไป ท้องตึงแข็งเป็นเวลานาน และมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็แสดงว่าคุณแม่อาจมีการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ที่มีการคลอดเดือนละ 500-600 ราย จะพบว่ามีทารกคลอดก่อนกำหนดประมาณ 30-40 คน แต่จะมีเพียง 3-4 คนเท่านั้นที่จะได้ใช้ยาระงับการหดตัวของมดลูก[1] เนื่องจากส่วนใหญ่จะมาถึงโรงพยาบาลเมื่อปากมดลูกเปิดมากแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าจะคลอดในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือเมื่อถุงน้ำทูนหัวแตกแล้วก็คงให้ยาระงับการหดรัดตัวของมดลูกไม่ได้ แต่ถ้าถามว่ามีทางใดบ้างที่ทราบได้ว่ามีการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำเนิด เพื่อที่จะได้มีเวลาไปถึงโรงพยาบาลได้ทันก่อนที่ปากมดลูกจะขยายมาก คำตอบก็คือยังไม่มีเครื่องมืออะไรที่สามารถบอกได้ว่าคนนี้กำลังเจ็บครรภ์คลอด แต่สิ่งที่คุณแม่สามารถทำได้ในเวลานี้ก็คือการประเมินภาวะเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนด (ในหัวข้อ : สาเหตุของการคลอดก่อนกำหนด) และสังเกตอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ได้แก่
หากคุณแม่มีอาการเหล่านี้ก็ควรรีบไปพบแพทย์ในทันที ซึ่งแพทย์จะรับตัวคุณแม่ไว้ในโรงพยาบาลและให้ยายับยั้งการหดตัวของมดลูกดังที่กล่าวไปแล้ว ซึ่งถ้าปากมดลูกยังขยายไม่มากก็จะได้ผลดีและคุณแม่สามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้อีกจนกระทั่งใกล้ถึงกำหนดวันคลอดมากที่สุด นอกจากนี้แพทย์จะให้ยาสเตียรอยด์พวกเบตาเมทาโซน (Betamethasone) หรือเดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) โดยฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อด้วย เพื่อกระตุ้นให้ปอดของทารกทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้ทารกที่คลอดก่อนกำหนดมีโอกาสรอดมากขึ้น ซึ่งยานี้จะได้ผลดีหากฉีดเข้าไปแล้วอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง และยาจะมีฤทธิ์อยู่ 7 วัน หลังจากนั้นอาจจะต้องให้ซ้ำ (ในกรณีที่คุณแม่มีน้ำเดินหรือถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด หรือสงสัยว่าจะมีการอักเสบในร่างกายของคุณแม่ จะไม่สามารถใช้ยาชนิดนี้ได้) หมายเหตุ : มีคำแนะนำว่า หากคุณแม่มีอาการที่สงสัยว่าจะมีการคลอดก่อนกำหนด คุณแม่ควรปฏิบัติตัวด้วยการนอนตะแคงซ้าย ไม่ควรนอนหงายเพราะจะทำให้มดลูกบีบตัวมากขึ้น, ให้ปัสสาวะและดื่มน้ำให้มาก เพราะการขาดน้ำอาจทำให้มดลูกบีบตัวได้, ติดตามอาการบีบตัวของมดลูกตามที่กล่าวมา หากบีบตัวถี่และแรงขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ หรือหากเฝ้าดูอาการประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วยังไม่ดีขึ้นก็ควรรีบไปพบแพทย์เช่นกัน[4] การวินิจฉัยการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดก่อนเกิดการคลอดก่อนกำหนด ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นเพื่อเป็นการเตือนล่วงหน้า ได้แก่
การรักษาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันนี้ สูติแพทย์จะมียาหลายชนิดที่ช่วยหยุดยั้งการหดรัดตัวของมดลูกและทำให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปจนครบกำหนดหรือใกล้ครบกำหนดมากที่สุด ซึ่งก็มีทั้งยากิน ยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ยาฉีดเข้าเส้นหรือผสมกับน้ำเกลือหยดเข้าเส้นเลือด ซึ่งการที่จะให้ยาวิธีไหนนั้นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการหดรัดตัวของมดลูกและความเหมาะสมของคุณแม่แต่ละราย แต่การใช้ยาระงับการเจ็บครรภ์คลอดจะได้ผลดีเมื่อคุณแม่เพิ่งเริ่มมีอาการเจ็บครรภ์เท่านั้น ถ้ามีการเจ็บครรภ์มานานหรือเจ็บมากจนกระทั่งปากมดลูกขยายมากแล้ว การใช้ยาก็ไม่ได้ผล และถ้าถุงน้ำทูนหัวแตกมีน้ำคร่ำไหลออกมาจากช่องคลอดแล้ว ก็ไม่สามารถใช้ยานี้ได้เลย ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ โดยให้คุณแม่นอนพัก ซึ่งอาจจะเจ็บครรภ์และคลอดออกมาเลย หรือทารกอาจอยู่ในครรภ์แม่ได้อีกหลายวันก็ได้ถ้าไม่มีการอักเสบ แต่ถ้ามีการอักเสบติดเชื้อในโพรงมดลูก ก็จำเป็นต้องให้ทารกคลอดออกมาไม่ว่าทารกจะตัวเล็กแค่ไหนก็ตาม เพราะถ้าปล่อยไว้ต่อไป การอักเสบจะรุนแรงมากจนเป็นอันตรายต่อแม่และลูก[1] โดยแนวทางในการรักษาส่วนใหญ่ มีดังนี้
ตามหลักแล้วการรักษาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดมีวัตถุประสงค์เพื่อพยายามยืดเวลาในการตั้งครรภ์ออกไปให้ถึง 37 สัปดาห์ให้ได้มากที่สุด เพราะช่วงนี้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทารกจะสมบูรณ์เพียงพอที่จะออกมาสู่โลกภายนอก แต่เนื่องจากการคลอดก่อนกำหนดยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ในปัจจุบันจึงยังไม่มียาที่ดีที่สุดในการใช้รักษาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด เพียงแต่การรักษาส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาแบบประคับประคองเพื่อยื้อเวลาอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมง เพื่อที่จะรอเวลาเมื่อฉีดยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Cortico steroid) ไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของปอดทารกที่อยู่ในครรภ์ โดยเฉพาะในกลุ่มคุณแม่ที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ หรือเพื่อยื้อเวลาในช่วงที่ส่งต่อคุณแม่และทารกที่อยู่ในครรภ์ไปยังสถานที่ดูแลรักษาทารกคลอดก่อนกำหนดได้ ซึ่งยาที่นำมาใช้ลดการหดตัวของมดลูกในปัจจุบันจะมีอยู่ 5 กลุ่มใหญ่ ๆ[2] ดังนี้
หากยับยั้งการคลอดก่อนกำหนดสำเร็จ คุณแม่สามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้ แต่การให้รับประทานยาต่อเนื่องเพื่อป้องกันการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกต่อไปจนกระทั่งถึงกำหนดคลอด ยังมีข้อมูลที่สนับสนุนไม่เพียงพอว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นตามมาหรือไม่ แต่หากยับยั้งการคลอดก่อนกำหนดไม่สำเร็จ เนื่องจากมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงหรือให้ยาในขนาดสูงแล้วแต่มดลูกยังมีการหดรัดตัวถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ก็ต้องหยุดให้ยาเพื่อรักษาชีวิตคุณแม่ไว้ และต้องยอมปล่อยให้มีการคลอดก่อนกำหนดและดูแลทารกที่คลอดก่อนกำหนดต่อไป ตามหลักฐานข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า สิ่งที่มีประสิทธิภาพหรือเป็นประโยชน์ต่อการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดมี 3 อย่าง คือ การฉีดยา Corticosteroid เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของปอดทารก, การใช้ยาปฏิชีวนะป้องการการติดเชื้อแบคทีเรีย Group B streptococcus และการส่งต่อคุณแม่และทารกที่อยู่ในครรภ์ไปยังโรงพยาบาลที่มีความสามารถในการดูแลทารกที่มีอายุครรภ์อ่อน ๆ ได้ หมายเหตุ : แพทย์จะไม่ให้ยาเพื่อยับยั้งการคลอดก่อนกำหนดในกรณีที่คุณแม่มีความดันโลหิตสูงในระดับรุนแรง, มีเลือดออกมากทางช่องคลอด, มีการติดเชื้อในมดลูก, ทารกมีความผิดปกติหรือเสียชีวิตแล้ว หรือเกิดสภาวะอื่น ๆ ที่การตั้งครรภ์ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้[3] นอกจากนี้ การใช้ยาต่าง ๆ ตามที่กล่าวจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลและสั่งยาโดยแพทย์เท่านั้น คุณแม่ห้ามซื้อยามารับประทานเองโดยเด็ดขาด เพราะยาเหล่านี้จัดเป็นยาอันตรายที่อาจส่งผลข้างเคียงรุนแรงทั้งต่อคุณแม่และต่อทารกในครรภ์ได้ การป้องกันการคลอดก่อนกำหนดการคลอดก่อนกำหนดเป็นหาสำคัญทางด้านอนามัยของแม่และเด็ก แม้ว่าความเจริญทางการแพทย์จะสามารถช่วยให้เด็กที่คลอดออกมาก่อนกำหนดมีชีวิตอยู่รอดได้มากขึ้นกว่าในอดีต แต่ก็ยังพบว่ามีทารกอีกจำนวนมากที่มีความพิการหรือเสียชีวิต จึงมีความจำเป็นที่จะต้องป้องกันไว้ก่อน ดังนี้
การดูแลตนเองหลังการคลอดก่อนกำหนดการดูแลตนเองของคุณแม่ที่คลอดลูกก่อนกำหนด มีดังนี้
การดูแลทารกหลังคลอดก่อนกำหนดในขณะที่อยู่โรงพยาบาลแพทย์จะดูแลทารกอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งทารกมีน้ำหนักตัวมากกว่า 1.8-2 กิโลกรัม หรือจนกว่าจะสามารถลดการใช้ตู้อบ มีการดูดกลืนได้ดี และไม่มีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ แพทย์จึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ และยังคงนัดมาตรวจสุขภาพทารกอีกครั้งเมื่ออายุประมาณ 1-2 สัปดาห์ เมื่อกลับมาอยู่ที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ควรมีการดูแลลูกน้อยดังนี้
พัฒนาการเด็กคลอดก่อนกำหนดพัฒนาการของทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะดีหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับว่าทารกคลอดออกมาตอนอยู่ในอายุครรภ์เท่าใด ถ้าอายุครรภ์ไม่ต่ำกว่า 37 สัปดาห์ หรือ 7-8 เดือน ก็ถือว่าทารกนั้นค่อนข้างมีความสมบูรณ์แล้ว เพียงแต่จะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์เท่านั้น ส่วนพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ของทารกจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ถ้าสาเหตุที่คลอดก่อนกำหนดนั้นเกิดจากตัวทารกมีความพิการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ พัฒนาการก็จะแตกต่างจากเด็กทั่วไป แต่ถ้าคลอดออกมาเพราะเหตุรกเกาะต่ำหรือรกเสื่อมสภาพก่อนกำหนดก็ไม่เป็นปัญหาต่อพัฒนาการ เพราะเด็กที่คลอดก่อนกำหนดโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในความดูแลของแพทย์หรือเข้าตู้อบสักระยะแล้วแต่อาการของเด็ก ซึ่งในช่วงที่อยู่ตู้อบแพทย์อาจให้คุณแม่ให้นมลูกได้ ในระหว่างให้นมคุณแม่ก็ควรสร้างสัมพันธภาพระหว่างแม่กับลูก ด้วยการพูดคุยกับเขา ให้เขาได้ยินเสียงคุณแม่ หรือถ้าไม่ได้ให้นมลูก คุณแม่ก็สามารถไปสัมผัสด้วยการโอบกอดลูกน้อยและพูดคุยกับเขาบ่อย ๆ เพราะลูกน้อยจะสามารถรับรู้และสัมผัสได้ถึงความรักที่คุณแม่มีต่อเขา สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่คลอดลูกก่อนกำหนด ให้นับพัฒนาการลูกน้อยที่คลอดก่อนกำหนดตามอายุจริง เช่น คลอดครบกำหนด คือ อายุครรภ์ 40 สัปดาห์ หากคุณแม่คลอดลูกในช่วงอายุ 32 สัปดาห์ (คลอดก่อนกำหนด 8 สัปดาห์) ก็ให้คุณแม่เริ่มนับพัฒนาการของลูกน้อยหลังจากคลอด 8 สัปดาห์ เป็นเดือนที่ 1 เนื่องจากพัฒนาการของทารกที่คลอดก่อนกำหนดยังไม่เริ่มขึ้น คือ ยังมองไม่เห็น พูดคุยหรือยิ้มไม่ได้ แต่เมื่อทารกครบอายุตามกำหนดคลอดก็จะเริ่มมองเห็นและมีพัฒนาการเป็นไปตามอายุจริง ส่วนในเรื่องของพัฒนาการ พบว่าเด็กที่คลอดก่อนกำหนดจะมีพัฒนาการที่ใกล้เคียงกับเด็กที่คลอดครบกำหนดมาก แต่จะมีเพียง 20-30% เท่านั้นที่มีปัญหาพัฒนาการช้าและมีปัญหาทางด้านอารมณ์หรือพฤติกรรม ซึ่งนั่นเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องช่วยกันส่งเสริมพัฒนาการของลูกให้เหมาะสม ด้วยการให้ทั้งอาหารกายและอาหารใจกับลูกน้อย คุณแม่อาจใช้วิธีการสัมผัสโอบกอดเบา ๆ ลูบและสัมผัสด้วยความรัก มองตาลูกบ่อย ๆ อาจนวดกระตุ้นเบา ๆ บริเวณแขนและขา ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกน้อยเจริญเติบโตได้ดี นอกจากนี้คุณแม่ยังควรสังเกตพัฒนาการของลูกอยู่ตลอดเวลา หากมีปัญหาก็ควรรีบไปแพทย์ หากทำตามนี้แล้วโอกาสที่ลูกจะเติบโตอย่างแข็งแรงเหมือนเด็กทั่วไปก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด เอกสารอ้างอิง
ภาพประกอบ : www.healthtap.com, www.arlafoodsingredients.com, ualbertaslp.files.wordpress.com เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) |