Show กองทุนสำรองเลี้ยงชีพบลจ.กสิกรไทย ได้รวบรวมข้อมูลภาษีและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนเพื่อความสะดวกในการศึกษาเกี่ยวกับภาษีในเบื้องต้นเท่านั้น กรุณาศึกษารายละเอียดภาษีเพิ่มเติมด้วยตัวเองอีกครั้ง
หมายเหตุ *เงินสะสมที่ส่งเข้าในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของค่าจ้าง สามารถนำมาหักลดหย่อนในการคำนวณเงินได้เพื่อเสียภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีละ 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกินปีละ 490,000 บาท จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเงินได้เพื่อเสียภาษี เงินกองทุนที่สมาชิกจะได้รับเมื่อพ้นสมาชิกภาพก่อนเกษียณ
เงินกองทุนที่สมาชิกจะได้รับเมื่อพ้นสมาชิกภาพด้วยเหตุออกจากงานเมื่อมีอายุ 55 ปีบริบูรณ์
ข่าวดีของคนกำลังจะลาออก: กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีทางเลือกแล้ว!
คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่? ที่ลาออกจากงานก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเงินที่ได้จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บางคนลาออกไปไม่กี่เดือน ก็นำเงินไปใช้จ่ายจนเกือบหมดสิ้น แล้วแบบนี้เราจะทำอย่างไรกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถ้าเราลาออกจากบริษัท?มาดู 3 ทางเลือก ถ้าคุณลาออก คุณจะจัดการกับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้อย่างไรบ้าง? 1. ยังคงไว้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างต่อได้อีก 1 ปีคุณยังได้รับเงินผลประโยชน์ในการลงทุนต่อ แต่จะไม่มีเงินสมทบ แล้วรอจนกระทั่งคุณพร้อมกับการทำงานที่ใหม่ซึ่งคุณอาจจะโอนย้ายไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างใหม่ได้ 2. โอนย้ายไปยังกองทุนรวม RMFข้อดีคือ เพื่อช่วยให้ลูกจ้างสามารถออมเงินต่อเนื่องได้เท่าที่ต้องการ สามารถที่จะเลือกนโยบายการลงทุนได้เอง และช่วยเรื่องภาษีอีกด้วยคือ ใช้ลดหย่อนภาษีได้
3. นำเงินไปลงทุนต่อเองถ้าเป็นทางเลือกนี้จะต้องดูว่าท่านเสียภาษีอย่างไรและเท่าไร และที่สำคัญ คุณต้องสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนที่ชนะทั้งผลตอบแทนของ SET Index และ กองทุนประเภทหุ้น แบบ Active Fund 3.1) อายุงานน้อยกว่า 5 ปี ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี จะต้องยื่นรวมไปกับเงินได้ประจำปีภาษี โดยเงินที่จะต้องคำนวณการเสียภาษี คือ เงินที่นายจ้างสมทบและผลประโยชน์จากการลงทุน เช่น ทำงานมา 4 ปี ได้รับเงินจากกองทุน 150,000 บาท โดยมีเงินสะสมของตัวเอง 70,000 บาท และมีเงินสมทบจากนายจ้าง 70,000 บาท พร้อมผลประโยชน์จากการลงทุน 10,000 บาท ดังนั้น เงินได้ที่จะนำมาคำนวณภาษี คือ เงินสมทบจากนายจ้าง 70,000 + ผลประโยชน์ 10,000 = 80,000 จะเสียเงินสำหรับภาษีเท่าไร ก็ให้คำนวณจากฐานการเสียภาษีอีกครั้ง 3.2) อายุงาน 5 ปีขึ้นไป แต่อายุไม่เกิน 55 ปี จะต้องยื่นแยกในการเสียภาษี ดังนั้น เงินได้ที่จะนำมาคำนวณภาษี คือ [(เงินสมทบจากนายจ้าง+เงินผลประโยชน์การลงทุน) – (7,000 x อายุงาน)] / 2 โดยเงินก้อนนี้นำไปแยกยื่นได้ ไม่ต้องไปรวมกับ เงินได้ประจำปีภาษี เช่น ทำงานมาแล้ว 6 ปี ได้รับเงินจากกองทุน 250,000 โดยเป็นเงินสะสมของตัวเอง 100,000 และมีเงินสมทบจากนายจ้าง 100,000 พร้อมผลประโยชน์จากการลงทุน 50,000 ดังนั้น เงินได้ที่จะนำมาคำนวณภาษี คือ 150,000 = เงินสมทบจากนายจ้าง 100,000 + ผลประโยชน์ 50,000 = 150,000 เงินที่จะต้องนำไปคิดเสียภาษี คือ [ (150,000 – (6×7,000)]/2 = 54,000 บาท จะเสียเงินสำหรับภาษีเท่าไร ก็ให้คำนวณจากฐานการเสียภาษีอีกครั้ง 3.3) อายุสมาชิกของกองทุน 5 ปีขึ้นไป และ อายุ 55 ปีขึ้นไป ไม่ต้องเสียภาษี แม้จะมีหลายทางเลือก แต่ทางเลือกที่ดี คือ ทางเลือกที่จะทำให้คุณมีออมต่อเนื่อง และเลือกนโยบายการลงทุนเองได้ คือ โอนย้ายไปยัง กองทุนรวม RMF หรือ โอนไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทใหม่ สมพจน์ พัดสุวรรณ ผู้เขียน
WealthGuru คุณ สมพจน์ พัดสุวรรณ CEO BMK Wealth Management ผู้ก่อตั้งเพจ WealthGuru |