เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงเมื่อ ค.ศ. 1945 สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่เสียหายน้อยมากในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจได้กลายเป็นผู้นำโลกเสรี ส่วนสหภาพโซเวียตซึ่งเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสังคมนิยมเมื่อ ค.ศ. 1918 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ได้เป็นผู้นำกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกและพยายามที่จะเป็นผู้นำการปฏิวัติโลกตามแนวความคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงเป็นการเผชิญหน้าของสองกลุ่มอำนาจที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน เรียกว่า ประเทศ อภิมหาอำนาจ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำกลุ่มโลกเสรีและสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่างแข่งขันกันขยายอำนาจจนทำให้เกิดสงครามเย็น (Cold War)ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/50869 สงครามเย็น หมายถึง สภาพความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างมหาอำนาจของโลก 2 ชาติ คือสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตซึ่งเกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสิ้นสุดภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อค.ศ.1991 รวมเวลา 45 ปี เนื่องจากการต่อสู้ทางแนวคิดระหว่างสองค่ายเป็นการต่อสู้ระดับโลก และมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมเกือบทั่วโลก ทั้งสองฝ่ายต่างโฆษณาชวนเชื่อและโจมตีซึ่งกันและกันทางสื่อมวลชน มีการแข่งขันทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อขยายอิทธิพลของตนในภูมิภาคต่างๆของโลก โดยไม่มีการใช้กำลังทหารและอาวุธ จึงเรียกการต่อสู้กันทางด้านแนวความคิดนี้ว่าสงครามเย็น แต่ในช่วงเวลาที่ถือกันว่าเป็นช่วงแห่งสงครามเย็นนั้น ก็มีสงครามที่ใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกันอยู่หลายกรณี เพียงแต่ความขัดแย้งและสงครามเหล่านั้นเป็นสงครามที่จำกัดอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งเท่านั้น คำว่า สงครามเย็น ซึ่งแปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Cold War มีที่มาจากชาวอเมริกัน 2 คน คือ เบอร์นาร์ด บารุค (Bernard Baruch) และวอลเตอร์ ลิปป์มานน์ (Walter Lippmann) ซึ่งใน ค.ศ. 1947 ใช้คำนี้บรรยายความตึงเครียดระหว่างประเทศที่กำลังก่อตัวขึ้นระหว่างกลุ่มประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรกันใน สงครามโลกครั้งที่ 2 ลักษณะสำคัญของสงครามเย็น ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศนี้ได้แสดงออกในหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ยกเว้นการทำสงครามกันเองโดยตรง เช่น การแข่งขันสร้างพันธมิตรทางทหาร การแข่งกันทางด้านอุดมการณ์ การแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านอวกาศ การทหาร และการทำสงครามตัวแทน สาเหตุของสงครามเย็นมีดังนี้ 1. การเปลี่ยนแปลงดุลทางการเมืองโลก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ
สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตได้ก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจของโลก แทนที่ เยอรมนี ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส 3.2 สหภาพโซเวียต โจเซฟ สตาลิน มีนโยบายสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆ ของยุโรปตะวันออกต้องการให้สหภาพโซเวียตเป็นผู้นำของยุโรปตะวันออก เพื่อป้องกันการฟื้นตัวและการคุกคามของเยอรมนี ตลอดจนความต้องการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ไปทั่วโลก โจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต (ค.ศ.1922 – 1953) เมื่อฝ่ายพันธมิตรเป็นผู้มีชัยในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945 นั้น สหภาพโซเวียต ได้ยึดครองบรรดาประเทศยุโรปตะวันออกไว้เกือบทั้งหมด ขณะที่สหรัฐอเมริกายึดครองยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ สำหรับการยึดครองเยอรมนีนั้นได้มีการขีดเส้นแบ่งเขตยึดครองเยอรมนีออกเป็น 2 ส่วน คือ เบอร์ลินตะวันตกอยู่ในความดูแลของฝ่ายพันธมิตร และ เบอร์ลิน ตะวันออกอยู่ภายใต้ความดูแลของสหภาพโซเวียต
1. กำแพงเบอร์ลินและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ
ฝ่ายตะวันตกต้องการให้มีการรวมเยอรมนีเข้าด้วยกัน สหภาพโซเวียตแสดงความไม่พอใจด้วยการปิดล้อมกรุงเบอร์ลินฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นเขตที่ประเทศฝ่ายพันธมิตรยึดครอง ชาวเบอร์ลินตะวันตกและฝ่ายพันธมิตรไม่สามารถเดินทางเข้ากรุงเบอร์ลินตะวันตกทางบกได้ สหรัฐอเมริกาจึงใช้วิธีการลำเลียงเสบียงอาหารและติดต่อกับชาวเบอร์ลินตะวันตกโดยทางอากาศ
ด้านสหภาพโซเวียตนั้นก็ตอบโต้แผนการมาร์แชลด้วยการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศกลุ่มยุโรปตะวันออก ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของตน โดยจัดตั้งสภาให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจ (The Council for Mutual Economic Assistance) หรือโคมีคอน (COMECON) นอกจากนั้นก็ยังทดลองระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1949 สหรัฐอเมริกาเริ่มเสริมกำลังทางทหารให้แก่เยอรมนีตะวันตกด้วยการรับเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโตใน ค.ศ. 1955 ทำให้สหภาพโซเวียตประกาศจัดตั้งสนธิสัญญาป้องกันร่วมทางทหารกับประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออก เรียกว่า สนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact) ซึ่งมีองค์การทำงานคือ องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact Treaty Organization) เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ ต่อมาในวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1961 สหภาพโซเวียตได้สร้างกำแพงขึ้นมากั้นระหว่างกรุงเบอร์ลินตะวันออกกับตะวันตก กำแพงนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็นจนกระทั่งถูกทำลายใน ค.ศ. 1989
ทางภูมิภาคเอเชีย ใน ค.ศ. 1949 กองกำลังคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้การนำของ เหมา เจ๋อ-ตุง สามารถล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยภายใต้การปกครองของพรรคก๊กมินตั๋ง ทำให้ประชาชนที่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตยต้องหนีไปอยู่ที่เกาะไต้หวัน หลังจากนั้นสหภาพโซเวียตก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับสาธารณรัฐประชาชน สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ขึ้น โดยได้ทดลองระเบิดปรมาณูลูกแรกในรัฐนิวเม็กซิโกประสบความสำเร็จ ผลจากการทดลองครั้งนี้คือโลกต้องเข้าสู่ยุคแห่งความน่ากลัวของระเบิดนิวเคลียร์
สหภาพโซเวียตจึงขยายอิทธิพลครอบครองยุโรปตะวันออกเพื่อใช้เป็นกันชนต่อการรุกรานจากตะวันตก ขณะเดียวกันก็เสริมสร้าง ความเข้มแข็งทางทหารและพัฒนาคิดค้นอาวุธปรมาณูเพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสหภาพโซเวียตสามารถทดลองระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จใน ค.ศ. 1949
เป้าหมายสำคัญในการปฏิรูปของกอร์บาชอฟ คือ ความพยายามปฏิรูปกลไ กของราชการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองประเทศให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้นโยบายหลักที่สำคัญ 2 นโยบาย คือ นโยบายกลาสนอสต์ (Glasnost) และนโยบายเปเรสตรอยกา (Pe-restroika) ใน ค.ศ. 1986มิคาอิล เซร์เกเยวิช
กอร์บาชอฟ รัฐบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต นโยบายกลาสนอสต์ เป็นนโยบายที่ต้องการเปิดและผ่อนคลายความเข้มงวดทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมากขึ้น รวมทั้งกิจกรรมของรัฐและองค์การต่างๆ ได้เปิดเผยต่อประชาชนชาวโซเวียตมากขึ้น เป็นการเตรียมสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ให้พร้อมต่อการวางโครงสร้างใหม่ตามนโยบายเปเรสตรอยกา ซึ่งเป็นการปรับทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมให้เป็นไปในลักษณะที่มีเสรีมากขึ้น
4. สงครามตัวแทน : สงครามร้อนในสงครามเย็น 5. การสิ้นสุดสงครามเย็น การจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) เมื่อสงครามเย็นยุติลง กลุ่มประเทศตะวันตกโดยเฉพาะที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำ ได้ประกาศนโยบายในการจัดระเบียบโลกใหม่ ซึ่งมีลักษณะสำคัญ 4 ด้าน คือ 4) มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งนโยบายทั้ง 4 ด้านดำเนินงานควบคู่กับการปกครองที่ มุ่งเน้นให้รัฐมีการบริหารงานภายใต้หลักกฎหมายที่เน้นความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ คำนึงถึงสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพของประชาชน ระบบการทำงานต้องมีความโปร่งใส เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในนโยบายที่สำคัญ ซึ่งล้วนแต่เป็นมาตรการที่ช่วยให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นในการทำงานของภาครัฐและกล้าที่จะเข้าไปลงทุน อันสอดคล้องกับ ระบบการค้าเสรี ที่มา : http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000080644 ในระบบโลกใหม่จะเป็นการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มประเทศในภูมิภาคต่างๆ ของโลก แบ่งเป็น เขตเศรษฐกิจ เฉพาะต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบีบบังคับและต่อรอง หรือใช้เป็นเครื่องมือช่วยส่งเสริมให้กลุ่มประเทศตนมีพลังต่อรองทางด้านเศรษฐกิจเหนือกลุ่มอื่นๆ ระเบียบโลกใหม่จึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศที่กำลังพัฒนา หรือประเทศที่ร่ำรวยกับประเทศที่ยากจน หรือที่เรียกว่า ความสัมพันธ์เหนือใต้ โดยถือว่าประเทศพัฒนาแล้วเป็นประเทศในซีกโลกเหนือและประเทศกำลังพัฒนาเป็นประเทศซีกโลกใต้ เนื่องจากระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีความแตกต่างกันมาก จึงนำไปสู่ความขัดแย้งต่างๆ เช่น ประเทศที่ยากจนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากประเทศร่ำรวย ขณะเดียวกันประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่เคยตกเป็นอาณานิคมของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงเกิดกระแสการต่อต้านอิทธิพลของกลุ่มประเทศฝ่ายที่เหนือกว่าที่เข้ามามีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยากจน และมีอิทธิพลในการครอบงำ กดดันให้กลุ่มชนชั้นนำของกลุ่มประเทศฝ่ายใต้ต้องยินยอมทำตามเงื่อนไขที่ฝ่ายเหนือเป็นผู้กำหนด ที่มา : http://thai.cri.cn/1/2009/04/02/102s147141.htm ความร่วมมือระหว่างประเทศนั้น นอกจากเป็นหนทางในการสร้างสันติภาพแล้วยังเป็นการประสานผลประโยชน์ร่วมกันทั้งทางด้านการค้า การทหาร ตลอดจนวัฒนธรรม จึงทำให้ประเทศต่างๆ เห็นความสำคัญในการจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ เพื่อประสานผลประโยชน์ในด้านต่างๆ ของตนประเภทของความร่วมมือระหว่างประเทศ
1. ความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านเมืองเช่น องค์การอาเซียน ส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกพัฒนาระบอบการเมืองภายใน ของตนเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น องค์การระหว่างประเทศ หมายถึง องค์การที่รัฐตั้งแต่สองรัฐขึ้นไปร่วมกันก่อตั้ง มีการประชุมร่วมกันเป็นประจำ และมีเจ้าหน้าที่ทำงานเต็มเวลา นโยบายขององค์การระหว่างประเทศจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของรัฐสมาชิก การเข้าเป็นสมาชิกเป็นไปตามความสมัครใจของรัฐ ตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่แน่นอน ที่มา : http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=368571 1. สันนิบาตชาติ (League of Nations) ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/สันนิบาตชาติ ใน ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ฝ่ายพันธมิตรได้รับชัยชนะเหนือฝ่ายมหาอำนาจกลาง ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) ได้เสนอข้อเสนอ 14 ประการ (Fourteen Points) เข้าพิจารณาเพื่อเป็นแนวในการเจรจาสันติภาพและจัดระเบียบโลกหลังสงคราม ประการหนึ่งในข้อเสนอ 14 ประการนั้นคือแผนการจัดตั้งสมาคมนานาชาติ ซึ่งแผนการนี้เป็นพื้นฐานให้แก่กฎบัตรสันนิบาตชาติ ซึ่งมีกฎอยู่ 26 ประการด้วยกันการตั้งสมาคมนานาชาติที่เรียกว่า สันนิบาตชาติ (League of Nations) เพื่อวัตถุประสงค์ ดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ลงนามกันที่ พระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) ใน ค.ศ. 1919 แต่เนื่องจากมาตรา 10 ซึ่งระบุว่าชาติสมาชิกจะร่วมมือกันเพื่อรักษาเอกราชของชาติสมาชิก และหากจำเป็นก็จะร่วมมือกันต่อสู้กับชาติรุกราน ซึ่งมีนัยว่าเป็นการเข้าสงครามจึงทำให้วุฒิสภาของสหรัฐฯ ไม่ยอมให้สัตยาบันแก่องค์การสันนิบาตชาติ แต่ถึงแม้สหรัฐฯ จะไม่ได้เป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ สหรัฐฯ ก็เข้าร่วมประชุมและสนับสนุนกิจกรรมของสันนิบาตชาติอย่างไม่เป็นทางการ การขาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจสำคัญเป็นสมาชิก ทำให้องค์การสันนิบาตชาติขาดความเข้มแข็ง 2. องค์การสหประชาชาติ (United Nations) ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/สหประชาชาติ องค์การสหประชาชาติได้รับการก่อตั้งจากการประชุมนานาชาติที่นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 25 เมษายน ถึงวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1945 ในการประชุมครั้งนี้สมาชิกได้ร่วมกันร่างกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งมี 50
ประเทศร่วมลงนามรับรองการก่อตั้งองค์การนานาชาติใน ค.ศ. 1945 และมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีสำนักงานสาขาอยู่ในหลายประเทศ สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติอยู่ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา 3.
องค์การความร่วมมือทางทหาร หลังจากเหตุการณ์ที่กลุ่มก่อการร้ายถล่มอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และอาคารเพนตากอนที่ทำการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 แล้ว องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือได้ใช้มาตรการของสนธิสัญญาเป็นครั้งแรก และได้ส่งกองกำลังนานาชาติเพื่อช่วยรักษาความปลอดภัย (International Security Assistance Force) เข้าไปเป็นผู้นำในการปฏิบัติการในอัฟกานิสถานในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2003 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือส่งกองกำลังออกไปปฏิบัติการนอกทวีปยุโรป . ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/องค์การการค้าโลก องค์การการค้าโลก (WTO) เป็นองค์การระหว่างประเทศ สังกัดสหประชาชาติ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปัจจุบันมีสมาชิก 150 ประเทศ (ประเทศล่าสุดคือ ประเทศตองกา ) กำเนิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1995 เพื่อทำหน้าที่ในการดูแลและดำเนินการเพื่อให้เกิด การค้าเสรี ระหว่างประเทศ โดยเป็นองค์การที่เป็นผลตามมาของข้อตกลงทั่วไปเกี่ยวกับภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs and Trade) หรือที่เรียกชื่อย่อว่า แกตต์ (GATT) ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1947สำนักงานใหญ่ของ WTO ตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มา : http://www.l3nr.org/posts/429853 องค์การการค้าโลกมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยปรับปรุงความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศที่เป็นสมาชิกให้ดีขึ้น ด้วยการลดกำแพงการค้าและเปิดเวทีให้มีการเจรจากันเกี่ยวกับเรื่องการค้า เพื่ออำนวยให้การค้าระหว่างประเทศดำเนินไปโดยสะดวก ด้วยการจัดให้มีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามความพร้อมของประเทศสมาชิกและระดับการพัฒนาของประเทศสมาชิก องค์การการค้าโลกได้กำหนดกฎกติกาต่างๆ ให้มีการปฏิบัติอย่างเป็นพิเศษแก่ ประเทศกำลังพัฒนา (Special and Differential Treatment: S&D) เพื่อให้สามารถเข้าร่วม ในระบบการค้าพหุภาคีได้ องค์การการค้าโลกจึงเป็นองค์กรที่ไม่หยุดนิ่ง จะมีการเจรจาเพื่อพัฒนาและสร้างกฎกติกาใหม่ๆ เพื่อให้สามารถรองรับกับวิวัฒนาการของการค้าระหว่างประเทศและรูปแบบการค้าโลกที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องสมาชิกขององค์การการค้าโลกมีสิทธิและพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามภายใต้ความตกลงต่างๆ และกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศขององค์การการค้าโลก นอกจากช่วยส่งเสริมให้การแข่งขันทางการค้าเป็นธรรมแล้ว ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งผู้ค้าและผู้ลงทุน ผู้ผลิตและส่งออก ให้สามารถคาดการณ์และวางแผนการค้าระหว่างประเทศล่วงหน้าได้
1. ดูแลให้สมาชิกประเทศปฏิบัติตามพันธกรณี องค์การการค้าโลกได้กำหนดกรอบแนวนโยบายการค้าให้สมาชิกประเทศปฏิบัติตาม ดังนี้ ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/สหภาพยุโรป สหภาพยุโรปเป็นการรวมกลุ่มของประเทศยุโรปตะวันตกเพื่อสร้างเอกภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ การเงิน การต่างประเทศ สังคม และวัฒนธรรมโดยมีเป้าหมายคือ ยุโรปที่ไร้พรมแดน สหภาพยุโรปพัฒนามาจากการดำเนินงานขององค์การความร่วมมือของยุโรปที่ก่อตั้งมาก่อน คือ ประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้ายุโรป หรืออีซีเอสซี (European Coal and Steel community: ECSC ค.ศ. 1952) ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปหรืออีซีซี (European Economic Community: EEC: ค.ศ. 1958) และประชาคมพลังงานปรมาณูยุโรปหรือยูราตอม (European Atomic Energy Community: EURATOM ค.ศ. 1958) ประชาคมทั้ง 3 ได้รวมตัวกันเป็นประชาคมยุโรป (European Community: EC) เมื่อ ค.ศ. 1967 ภายหลังการลงนามใน สนธิสัญญามาสทริกต์ (Maastricht Treaty: ค.ศ. 1992) ทำให้เกิดสหภาพยุโรปหรืออียูขึ้นใน ค.ศ. 1993 นำไปสู่การจัดตั้งองค์กรสำคัญต่อการรวมตัวของยุโรป เช่น การจัดตั้งตลาดเดียวของยุโรป (Single Economic Marget: ค.ศ. 1993) ธนาคารกลางยุโรปหรืออีซีบี (European Central Bank: ECB ค.ศ. 1999) สหภาพยุโรปมีประเทศสมาชิก 15 ประเทศ ประกอบด้วยฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก อังกฤษ เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ กรีซ สเปน โปรตุเกส และสวีเดนสหภาพยุโรปกำหนดให้ใช้เงินสกุลเดียวกันคือ เงินยูโร (Euro) เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1999 และกำหนดให้เงินยูโรเป็นหน่วยเงินจริงในระบบเศรษฐกิจของสหภาพเศรษฐกิจ และการเงินหรืออีเอ็มยู (Economic and Monetary Union: EMU) สมาชิก ได้แก่ ประเทศออสเตรีย เบลเยียม ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ไอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และสเปน ส่วนทางด้านการเมืองมีองค์กรหลัก คือ รัฐสภายุโรป (European Parliament) นอกจากนี้ยังให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่ประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกา และหมู่เกาะแปซิฟิก ซึ่งเป็นอดีตอาณานิคมของประเทศสมาชิก ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1967 ในการประชุมที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เป็นองค์การความร่วมมือระดับภูมิภาคโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA)
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านความเจริญเติบโตและความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมาชิกอาเซียนจึงตกลงจัดตั้ง เขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟตา (AFTA) ขึ้นในการประชุมผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ใน ค.ศ. 1992 โดยมี จุดมุ่งหมายให้เกิดเขตการค้าเสรีขึ้นภายในระยะเวลา 15 ปี วัตถุประสงค์ของอาฟตา การก่อตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ การดำเนินการของอาฟตา เนื่องจากการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้าภายในภูมิภาคอาเซียน จึงได้มีการดำเนินการ ดังนี้ ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เอเปกก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 จากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ณ กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันเอเปกมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 21 ประเทศ ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไทย จีน เขตปกครองพิเศษจีนไต้หวัน ชิลี เม็กซิโก ปาปัวนิวกินี เปรู รัสเซีย และเวียดนาม โดยประเทศไทยเป็นประธานและเจ้าภาพจัดการประชุม เอเปกใน ค.ศ. 2003 วัตถุประสงค์ของเอเปก
การก่อตั้งเอเปกมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. พัฒนาและส่งเสริมระบบการค้าทวิภาคี ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/โอเปก องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (Organization of the Petroleum Exporting Countries) หรือเรียกชื่อย่อกันว่า โอเปก (OPEC) ตั้งขึ้นในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1960 เพื่อทำหน้าที่ประสานงานเกี่ยวกับนโยบายการผลิตและการกำหนดราคาน้ำมันปิโตรเลียม (หรือน้ำมันดิบ) ของประเทศสมาชิก
|