อัปเดตล่าสุด 5 พ.ย. 2561
ปัจจุบัน สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งในอนาคตอาจทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานและค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน รวมไปถึงการแข่งขันที่สูงมากขึ้นในอุตสาหกรรม เพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์ดังกล่าว ผู้ประกอบการจึงจำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นปรับตัว โดยมีการจัดการและวางแผนการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจำเป็นต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลการผลิตและนำมาวิเคราะห์อย่างรวดเร็วเพื่อการตัดสินใจที่ทันต่อสถานการณ์ การปรับปรุงสู่โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ เนื่องจากการนำ IoT มาใช้ทำให้สามารถมองเห็นโรงงานของตนเองได้ตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึง Supply chain และติดตามสถานะของอุปกรณ์ต่างๆในโรงงานได้ในแบบ real-time ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน TCO (Total cost of Ownership) ลดระยะเวลา downtime และข้อบกพร่องในกระบวนการผลิต และทำให้ประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น โดย มิตซูบิชิ อีเล็คทริค ได้แนะนำขั้นตอนการปรับปรุงประสิทธิภาพดังนี้
- ปรับปรุงการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น พีแอลซี หน้าจอสั่งการระบบสัมผัส - ใช้ระบบสายพานในการขับเคลื่อนชิ้นงาน - ใช้โรบอตในงานที่ไม่เหมาะสมกับมนุษย์ - ตรวจสอบคุณภาพโดยใช้กล้อง vision หรือเซ็นเซอร์ที่เหมาะสม - ใช้เซอร์โวในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง - ใช้ข้อมูลที่บันทึกไว้เพื่อตรวจสอบหาการทำงานที่ผิดพลาด หรือการตั้งค่าตัวแปรที่ไม่ถูกต้อง - ใช้อินเวอร์เตอร์ในการควบคุมพัดลมและปั๊ม - ใช้ระบบ SCADA ที่ช่วยในด้าน visualization ช่วยให้มองเห็นกระบวนการผลิตและควบคุมได้ในแบบ real-time สามารถดูค่าประสิทธิภาพโดยรวมของโรงงาน (OEE) รวมไปถึงค่าการใช้พลังงาน นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดตารางการทำงานของเครื่องจักรเพื่อลดการใช้พลังงานได้อีกด้วย
สินค้ามาเริ่ม “ประหยัดพลังงาน” ไปกับโซลูชันดีที่สุดจาก Mitsubishi Electric ดีลเด็ด ห้ามพลาด!! ภายใน 30 เม.ย. 65 |