IPad GEN 9 ใช้กับปากการุ่น2ได้ไหม

รีวิว iPad Gen 9th ความเห็นจากผู้ใช้จริงที่ทีมงานเราใช้งานจริงมาหลายเดือน! จะมาช่วยประกอบการตัดสินใจสำหรับน้องๆนักเรียน หรือคนที่กำลังเล็งว่าจะซื้อ iPad Gen 9th รุ่นนี้ดีไหม เหมาะกับเราไหม มาดูกันเลย

iPad Gen 9 ก็เป็นไอแพดยอดนิยมสำหรับน้องๆนักเรียน และคนที่กำลังมองหา Tablet หรือ iPad เครื่องเสริมสักอัน เพราะราคาที่ไม่สูงมาก โดยราคาตอนเปิดเริ่มต้นที่ 11,400 บาท (เพิ่มมาแค่ 500 บาทจาก Gen 8) แต่เมื่อเทียบกับสเปคที่ได้ก็ถือว่าคุ้มมาก สเปคสูงพอที่จะให้เราใช้งานได้หลากหลายเลยล่ะ

iPad Gen 9th มาพร้อมกับ iPadOS15 ชิป A13 Bionic พร้อม Neural Engine ทำให้เครื่องใช้งานหนักๆได้สบาย งานกราฟิก, งานตัดคลิปลง TikTok, งานจดๆเลคเชอร์ ทำได้สบาย ดูหนัง ฟังเพลง ท่องเว็บ เล่นเกม Conference 

ได้ลื่นปรี๊ด และ Multitasking ได้เก่งมาก เครื่องเดียวเปิดพร้อมกันหลายแอปได้ สำหรับน้องๆที่ต้องเรียนออนไลน์ แล้วต้องจดงานหรือทำอย่างอื่นไปพร้อมๆกัน อันนี้เอาอยู่มาก!

หน้าตา เหมือนรุ่นก่อนหน้ามาก มีให้เลือก 2 สี คือสี Space Gray และ Silver โดยสีที่เรารีวิวคือสี Space Gray นะคะ ตัวเครื่องยังมีปุ่ม Home แบบ Touch ID ที่สแกนนิ้วมือปลดล็อคได้ ไม่ต้องกดรหัสผ่านก็ปลดล็อคได้ สะดวกดี 

น้ำหนัก ราวๆ 487 กรัม (เกือบครึ่งกิโล!) ถ้าถือเขียนอาจจะหนักไปหน่อย ไม่เหมาะกับการถือนานๆ แต่ว่าถ้าพกใส่กระเป๋าก็อาจจะหนักกว่ารุ่นอื่นนิดหน่อย แต่ไม่ได้ต่างกันมาก ถ้าใครไม่แน่ใจว่าจะแบกไหวไหมนะ ไปลองถือดูที่ช็อปของ Apple ก่อนแล้วกันจ้า

ส่วนเรื่อง ขนาดของตัวเครื่อง ก็สูงประมาณ 25 เซนติเมตร อาจจะยังใส่กระเป๋าถือของผู้หญิงได้บางรุ่น แต่ถ้ากระเป๋าถือใบเล็กๆ ก็อาจจะพกยากสักหน่อย 

จอภาพ Retina แบบ Multi‑Touch ขนาด 10.2 นิ้ว ความละเอียด 2160 x 1620 พิกเซล ที่ 264 ppi การแสดงผลแบบ True Tone 

ความจุ มีให้เลือก 2 รุ่นคือ 64 GB ราคาเริ่มต้นที่ 11,400 บาท แล้วก็ข้ามไปเป็น 256 GB เลย ซึ่งมีราคาเริ่มต้นที่ 16,900 บาท ต่างกัน 5 พันกว่าบาทเลยทีเดียว!! หลายคนอาจจะลังเล 64 GB มันจะพอหรือเปล่าน๊า ลองพิจารณาดูการใช้งานหลักๆของเราก่อนค่ะ 

อย่างเราความจุที่เราใช้อยู่ตอนนี้คือ 256 GB ใช้งานส่วนใหญ่ในการทำเอกสาร และประชุมออนไลน์ มีวาดภาพถ่ายคลิปเล่นนิดหน่อย พื้นที่ส่วนใหญ่จึงใช้กับการเก็บแอปและไฟล์เล็กๆเท่านั้น ตอนนี้ใช้ไปแค่ 40 GB กว่าเท่านั้นเอง เหลืออีกตั้งเกือบ 20 GB แหน่ะ แบบนี้เราก็อาจจะเลือกรุ่น 64 GB ก็พอค่ะ ถ้าเลือกตรงนี้ได้ถูกก็เซฟไปได้เยอะเลย ลองดูการใช้ความจำในอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ก่อนก็ได้ว่าปกติเราใช้ความจำเยอะแค่ไหน แต่หากใครที่ต้องทำงานหรือเก็บไฟล์ใหญ่ๆ เช่น ไฟล์วิดีโอ ไฟล์ภาพ ไฟล์หนักๆทั้งหลาย ก็อาจจะมองรุ่น 256 GB ไว้จะดีกว่า เพราะว่าเครื่องเขาใส่เมมโมรีการ์ดเพิ่มทีหลังไม่ได้นะ แต่เลือกเท่าที่เราจำเป็นต้องใช้ดีที่สุดค่า

แบต ในเว็บของ apple เขาบอกว่าเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมพอลิเมอร์ หากท่องเว็บผ่าน Wi‐Fi หรือดูวิดีโอจะอยู่ได้นานสูงสุดถึง 10 ชั่วโมง แต่เมื่อเราใช้จริงๆแล้ว หากเราไม่ค่อยได้ใช้ หรือใช้เป็นเครื่องสำรอง ใช้แค่ตอบแชต ใช้ทำเอกสาร จดๆนิดๆหน่อยๆ ถือว่าแบตเยอะมากกกก! อย่างเช่นทีมงานเคยทิ้งเครื่องไว้โดยไม่ค่อยได้ใช้ ก็ยังสามารถ Standby อยู่ได้หลายวัน เรียกว่าลืมชาร์จไปเลย

แต่ก็ด้วยความที่แบตเขาเยอะ ช่วยให้ใช้งานได้นาน เวลาชาร์จอาจจะช้าขัดใจเรานิดหน่อย หากใช้สายชาร์จทั่วไปที่แถมมากับ Apple ตัวอื่นๆ แต่จริงๆในกล่องเขาแถมสายชาร์จ USB – C to Lighting พร้อม Power Adapter 20W มาด้วยยยยย!! ดีงามมมม ของฟรีและดีมีอยู่จริง! ทำให้ชาร์จเร็วขึ้นมากๆ 

และเนื่องจากช่องเสียบชาร์จเขายังเป็น Lighting อยู่ สำหรับคนที่ต้องการต่อจอเพื่อพรีเซนต์งาน อันนี้อาจจะต้องหา Adapter สำรองไว้สักหน่อยนะคะ ต้องเป็น Adapter สำหรับ Lighting ค่ะ

กล้องหลัง iPad Gen 9th (ตัวเครื่องสี Space Gray)

กล้องหลัง เป็นกล้องไวด์ 8 MP ไม่ได้เป็นกล้องเว่อร์วังอะไร แต่จริงๆแล้ว iPad ก็อาจจะขนาดใหญ่เกินไปสำหรับการจะยกขึ้นมาถ่ายรูปลงโซเชียลทั่วๆไปอยู่ดี คงไม่ค่อยมีคนนิยมยกขึ้นมาถ่ายตอนไปข้างนอกอยู่แล้ว ถ้าเน้นถ่ายรูป ใช้มือถือก็น่าจะสะดวกกว่า ไวกว่า และสวยกว่าด้วยฟีเจอร์ที่เยอะกว่า และกล้องที่ดีกว่า แต่กรณีที่จะได้ใช้แน่ๆคือ การถ่ายภาพเพื่อสแกนเอกสาร และถ่ายภาพเพื่อบันทึกลงโน๊ตนิดหน่อย ซึ่งกล้อง 8 MP, ƒ/2.4 ก็ถือว่าได้ภาพที่ชัดใช้ได้ ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่า ถ่ายกระดานเลคเชอร์จากหลังห้องได้สบายๆนะ

ส่วนการบันทึกวิดีโอ บันทึกได้ถึง HD 1080p ที่ 25fps และ 30 fps ซูมวิดีโอ 3 เท่า ซึ่งก็อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่า คงใช้กล้องถ่ายไม่เยอะ ด้วยขนาดที่ใหญ่ของ iPad กล้องเท่านี้ก็น่าจะถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้เบื้องต้นทั่วๆไป

กล้องหน้า เป็นกล้องอัลตร้าไวด์ มุมมองภาพ 122°, ความละเอียด 12MP, ƒ/2.4 หน้าชัดหลังเบลอได้สวย, เวลาถ่ายภาพเซลฟี่จะมี Retina Flash ทำให้ได้หน้าที่ชัด สวย และไบร์ท 

แต่ที่จัดว่าดีย์ และเพิ่งจะมีในรุ่น iPad Gen 9 ก็คือ Center Stage อันนี้ดีมากกกก (iPad Gen 8 ไม่มีนะบอกเลย) คือเวลา Conference ประชุมงานกับใคร หรือคุยกับเพื่อน คุยได้สนุกมากกก และสะดวกมากกก เวลาเราขยับตัวหรือว่าเดินไปเดินมา กล้องก็จะจับใบหน้าและตามเราไปตลอด เราจะอยู่ในเฟรมตลอดๆ ซึ่ง Center Stage นี้ ก็มีเหมือนกับใน iPad Pro และ iPad Air ใหม่เลยล่ะ 

และนอกจานั้นก็ยังมีโหมดภาพถ่ายบุคคล ซึ่งทำให้ฉากหลังที่รกๆ เบลอไปได้ ได้ฉากละมุนๆ สวยๆไปเลย ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ ทั้ง Center Stage และ โหมดบุคคล หากใครไม่ชอบ ไม่ถนัด เวียนหัว ก็สามารถเลือกปิดได้ ที่แถบเมนู Command center ด้านบนเลย

การเชื่อมต่อ 

iPad Gen 9th รุ่นนี้มีสองรุ่น คือรุ่นที่มี Wi-Fi อย่างเดียว กับรุ่นที่มี Wi-Fi + Cellular สำหรับเรา ใช้รุ่นที่เป็น Wi-Fi อย่างเดียว เพราะมันไม่ใช่เครื่องหลัก หากต้องใช้ข้างนอกก็อาจจะเชื่อมต่อ Hotspot จากมือถือก็ได้ หรือเชื่อมต่อ Wi-Fi ข้างนอกก็สะดวกดีค่ะ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอินเตอร์เน็ตเพิ่มเติมด้วย แต่ถ้าใครที่ชอบใช้ Cellular ก็สามารถซื้อซิมมาเสียบกับรุ่นที่รองรับ Cellular ได้เลยค่ะ แต่! iPad Gen 9th นี้ เขายังไม่รองรับ 5G นะคะ (ต้องรอรุ่นต่อปายยยย)

ข้อดีของการใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple หลายๆชิ้นก็คือ เวลาจะส่งไฟล์มันสะดวกมากกก แค่เชื่อมต่อ Wi-Fi เดียวกันก็สามารถโยนทุกอย่างข้าม Airdrop ได้เลย เช่น โยนไฟล์ภาพจาก iPhone มาแต่งใน iPad หรือโยนไฟล์ PDF มาอ่านต่อใน iPad ก็สะดวกมากมาย เพราะแค่แชร์ผ่าน Airdrop ก็ได้ไฟล์แล้ว ซึ่งเขาโอนไฟล์กันได้เร็วมากด้วย ส่วนตัวชอบมาก

Bluetooth ยังเป็น Bluetooth 4.2 อยู่นะคะ อาจจะไม่ใช้ Bluetooth ตัวใหม่สุดๆ ณ ปัจจุบัน แต่ก็ใช้งานได้ไม่มีปัญหาค่ะ ถ้าชอบฟังเพลงจะใช้หูฟังเก่าหรือใครมีหูฟังเทพจะเอามาเสียบฟังก็ยังได้อยู่แบบไม่ต้องไปหาตัวแปลงมาให้ลำบากค่ะ เพราะยังมีรูหูฟัง 3.5 อยู่นะ (เชื่อว่าหลายคนอาจจะชอบก็ได้นะ กับการที่ยังมีรูหูฟัง 3.5 เนี่ยะ นอกจากหูฟังแล้ว ยังเสียบไมค์โครโฟนแบบหัว 3.5 ก็ได้นะ) 

อุปกรณ์เสริม

ปากกา ที่ใช้คู่กันยังเป็นปากการุ่นเก่า คือ Apple Pencil 1 ซึ่งปากกานี้ ต้องซื้อเพิ่มนะ เขาไม่ได้แถมมา สายวาดภาพ สายอาร์ต หรือคนที่ชอบจดด้วยดินสอคงชอบแหละ เพราะว่าชาร์จและเชื่อมต่อได้ง่ายๆได้จากช่อง Lighting ของ iPad เลย

การวางอยู่บนโต๊ะก็ไม่ต้องกลัวปากกาหล่น เพราะ Apple Pencel เขาสามารถ Snap กับด้านข้างของ iPad ได้เลย มีแม่เหล็กช่วยหนึบไว้พอประมาณ แต่ส่วนตัวคิดว่ามันไม่ได้ดูดแรงขนาดว่าเอามาถือแกว่งๆได้นะคะ แต่ช่วยให้มันไม่กลิ้งไปไหนมากกว่า 🙂

สายวาดสายจดคงต้องชอบปากกาของ Apple แหละ เพราะว่าเวลาเขียน เวลาจด เอามือ หรือเอานิ้ววางได้เลย ปากกาจะทำให้เราสามารถวาดได้เหมือนสมุดเลย คือเอาฝ่ามือวางลงไปได้จริง และเส้นต่างๆเราก็ค่อยไปปรับความหน่วง ความเร็ว ความหนา ความเซนซิทีฟของเส้นจากในแอปที่เราชอบอีกที ใช้จดเวลาเรียนคู่หับแอป Good Notes หรือ Notability แบบเราก็ได้นะ จดเอกสาร, ทำ PDF หรือวาดรูปก็ต้องใช้ปากกาเขาล่ะ สะดวกเว่อร์

คีย์บอร์ด ใครทำงานเอกสารเยอะๆ ใช้คู่กับ Smart Keyboard ก็ได้เหมือนกัน สะดวกกว่ากดแฟ้นพิมพ์บนหน้าจอแน่นอน นอกจากนั้นยังเอามาใช้ตั้งได้ด้วย เสียบคีบอร์ดแล้วพับได้ 3 แบบ คือแบบพิมพ์งานทั่วไป และแบบตั้งตรงขึ้นมาอีกหน่อย จะดูหนังหรือวาดภาพก็แล้วแต่สะดวก หรือใครชอบพก iPad ไปที่อื่น จะใช้คีย์บอร์ดแทนเคสก็ยังได้เลย!

สรุป

แล้ว iPad Gen 9th รุ่นนี้เหมาะกับใคร อย่างแรก เหมาะกับคนที่ต้องการใช้เป็นเครื่องเสริม จะเสริมการทำงานบนมือถือ หรือคอมพิวเตอร์ก็ได้ ทำงานได้สะดวกขึ้นเหมือนมีหน้าจอทัชสกรีนใหญ่ๆ ที่เขียนๆจดๆวงๆได้สะดวก งานเอกสาร ไม่ว่าจะพิมพ์หรือจดก็จะสะดวกมาก ยิ่งถ้าใช้กับอุปกรณ์ Apple อื่นๆจะยิ่งทำงานได้ Flow มากขึ้น เพราะส่งไฟล์ได้สะดวก ไม่ต้องพูดถึงความบันเทิง ดีย์งามมาก สะดวกมาก แบตอึดอยู่ได้นานมาก 

อย่างที่สอง หากใครจะใช้เป็นเครื่องหลักเลย ก็ทำได้ แต่ก็น่าจะเลือกรุ่น cellular ที่ใส่ซิมได้ก็จะสะดวกกว่า พกออกไปข้างนอกก็ทำงานวนลูปได้สบาย และตัวเครื่องแรงพอจะทำงานกราฟิกหรือตัดวิดีโอได้ จะจดไปด้วยดูคลิปไปด้วยก็ยังทำได้ 

หากใครต้องการจะทดลอง ทดสอบเครื่อง ก็สามารถไปทดลองได้ที่ Apple Shop หรือลองจัดสเปคดูราคาผ่านเว็บของ Apple ได้ที่ https://www.apple.com/th/ipad-10.2/

อ่านบทความและข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ it24hrs.com

รีวิว iPad Gen 9th หลังใช้งานจริง สเปคเอาอยู่ไหม? ซื้อคุ้มไหม? 

อย่าลืมกดติดตามอัพเดตข่าวสาร ทิปเทคนิคดีๆกันนะคะ Please follow us

Youtube it24hrs
Twitter it24hrs
Tiktok it24hrs
facebook it24hrs