แนวทางการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ สำรวจระดับการใช้งานคอมพิวเตอร์ การแบ่งระดับการใช้งานคอมพิวเตอร์นั้นอาจแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักแบ่งเป็น 3 ระดับด้วยกัน ตามรูปแบบการใช้งานทั่วไปของผู้ใช้ คือ ระดับผู้ใช้ทั่วไป (BASIC USER) ระดับผู้ใช้งานด้านกราฟิกส์
(GRAPHIC USER) และผู้ใช้งานในระดับสูง (ADVANCED USER) เราเองต้องรู้ระดับการใช้งานของเรา เพื่อสามารถกำหนดสเป็คเครื่องที่เหมาะสมได้ต่อไป 1) สำหรับ ผู้ใช้มือใหม่ ที่ยังไม่เคยสัมผัสคอมพิวเตอร์มาก่อน แนะนำให้ซื่อเครื่องคอมพิวเตอร์แบบมียี่ห้อ จะดีกว่า เพราะจะได้ไม่ต้องกังวลเวลาที่เครื่องมีปัญหา ผู้ใช้ระดับนี้มักยังใช้งานแบบลองผิดลองถูกอยู่บ้าง จึงอาจทำให้เครื่องมีปัญหาได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นที่มีราคาแพง 2) สำหรับผู้ใช้งานในออฟฟิศ จะคล้ายกับผู้ใช้มือใหม่ตรงที่ไม่ต้องการคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก เน้นการทำงานเอกสารหรืออาจจะใช้ PHOTOSHOP แต่ง ภาพเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้น คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมจะใกล้เคียงกับผู้ใช้มือใหม่ เพียงแต่ปรับอุปกรณ์บางตัว เช่น ฮาร์ดดิสก์ หรือเพิ่มไดรว์ CD-RW สำหรับเก็บข้อมูล 3) สำ หรับนักศึกาามหาวิทยาลัย
ผู้ใช้ที่เป็นนักศึกษาจะเริ่มสนใจคอมพิวเตอร์มากขึ้นสามารถใช้งานโปรแกรม ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ผู้ใช้ระดับนี้อาจจะประกอบเครื่องใช้เองได้ เพราะจะทำให้ตนเองมีความรู้มากขึ้น การใช้งานเน้นไปทางพิมพ์งานส่งอาจารย์ 4) สำหรับผู้ใช้งาน WINDOWS VISTA จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพสูงในระดับหนึ่ง ด้วยการเป็นซีพียู DUAL CORE พร้อมแรม 1 GB ขึ้นไป ฮาร์ดิสก์ 250 GB หากตรงตามมาตรฐาน WINDOW VISTA PREMIUM ต้องใช้ฮาร์ดิสก์แบบไฮบริดเท่านั้น
ซึ่งในช่วงแรกฮาร์ดดิสก์แบบไฮบริดจะมีราคาแพงมาก วิธีกำหนดสเป็คเครื่อง เครื่องพีซีสำหรับผู้ใช้งาน WINDOWS VISTA สเป็คเครื่องที่แนะนำมีดังนี้ ตารางที่ 2-4 แสดงสเป็คเครื่องสำหรับผุ้ใช้งาน WINDOWS VISTA เครื่องพีซีสำหรับผู้ใช้ในออฟฟิศ เป็นเครื่องพีซีสำหรับผู้ใช้ที่ชอบติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ มีการใช้งานหลากหลายเช่น ตกแต่งภาพกราฟิกส์ งานเขียนโปรแกรม เล่นเกม ดูหนัง/ฟังเพลง มีการลงซอฟต์แวร์ใหม่ๆ เพื่อทดลองการใช้งาน อีกทั้งยังเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงาน เครื่องที่ตอบสนองเร็วทันใจ ไม่ช้าจนน่ารำคาญ
สเป็คเครื่องที่แนะนำมีดังนี้ ตารางที่ 2-2 แสดงสเป็คเครื่องสำหรับพีซีระดับผู้ใช้ในออฟฟิศ เครื่องพีซีสำหรับผู้ใช้งานระดับสูง สเป็คเครื่องที่แนะนำมีดังนี้ ตารางที่ 2-5 แสดงสเป็คเครื่องสำหรับผู้ใช้งานระดับสูง นอกจากนั้น หากเครื่องของเราใช้ในการทำงานด้านตัดต่อวิดีโอเป็นหลัก จำเป็นต้องเลือกการ์ดแสดงผลที่มีคุณภาพดี เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีการติดขัด รวมทั้งขนาดของจอแสดงผลเลือกให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกด้วย การเลือกซื้อซีพียู การ เลือกซื้อซีพียูต้องพิจารณาเรื่องความเร็ว ความเร็วขั้นต่ำแปรเปลี่ยนไปตามเวลา โดยปกติจะดูว่าซื้อเพื่ออะไร เช่นถ้าซื้อใช้งานเป็นเพียงอินเทอร์เน็ตบราวเซอร์ในห้องเรียนให้นิสิตใช้ เพื่อเป็นการเรียกเข้าสู่อินเทอร์เน็ต สามารถใช้ซีพียูรุ่นต่ำที่มีขายในปัจจุบันราคาซีพียูในระดับต่ำนี้ การตัดสินใจจะเลือกซื้ออะไรมาใช้ คงต้องลองศึกษาจากหลายๆ องค์ประกอบ โดยเฉพาะการมองหารายละเอียด ข้อดี ข้อเสีย รวมทั้งงบประมาณการลงทุนต่างๆ ที่มีอยู่ด้วย เทคนิคที่เกี่ยวกับซีพียูทั้งสองด้านนี้ สามารถหาได้ได้จากเว็บไซต์ของบริษัท คือ WWW.AMD.COM และ WWW.INTEL.COM ผู้สนใจลองทำการศึกษาอย่างน้อยเป็นความรู้ที่จะมีประโยชน์ต่อไป อันดับ แรกที่เราควรให้ความสำคัญ ในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจำมาประกอบเอง หรือซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเซตก็ตาม คือการเลือกซีพียูนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นรุ่นและความเร็วของซีพียูตามระดับการใช้งานของเรา เพื่อเราจะได้ทราบรูปแบบอินเทอร์เฟส (SOCKET) สำหรับติดตั้งบนเมนบอร์ด เพื่อเลือกซื้อเมนบอร์ดที่ตรงกับรุ่นของซีพียูต่อไป ตัวอย่างการดูสเป็กเครื่องจากใบโบรชัวร์สินค้า
การตรวจสอบอุปกรณ์ สภาพของอุปกรณ์ : เป็นการตรวจสอบร่องรอยการนำไปใช้ และดูว่าอุปกรณ์ที่เราจะซื้อใหม่แกะกล่องหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ อุปกรณ์นั้น การรับประกัน : ปัจจุบันจะใช้สติกเกอร์ เนื่องจากการรับประกันแบบนี้ จะเป็นเครื่องยืนยันว่าลูกค้าได้ซื้ออุปกรณ์มจากร้านของตนจริง ได้ซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีระยะการรับประกันเป็นเวลาเท่าไร เลือกซื้อซีพียู การเลือกความเร็วของซีพียู : ความเร็วของซีพียูในปัจจุบันถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว สามารถแบ่งความเหมาะสมตามลักษณะของงานที่ทำได้ดังนี้ ตารางที่ 2-4 แสดงความเร็วของซีพียูที่เหมาะสมกับงานต่างๆ
เลือกยี่ห้อของซีพียู : หากถามว่าจะเลือกซื้อซีพียู ค่ายไหนดี เท่าที่นิยมกันส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็มีINTELและAMDเท่านั้น ซีพียูจากค่าย INTEL : ผลิตทั้งรุ่นที่ออกมาสำหรับตลาดระดับล่างอย่าง CELERON และรุ่น PENTIUM 4 สำหรับตลาดระดับบนที่ต้องการประสิทธิภาพในการทำงานสูง โดยมากแล้วชิปซีพียูจากค่าย INTEL จะได้รับความนิยมสูงกว่าค่ายอื่นๆ เพราะมีเสถียรภาพสูงกว่า และร้อนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ AMD ซีพียูจากค่าย AMD : ถือเป็นคู่แข่งตลอดกาลของ INTEL โดยมีชิปซีพียูรุ่น DURON สำหรับตลาดราคาประหยัด และ ATHLONXP สำหรับตลาดระดับบน โดยตัวเลขที่บอกประสิทธิภาพนั้นจะเปรียบเทียบกับ ATHLON รุ่น THUNDERBIRD ไม่ได้บอกเป็นความเร็วสัญญาณนาฬิกาเหมือนอย่าง INTEL โดยรวมแล้ว ชิปซีพียูของ AMD มีราคาต่ำกว่าพอสมควร ถือเป็นทางเลือกของผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และประสิทธิภาพถือว่าไม่ด้วยกว่ากัน เลือกซื้อเมนบอร์ด คนส่วนใหญ่ที่กำลังจะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์มักหาข้อมูลทำการบ้านแต่เฉพาะในส่วนหลักสองส่วนใหญ่ ก็คือ ซีพียู และ กราฟฟิคการ์ด ซึ่งก็จริงที่ทั้งสองส่วนนี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนที่ได้ฟังสเปกสองตัวนี้ถึงกับร้องอู้หู้เมื่อได้ยินว่าเราใช้ INTEL®CORE I7 940 หรือ ได้ยินว่าเราใช้กราฟฟิคการ์ด NVIDIA GEFORCE295GTX เพราะทั้งสองส่วนนี้เป็นตัวที่ตอบสนองความแรงในการประมวลผลไม่ว่าด้านตัวเลข หรือ ภาพ 3D แต่เคยมีใครได้สังเกตไหมว่าจริงๆ แล้วเรายอมลดสเปกอุปกรณ์บางอย่างลงไปเพื่อให้ได้มาซึ่งซีพียูหรือกราฟฟิกการ์ดที่แรง แต่เรากลับไม่ได้สนใจว่าเมนบอร์ดที่เราซื้อเพื่อใช้กับซีพียูและกราฟฟิกการ์ดนี้ มีประสิทธิภาพที่จะดึงความสามารถของซีพียู กราฟฟิกการ์ด และ ทนทานต่อการใช้งานอย่างต่อเนื่องของเราเพียงใด เทคโนโลยีที่ใช้เป็นอย่างไร มีซอฟท์แวร์ที่มาพร้อมกับเมนบอร์ดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มความปลอดภัย และ ความสะดวกให้กับเราไหม เพราะตอนนี้ซอฟท์แวร์ที่มาพร้อมกับตัวเมนบอร์ดอาจจะเป็นตัวตัดสินที่ทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจเลือกใช้เมนบอร์ดด้วยส่วนหนึง ชนิดของซีพียู (CPU SOCKET) ชิปเซต (CHIPSET) เป็นศูนย์กลางของเส้นทางในการรับส่งข้อมูลผ่านไปยังฮาร์ดแวร์ส่วนตัวต่างๆ ที่ต่อเชื่อมกับเมนบอร์ด ซึ่งการเลือกซื้อ เลือกใช้ต้องอ้างอิงจากตัวซีพียูเป็นหลัก โดยปกติแล้วผู้ผลิตซีพียูอย่างเช่น INTEL® ก็เป็นผู้ผลิตชิปเซ็ต INTEL® ไม่ว่าจะเป็น X58, P55, P45, G45, G31CHIPSET และ อื่นๆ อีกมากมายด้วยเช่นกัน ส่วนฝั่ง AMD หลังจากได้รวมกิจการกับ ATI ก็ใช้ชิปเซ็ตหลักเป็น ATI ไม่ว่าจะเป็น 790X, 785 และ 770 CHIPSET และผู้ผลิตก็จะมีการกำหนดมาตรฐานการใช้งานระหว่างซีพียู กับชิปเซ็ตไว้อยู่แล้ว รวมถึงมีบทความ หรือ ข้อมูลแนะนำในการจับคู่กันอยู่แล้ว เลือกซื้อแรม 1.ประเภทของแรม สำหรับประเภทของแรมนั้น ก็จะถูกจำกัดด้วยเมนบอร์ดที่เราจะเลือกซื้อเช่นกัน โดยเมนบอร์ดก็จะต้องถูกบังคับจากซิปเซต สำหรับคนที่จะซื้อในขนาดนี้จะมีอยู่ 2 ประเภทที่ผมจะแนะนำนะครับ ซึ่งทั้ง 2 มีความเร็วที่แต่ต่างกัน 1.1 DDR 2 สำหรับ DDR 2 นั้นมีความนิยมเป็นอย่างยิ่งในขนาดนี้ถือเป็นแรมตลาดเลยที่เดียว เพราะในปัจจุบันนี้เมนบอร์ดเองก็สามารถรองรับการทำงานของแรมชนิดนี้ได้หมดแล้ว แล้วราคาในขณะนี้ก็มีราคาที่ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับชนิดอื่นๆ และในเรื่องของความเร็วก็สามารถใช้ได้เร็วมากเลยที่เดียว มีความเร็วตั้งแต่ 400-1,066 MIZ ใช้แรงดันไฟฟ้า 1.8 V 1.2 DDR3 เป็นแรมประเภทมี่พึ่งมาใหม่ล่าสุดเลย ซึ่งมีความเร็วสูงสุด ถึง 1,600-2,000 MHZ เลยทีเดียว แล้วใช้แรงดันไฟฟ้าแค่เพียง 1.5 V เท่านั้น ถือได้ว่ามีความเร็วสูงกว่าทุกประเภทแต่ปัจจุบันนี้ได้มี DDR4 มาแล้วเอาไว้คราวหน้าตอนที่มีคนใช้เยอะๆ จะมาเล่าให้ฟังนะครับ ส่วนราคาตอนนี้ยังสูงอยู่ แต่ถ้าใครต้องการซื้อหรือมีตังพอไม่ขัด ครับ เพราะว่ากำลังจะเป็นที่นิยมกันแล้ว แต่ต้องดูด้วยว่าเมนบอร์ดของเรานั้นรองรับหรือไม่ เพราะว่ายังมีเมนบอร์ดที่ยังไม่รองรับอีกเยอะครับ ที่สำคัญ DDR3กับ DDR2 ใช้สล็อตเดียวกันไม่ได้เพราะฉะนั้นแล้วไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ผิด 2.หน่วยความจำ แรมนั้นมีหน่วยความจำหลัก ที่จำเป็นต้องการความจำสูงเพื่อประสิทธิภาพของการทำงานเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย โดยหน่วยความจำของแรมนั้น มีหน่วยเป็น GHZ ยิ่งมีความจำมากก็ทำให้เครื่องเราเร็วขึ้นไปด้วย ราคมของแรมที่มีความจุสูงๆ เดี่ยวนี้ราคาไม่แพงมากนัก แต่ก็ควรที่จะดูว่าขนาดไหนเหมาะกับเรา เพื่อจะได้ไม่สิ้นเปลืองมากกว่าปกติ 3.ความเร็ว ความเร็วหรือว่า บัสของแรมนั้นก็มีความสำคัญเพาะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การถ่ายโดนข้อมูลได้เราขึ้น ซึ่งก็ได้กล่าวไปแล้ว่าประเภทของแรมนั้นก็มีความเร็วที่แตกต่างกัน แล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดเราอีกนั้นล่ะว่าจะรองรับได้มากแค่ไหน หรือถ้าใครซื้อแรมชนิดไหนก็ได้ที่มีความเร็วสูงไปที่เมนบอร์ดจะรองรับก็สามารถจะใส่ได้เมื่อซื้อแรมที่เป็นประเภทเดียวกันเท่านั้นแต่ความเร็วของแรมก็เท่ากับ เมนบอร์ดรองรับ และใครที่ซื้อแรมมา 2 ตัวแต่ มีความเร็วเท่ากัน มันก็จะใช้แรมที่มีความเร็วต่ำกว่านั้นเอง 4.ก็การเลือกยี่ห้อ การเลือกยี่ห้อนั้นแล้วแต่ศรัทธาครับ ไม่ว่ากันแต่จะมีการรับประกันที่แต่ต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ อย่างเช่นการเครมที่ไหม้ได้ไม่ได้ รวมทั้งราคาของแรมด้วยประสิทธิภาพจะแตกต่างกันหรือไม่นั้นส่วนตัวผมเอง ใช่มาหลายยี่ห้อแล้วไม่ต่างกันเลย เพราะฉะนั้นอยากได้ยี่ห้อไหนรับประกันดีเป็นพอ เลือกซื้อฮาร์ดดิสก์ สำหรับฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่มาก เพราะฉะนั้นแล้วจึงมีการเลือกซื้อให้เหาะสมกับความต้องการของเรา ในปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ได้มีราคาต่อความจุถูกมาก และมีความเร็วที่แตกต่างกัน จะข้อแนะนำการเลือกซื้อดังต่อไปนี้ 1.ประเภทของ ฮาร์ดดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ๆ กันอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ (สำหรับฮาร์ดดิสก์ที่เชื่อมต่อภายนอกจะขอกล่าวในลำดันถัดไป) – แบบ IDE เป็นฮาร์ดดิสก์ ที่จะบอกว่ารุ่นเก่าแล้วก็ว่าได้ เพราะว่ามีรุ่นใหม่ที่เร็วกว่าประหยัดทั้งพื้นที่ประทั้งพลังงานได้ดีกว่า และเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะราคาแพงกว่า SATA ด้วยซ้ำ – แบบ SATA เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามามนตอนนี้และได้มีความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่าในเมนบอร์ดรุ่นใหม่นั้นก็ลองรับได้หมดแล้ว และมีราคาที่ถูกกว่า ฮาร์ดดิสก์ แบบSATA 2.ขนาดของความจุ ความจุของฮาร์ดดิสก์หรือพื้นจัดเก็บข้อมูล นั้นมีความสำคัญว่าเราจะใช้งานประเภทใดและต้อง เลือกความจุขนาดใดใครที่ชอบทำงานด้านมัลติมีเดียก็ต้องเลือกความจุมากๆ ปัจจุบันนี้มีความจุ ถึง 2 GB ไปแล้วซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจนลืมไปเลยว่าซื้อมาตอนไหน ไม่รู้จักเต็มสักที แต่ก็ยังมีราคาที่สูงอยู่นั้นเอง 3.ความเร็วรอบ ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นย่อมมีผลโดยตรงต่อความเร็วของฮาร์ดดิสก์ คือถ้าฮาร์ดดิสก์มีความเร็วรอบสูงแล้ว ข้อมูลก็จะเคลื่อนมาถึงหัวอ่านได้อย่างรวดเร็วขึ้น ความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์นั้นมีหน่วยเป็น “รอบต่อนาที (RPM) ในปัจุจบันความเร็วรอบนั้น 5,400-7,200 RPM แล้ว และยังมีการพัฒนาความเร็วได้ถึง 10,000 RPM 4.บัฟเฟอร์ของ ฮาร์ดดิสก์ บัฟเฟอร์ก็คือหน่วยความจำแคชของฮาร์ดดิสก์นั้นเองครับ เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเร็วและประสิทธิภาพของฮาร์ดดิสก์ ถ้าเกิดฮาร์ดดิสก์ไหนที่มีขนาดบัฟเฟอร์ขนาดใหญ่ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะกลับไปนำข้อมูลนั้นมาใช้ซ้ำอีก โดยการทำงานนั้นจะทำงานรวมกับแรม แรมจะนำข้อมูลจากบัฟเฟอร์มาใช้โดยตรง ในปัจจุบันแล้วขนาดบัฟเฟอร์ ก็มีจำนวน 8-32 MB ไปแล้ว 5.ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ช่วงเวลาในการเข้าถึงข้อมูล (SEEK TIME) คือช่วงเวลาที่ตำแหน่องบนจานของฮาร์ดดิสก์นั้นหมุนมาพอดีกับตรงที่หัวอ่านพอดี ความเร็วนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเร็วรอบของฮาร์ดดิสก์เอง ยิ่งมีความเร็วที่น้อยก็สามารถที่จะทำให้ฮาร์ดดิสก์นั้นอ่านเขียนได้เร็วขึ้น เลือกซื้อการ์ดแสดงผล การ์ดแสดงผล เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ทำหน้าทีในการประมวลผลสัญญาณของภาพเพื่อส่งต่อไปยังมอนิเตอร์ เพื่อแสดงภาพ สำหรับการ์ดแสดงผลนี้เป็นจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่ต้องการภาพที่สมจริงรวมไปถึงคนที่ต้องการเล่นเกมส์ และคนที่ชอบตัดต่อ VDO ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะติดตั้งมาพร้อมเมนบอร์ด แต่คนที่ต้องการจะมีการ์ดแสดงผลแยกตางหากก็สามารถ เลือกที่ไม่มีติดตั้งก็ได้ ประเภทของ การ์ดแสดงผล 2.PCI EXPRESS เลือกซื้อจอแสดงผล หลักการเลือกซื้อจอภาพคอมพิวเตอร์
การเลือกซื้อ ไดร์ฟ ดีวีดีอาร์ดับบลิว (DVD-RW DRIVE) CD-RW (ซีดี-อาร์ดับบลิว) CD-RW (ซีดี-อาร์ดับบลิว) เป็นแผ่นซีดีที่สามารถบันทึกซ้ำและลบข้อมูลทิ้งได้ โดยที่แผ่นซีดีนี้สามารถแบ่งการบันทึกเป็นหลายๆ SESSION ได้เช่นเดียวกับแผ่น CD-R แตกต่างกันตรงที่แผ่น CD-RW สามารถบันทึกซ้ำ และลบข้อมูลทิ้งได้ อย่างไรก็ตาม การนำแผ่นที่มีข้อมูลอยู่แล้วมาบันทึกซ้ำ หรือนำแผ่นที่มีข้อมูลเต็มแล้วกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง คุณจำเป็นต้องลบข้อมูลทั้งแผ่นทิ้งไปก่อน แล้วนำกลับมาใช้เหมือนแผ่นเปล่า — และด้วยความสามารถที่เหนือว่าแผ่น CD-R จึงทำให้แผ่น CD-RW มีราคาที่สูงกว่าแผ่น CD-R เลือกซื้อเครื่องพิมพ์ ก่อนที่เราจะเลือกซื้อ ควรจะทราบเสียก่อนว่าต้องการนำไปใช้งานแบบใดเป็นหลักหรือต้องการฟังก์ชันใดๆ บ้าง เช่น นำไปพิมพ์เอกสารทั่วๆ ไป, พิมพ์ภาพถ่าย, การพิมพ์พร้อมทำสำเนา หรือต้องการใช้งานที่หลากหลาย หรือพิมพ์งานที่ต้องการความคมชัดมากๆ ซี่งประเภทของ PRINTER นั้นมีมากมายหลายแบบมาก 1.เลือกชนิดของ PRINTER ให้ถูกต้องตามประเภทของการใช้งาน
หากคุณผู้อ่านมีงบประมาณที่จะซื้ออยู่แล้ว ก็สามารถคำนวณได้ว่าจะซื้อ PRINTER รุ่นใดได้บ้าง และมีฟังก์ชันที่เพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ ซึ่งหากตัดฟังก์ชันบางอย่างหรือคุณสมบัติที่ไม่ต้องการออกไป ก็จะทำให้สามารถลดงบประมาณในการซื้อลงได้
เมื่อเลือกชนิดของ PRINTER ได้ และทราบงบประมาณแล้ว เราก็ควรพิจารณาคุณสมบัติหรือ SPEC ต่างๆ ของ PRINTER แต่ละรุ่น เพื่อเปรียบเทียบกันว่าควรจะซื้อรุ่นไหนดี โดยหัวข้อสำคัญที่เราควรจะทราบหลายๆ อย่างเช่น – ความละเอียด (RESOLUTION) ว่า PRINTER เครื่องนี้พิมพ์ได้ละเอียดแค่ไหน (หน่วยเป็น DPI) ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว PRINTER ในปัจจุบันก็พิมพ์งานได้ละเอียดมากพออยู่แล้วครับ คุณภาพการพิมพ์มักจะขึ้นอยู่กับการปรับตั้งค่า และกระดาษที่ใช้มากกว่า – ขนาดของหยดหมึก หน่วยเป็น PL – ความเร็วในการพิมพ์ ซึ่งอาจมีความแตกต่างกัน หากพิมพ์งานสีหรืองานขาว-ดำ, หากเราต้องการพิมพ์งานทีละมากๆ หรือใช้ในออฟฟิส ก็ควรใช้เครื่อง PRINTER ที่มีความเร็วสูงขึ้น – ขนาดกระดาษที่รองรับ (เล็กสุด-ใหญ่สุด) พิมพ์กระดาษได้หนาแค่ไหน, พิมพ์ไร้ขอบได้หรือไม่, รองรับการพิมพ์ 2 ด้านหรือไม่, ถาดป้อนกระดาษป้อนได้สูงสุดแค่ไหน – หมึกพิมพ์ที่ใช้ ใช้หมึกพิมพ์แบบแยกสี หรือรวมเป็นตลับเดียว ซึ่งหากใช้หมึกพิมพ์แบบแยกเป็นแต่ละสีจะประหยัดกว่า เนื่องจากจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งตลับกรณีหมึกหมด และโดยปกติแล้ว หมึกพิมพ์ของ PRINTER แต่ละรุ่น มักจะราคาไม่เท่ากัน (ไม่แนะนำให้ซื้อ PRINTER ที่ราคาถูกเพียงอย่างเดียวครับ เพราะหมึกพิมพ์มักมีราคาแพง ทำให้ไม่คุ้มค่าในระยะยาว) – การเชื่อมต่อ, การสั่งพิมพ์ ซึ่ง PRINTER รุ่นใหม่ๆ บางรุ่นใช้เป็น WIRELESS แล้ว และสามารถสั่งพิมพ์ได้ง่ายๆ จากกล้องหรือมือถือได้อีกด้วย – ฟังก์ชั่นเสริมอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น มี SCAN และถ่ายเอกสารในตัว, สามารถรับ-ส่ง แฟ็กซ์ได้ – เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา เช่น บางยี่ห้อมีเทคโนโลยีของหมึกพิมพ์โดยเฉพาะซึ่งช่วยให้การพิมพ์ภาพสีมีความคมชัดและสดใสมากยิ่งขึ้น |