หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

 
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

            เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงเมื่อ ค.ศ. 1945 สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่เสียหายน้อยมากในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจได้กลายเป็นผู้นำโลกเสรี ส่วนสหภาพโซเวียตซึ่งเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสังคมนิยมเมื่อ ค.ศ. 1918 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ได้เป็นผู้นำกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกและพยายามที่จะเป็นผู้นำการปฏิวัติโลกตามแนวความคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงเป็นการเผชิญหน้าของสองกลุ่มอำนาจที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน เรียกว่า ประเทศ อภิมหาอำนาจ 

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำกลุ่มโลกเสรีและสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่างแข่งขันกันขยายอำนาจจนทำให้เกิดสงครามเย็น (Cold War)
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/50869

            สงครามเย็น หมายถึง สภาพความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างมหาอำนาจของโลก 2 ชาติ คือสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตซึ่งเกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสิ้นสุดภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อค.ศ.1991 รวมเวลา 45 ปี

            เนื่องจากการต่อสู้ทางแนวคิดระหว่างสองค่ายเป็นการต่อสู้ระดับโลก และมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมเกือบทั่วโลก ทั้งสองฝ่ายต่างโฆษณาชวนเชื่อและโจมตีซึ่งกันและกันทางสื่อมวลชน มีการแข่งขันทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อขยายอิทธิพลของตนในภูมิภาคต่างๆของโลก โดยไม่มีการใช้กำลังทหารและอาวุธ จึงเรียกการต่อสู้กันทางด้านแนวความคิดนี้ว่าสงครามเย็น แต่ในช่วงเวลาที่ถือกันว่าเป็นช่วงแห่งสงครามเย็นนั้น ก็มีสงครามที่ใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกันอยู่หลายกรณี เพียงแต่ความขัดแย้งและสงครามเหล่านั้นเป็นสงครามที่จำกัดอยู่ในบริเวณใดบริเวณหนึ่งเท่านั้น

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

            คำว่า สงครามเย็น ซึ่งแปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Cold War มีที่มาจากชาวอเมริกัน 2 คน คือ เบอร์นาร์ด บารุค (Bernard Baruch) และวอลเตอร์ ลิปป์มานน์ (Walter Lippmann) ซึ่งใน ค.ศ. 1947 ใช้คำนี้บรรยายความตึงเครียดระหว่างประเทศที่กำลังก่อตัวขึ้นระหว่างกลุ่มประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรกันใน สงครามโลกครั้งที่ 2

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
  ลักษณะสำคัญของสงครามเย็น

            ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศนี้ได้แสดงออกในหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ยกเว้นการทำสงครามกันเองโดยตรง เช่น การแข่งขันสร้างพันธมิตรทางทหาร การแข่งกันทางด้านอุดมการณ์ การแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านอวกาศ การทหาร และการทำสงครามตัวแทน

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
สาเหตุของสงครามเย็นมีดังนี้

            1. การเปลี่ยนแปลงดุลทางการเมืองโลก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตได้ก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจของโลก แทนที่ เยอรมนี ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส
            2. ความแตกต่างในอุดมการณ์ทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต การแข่งขันกันแพร่อิทธิพลจึงเกิดการเผชิญหน้ากันทำให้บรรยากาศการเมืองของโลกตึงเครียด
            3. ความขัดแย้งในนโยบายด้านการต่างประเทศของผู้นำทั้งสอง
                 3.1สหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีทรูแมน ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าว มุ่งต่อต้านขัดค้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียตเกรงว่าอำนาจคอมมิวนิสต์จะครองโลก จึงให้การสนับสนุนรัฐบาลประเทศเสรีประชาธิปไตยที่อยู่ในเครือและใกล้ชิดดังนี้
                      1)หลักการทรูแมน ใจความ คือ สหรัฐอเมริกาจะให้ความช่วยเหลือรัฐบาลในระบอบเสรีประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์
                    2) แผนการมาร์แชล

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
เป็นโครงการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเพื่อบูรณะและฟื้นฟูประเทศต่างๆในยุโรปจากภัยสงครามโลกครั้งที่ 2
                 3.2 สหภาพโซเวียต โจเซฟ สตาลิน  มีนโยบายสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆ ของยุโรปตะวันออกต้องการให้สหภาพโซเวียตเป็นผู้นำของยุโรปตะวันออก  เพื่อป้องกันการฟื้นตัวและการคุกคามของเยอรมนี ตลอดจนความต้องการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ไปทั่วโลก

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

โจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต (ค.ศ.1922 – 1953)
ที่มา : http://www.war-world.com/สงครามเย็น/

            เมื่อฝ่ายพันธมิตรเป็นผู้มีชัยในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945 นั้น สหภาพโซเวียต 

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
ได้ยึดครองบรรดาประเทศยุโรปตะวันออกไว้เกือบทั้งหมด ขณะที่สหรัฐอเมริกายึดครองยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ สำหรับการยึดครองเยอรมนีนั้นได้มีการขีดเส้นแบ่งเขตยึดครองเยอรมนีออกเป็น 2 ส่วน คือ เบอร์ลินตะวันตกอยู่ในความดูแลของฝ่ายพันธมิตร และ เบอร์ลิน ตะวันออกอยู่ภายใต้ความดูแลของสหภาพโซเวียต

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

1. กำแพงเบอร์ลิน

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ

            ฝ่ายตะวันตกต้องการให้มีการรวมเยอรมนีเข้าด้วยกัน สหภาพโซเวียตแสดงความไม่พอใจด้วยการปิดล้อมกรุงเบอร์ลินฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นเขตที่ประเทศฝ่ายพันธมิตรยึดครอง ชาวเบอร์ลินตะวันตกและฝ่ายพันธมิตรไม่สามารถเดินทางเข้ากรุงเบอร์ลินตะวันตกทางบกได้ สหรัฐอเมริกาจึงใช้วิธีการลำเลียงเสบียงอาหารและติดต่อกับชาวเบอร์ลินตะวันตกโดยทางอากาศ
            สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรได้ตอบโต้สหภาพโซเวียตด้วยการตกลงทำสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาป้องกันร่วมทางทหาร และมีการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (The North Atlantic Treaty Organization) หรือที่เรียกชื่อย่อว่า นาโต (NATO)

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
ที่มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ หากสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งถูกรุกราน ภาคีสมาชิกก็จะเข้าช่วยเหลือกันทางทหาร มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

            ด้านสหภาพโซเวียตนั้นก็ตอบโต้แผนการมาร์แชลด้วยการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศกลุ่มยุโรปตะวันออก ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของตน โดยจัดตั้งสภาให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจ (The Council for Mutual Economic Assistance) หรือโคมีคอน (COMECON) นอกจากนั้นก็ยังทดลองระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1949
สหรัฐอเมริกาเริ่มเสริมกำลังทางทหารให้แก่เยอรมนีตะวันตกด้วยการรับเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโตใน ค.ศ. 1955 ทำให้สหภาพโซเวียตประกาศจัดตั้งสนธิสัญญาป้องกันร่วมทางทหารกับประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออก เรียกว่า สนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact) ซึ่งมีองค์การทำงานคือ องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact Treaty Organization)
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ ต่อมาในวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1961 สหภาพโซเวียตได้สร้างกำแพงขึ้นมากั้นระหว่างกรุงเบอร์ลินตะวันออกกับตะวันตก กำแพงนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็นจนกระทั่งถูกทำลายใน ค.ศ. 1989

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

            ทางภูมิภาคเอเชีย ใน ค.ศ. 1949 กองกำลังคอมมิวนิสต์จีน  ภายใต้การนำของ เหมา เจ๋อ-ตุง สามารถล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยภายใต้การปกครองของพรรคก๊กมินตั๋ง ทำให้ประชาชนที่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตยต้องหนีไปอยู่ที่เกาะไต้หวัน หลังจากนั้นสหภาพโซเวียตก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับสาธารณรัฐประชาชน
            สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ขึ้น โดยได้ทดลองระเบิดปรมาณูลูกแรกในรัฐนิวเม็กซิโกประสบความสำเร็จ ผลจากการทดลองครั้งนี้คือโลกต้องเข้าสู่ยุคแห่งความน่ากลัวของระเบิดนิวเคลียร์
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

            สหภาพโซเวียตจึงขยายอิทธิพลครอบครองยุโรปตะวันออกเพื่อใช้เป็นกันชนต่อการรุกรานจากตะวันตก ขณะเดียวกันก็เสริมสร้าง ความเข้มแข็งทางทหารและพัฒนาคิดค้นอาวุธปรมาณูเพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสหภาพโซเวียตสามารถทดลองระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จใน ค.ศ. 1949
            หลังจากนั้นทั้งสองประเทศก็ได้แข่งขันกันพัฒนาและสะสมอาวุธนิวเคลียร์อย่างหนัก ทำให้สงครามเย็นที่ก่อตัวขึ้นคุกกรุ่น และทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน และอินเดีย ต่างเร่งพัฒนานิวเคลียร์และมีไว้ครอบครองเพื่อถ่วงดุลอำนาจทางอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเทศที่คาดว่าอาจกำลังพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เช่น อิสราเอล แอฟริกาใต้ ปากีสถาน เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นอาวุธที่มีการทำลายล้างสิ่งมีชีวิตและสภาพ-แวดล้อมอย่างรุนแรง
            การแข่งขันกันสะสมอาวุธที่มีกำลังการทำลายสูงดังกล่าวได้สร้างความตึงเครียดและหวาดกลัวต่อคนทั้งโลก นานาชาติจึงเริ่มมีการเรียกร้องให้มีการจำกัดจำนวนอาวุธร้ายแรง สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตพยายามเปิดการเจรจาลดกำลังอาวุธ โดยการเจรจาตกลงและการร่างสนธิสัญญาลดกำลังอาวุธประสบผลสำเร็จใน ค.ศ. 1972 ด้วยการยอมรับข้อตกลงในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธทางยุทธศาสตร์ ฉบับที่ 1 (The Strategic Arms Limitation Talks - SALT I)
            แม้ว่าหลายประเทศจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาวุธลดลง แต่ในหลายภูมิภาคทั่วโลก เช่นในตะวันออกกลาง ที่การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับ ปาเลสไตน์  ยังรุนแรงต่อเนื่อง หรือการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในหลายประเทศ เช่น เกาหลีเหนือ อิหร่าน อินเดีย ปากีสถาน ทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้รู้สึกไม่วางไว้ใจซึ่งกันและกัน เกิดการยั่วยุระหว่างกันและแข่งขันกันสะสมอาวุธเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ
2. การปฏิวัติในยุโรปตะวันออก
            ใน ค.ศ. 1989 เป็นปีที่มีการรวมเยอรมนี และเป็นปีที่เกิดการปฏิวัติของประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก อีก 5 ประเทศ ได้แก่ โปแลนด์ ฮังการี เชโกสโสวะเกีย บัลแกเรีย และโรมาเนีย การปฏิวัติของทั้ง 5 ประเทศนั้นมาจากสาเหตุทางการเมืองที่ปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ ที่เกิดจากการใช้กำลังบังคับและต้องอยู่ภายใต้การควบคุมจากสหภาพโซเวียต อย่างใกล้ชิด แต่ถ้าเกิดการปฏิรูปที่ขัดแย้งกับนโยบายของสหภาพโซเวียต ก็มักจะมีการปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้เกิดกระแสเรียกร้องจากประชาชนภายในประเทศ และเมื่อเกิดการปฏิรูปในสมัยกอร์บาชอฟ ประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต ทำให้ประเทศในยุโรปตะวันออกเริ่มปฏิรูปเช่นเดียวกัน เพราะในขณะนั้นบรรดาประเทศในยุโรปตะวันออกต่างประสบกับปัญหาเช่นเดียวกันกับสหภาพโซเวียต โดยเฉพาะปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุนแรงอยู่ในภาวะชะงักงันและใกล้จะล้มละลาย อีกทั้งการยกเลิกหลักการเบรชเนฟ ทำให้ผู้นำในการปฏิรูปในยุโรปตะวันออกมั่นใจว่าการปฏิรูปของพวกเขาจะไม่ถูกปราบปรามโดยรัฐบาลสหภาพโซเวียต
            ประเทศที่เคยอยู่ในฐานะบริวารของสหภาพโซเวียตในยุโรปตะวันออก ได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเกือบทั้งหมด แม้กระทั่งยูโกสลาเวีย ซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่เป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต ก็ได้เกิดการจลาจลจนทำให้ประเทศยูโกสลาเวียต้องล่มสลายใน ค.ศ. 1991 เกิดการแยกตัวของสาธารณรัฐต่างๆ และเกิดสงครามเชื้อชาติในดินแดนของอดีตยูโกสลาเวีย
3. การล่มสลายของสหภาพโซเวียต
            ช่วงต้นทศวรรษ 1860 สหภาพโซเวียตตกอยู่ในภาวะชะงักงันเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ การเมืองภายในไม่มีประสิทธิภาพเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง คุณภาพชีวิตของประชากรล้าหลัง รวมทั้งการเมืองระหว่างประเทศอยู่ในภาวะตึงเครียดในช่วงสงครามเย็น ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้านั้นล้วนแต่บั่นทอนความเป็นมหาอำนาจของโลก เมื่อนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจในฐานะเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1985 และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ตระหนักในปัญหาทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ และเห็นความจำเป็นที่จะต้องดำเนินนโยบายผลักดันให้ประเทศมีการพัฒนาทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองมากขึ้น

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

เป้าหมายสำคัญในการปฏิรูปของกอร์บาชอฟ คือ ความพยายามปฏิรูปกลไ กของราชการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองประเทศให้ทันสมัยขึ้น โดยใช้นโยบายหลักที่สำคัญ 2 นโยบาย คือ นโยบายกลาสนอสต์ (Glasnost) และนโยบายเปเรสตรอยกา (Pe-restroika)

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
ใน ค.ศ. 1986

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

มิคาอิล เซร์เกเยวิช กอร์บาชอฟ รัฐบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต
ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/มีฮาอิล_กอร์บาชอฟ

            นโยบายกลาสนอสต์

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
เป็นนโยบายที่ต้องการเปิดและผ่อนคลายความเข้มงวดทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมากขึ้น รวมทั้งกิจกรรมของรัฐและองค์การต่างๆ ได้เปิดเผยต่อประชาชนชาวโซเวียตมากขึ้น เป็นการเตรียมสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ให้พร้อมต่อการวางโครงสร้างใหม่ตามนโยบายเปเรสตรอยกา ซึ่งเป็นการปรับทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมให้เป็นไปในลักษณะที่มีเสรีมากขึ้น

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

4. สงครามตัวแทน : สงครามร้อนในสงครามเย็น
            ภูมิภาคเอเชียเป็นเวทีความขัดแย้ง ระหว่างมหาอำนาจในยุคสงครามเย็น จนเกิดสภาพ สงครามตัวแทนขึ้น มีดังนี้
            สงครามเกาหลี  (ค.ศ. 1950-1953) มีสาเหตุเกิดจาเกาหลีเหนือได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตได้เคลื่อนกำลังพลบุกข้ามพรมแดน(เส้นขนานที่ 38 เหนือ) เข้ามายังเกาหลีใต้ ทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรได้ร่วมกันจัดส่งกองกำลังทหารเข้าต่อต้าน และสามารถขับไล่กองกำลังเกาหลีเหนือพ้นจากเกาหลีใต้ได้สำเร็จ สงครามนี้มีผู้คนเสียชีวิต 3 ล้านคน
            สงครามเวียดนาม(ค.ศ. 1965-1975) สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
            1. สาเหตุของสงครามคือ เวียดนามเหนือต้องการรวมเวียดนามใต้เข้าด้วยกันและเปลี่ยนการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ จึงส่งกำลังข้ามแดน(เส้นขนานที่ 17 เหนือ) เข้ายึดกรุงไซ่ง่อน ภายใต้การสนับสนุนของสหภาพโซเวียต และขอความช่วยเหลือจากขบวนการคอมมิวนิสต์ในเวียดนามใต้ที่เรียกว่า เวียดกง
            2. สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรในค่ายประชาธิปไตย ได้ส่งกำลังทหารและอาวุธยุทโธประกรณ์ต่างๆ เข้าร่วมในสงครามเพื่อต่อต้านการรุกรานของฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยทุ่มงบประมาณและกำลังทหารเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการทิ้งระเบิดโจมตีเวียดนามเหนืออย่างหนัก แต่ไม่อาจเอาชนะเวียตนามเหนือและเวียดกงได้
            3. ความสูญเสียชวิตทหารอเมริกันจำนวนมาก ทำให้ชาวอเมริกาต่อต้านการเข้าร่วมสงครามเวียดนาม

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
ของรัฐบาล ในปีค.ศ.1973 มีการเจรจาสันติภาพที่กรุงปรารีส ประเทศฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกายินยอมถอนทหารออกจากเวียดนาม และเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1976 เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดกรุงไซ่งอนได้สำเร็จ สงครามเวียดนามจึงสิ้นสุดลงรวมเวลาของสงคราม 10 ปี

5. การสิ้นสุดสงครามเย็น
            สหภาพโซเวียตยุคที่มิคกาฮิล กอร์บาชอฟ เป็นผู้นำ ได้ดำเนินการปฏิรูปประเทศหลายด้าน และเป็นจุดเริ่มต้นทำให้สภาวะสงครามคลี่คลายตัวลง สรุปได้ดังนี้
            1.การใช้นโยบายปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตให้เป็นเสรีประชาธิปไตยมากขึ้น เรียกว่านโยบายเปิด-รับ หรือกลาสนอสต์-เปเรสทรอยกา รวมทั้งลดความตึงเครียดด้วยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา
            2. การรวมเยอรมนี ตะวันออกและตะวันตก การที่ประเทศในยุโรปตะวันออกเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย
            3. การล่มสลายของสหภาพโซเวียต

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

             การจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) เมื่อสงครามเย็นยุติลง กลุ่มประเทศตะวันตกโดยเฉพาะที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำ ได้ประกาศนโยบายในการจัดระเบียบโลกใหม่ ซึ่งมีลักษณะสำคัญ 4 ด้าน คือ
             1) การเคารพสิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนและสิทธิมนุษยชน
             2) การปกครองแบบประชาธิปไตย
             3) ระบบการค้าเสรี

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

             4) มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม
             ซึ่งนโยบายทั้ง 4 ด้านดำเนินงานควบคู่กับการปกครองที่ มุ่งเน้นให้รัฐมีการบริหารงานภายใต้หลักกฎหมายที่เน้นความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ คำนึงถึงสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพของประชาชน ระบบการทำงานต้องมีความโปร่งใส เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในนโยบายที่สำคัญ ซึ่งล้วนแต่เป็นมาตรการที่ช่วยให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นในการทำงานของภาครัฐและกล้าที่จะเข้าไปลงทุน อันสอดคล้องกับ ระบบการค้าเสรี

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

ที่มา : http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000080644

             ในระบบโลกใหม่จะเป็นการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มประเทศในภูมิภาคต่างๆ ของโลก แบ่งเป็น เขตเศรษฐกิจ  เฉพาะต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบีบบังคับและต่อรอง หรือใช้เป็นเครื่องมือช่วยส่งเสริมให้กลุ่มประเทศตนมีพลังต่อรองทางด้านเศรษฐกิจเหนือกลุ่มอื่นๆ ระเบียบโลกใหม่จึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศที่กำลังพัฒนา หรือประเทศที่ร่ำรวยกับประเทศที่ยากจน หรือที่เรียกว่า ความสัมพันธ์เหนือใต้ โดยถือว่าประเทศพัฒนาแล้วเป็นประเทศในซีกโลกเหนือและประเทศกำลังพัฒนาเป็นประเทศซีกโลกใต้ เนื่องจากระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีความแตกต่างกันมาก จึงนำไปสู่ความขัดแย้งต่างๆ เช่น ประเทศที่ยากจนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากประเทศร่ำรวย ขณะเดียวกันประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่เคยตกเป็นอาณานิคมของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงเกิดกระแสการต่อต้านอิทธิพลของกลุ่มประเทศฝ่ายที่เหนือกว่าที่เข้ามามีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยากจน และมีอิทธิพลในการครอบงำ กดดันให้กลุ่มชนชั้นนำของกลุ่มประเทศฝ่ายใต้ต้องยินยอมทำตามเงื่อนไขที่ฝ่ายเหนือเป็นผู้กำหนด

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

ที่มา : http://thai.cri.cn/1/2009/04/02/102s147141.htm

             ความร่วมมือระหว่างประเทศนั้น นอกจากเป็นหนทางในการสร้างสันติภาพแล้วยังเป็นการประสานผลประโยชน์ร่วมกันทั้งทางด้านการค้า การทหาร ตลอดจนวัฒนธรรม จึงทำให้ประเทศต่างๆ เห็นความสำคัญในการจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ 

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
เพื่อประสานผลประโยชน์ในด้านต่างๆ ของตน

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
  ประเภทของความร่วมมือระหว่างประเทศ

             1. ความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านเมืองเช่น องค์การอาเซียน  ส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกพัฒนาระบอบการเมืองภายใน ของตนเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
             2. ความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านทหาร ในการให้ความช่วยเหลือทางด้านการทหารต่อกัน เช่น องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต เป็นต้น
             3. ความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ เป็นการร่วมมือเพื่อให้เกิดความ เข้มแข็งทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งหลายประเทศจะร่วมมือกันจัดตั้งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจ เช่น สหภาพยุโรป เอเปก องค์การการค้าโลก เป็นต้น
             4. ความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านการศึกษา วัฒนธรรม และอื่นๆ ในการให้ความช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนความรู้และอื่นๆ เพื่อเกิดความเข้าใจอันดี ความก้าวหน้า การพิทักษ์คุ้มครองในแต่ละด้านที่มีการตกลงร่วมมือกัน ความร่วมมือด้านนี้ เช่น องค์การยูเนสโก อาเซียน เป็นต้น
             5. ความร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นที่ได้รับความ เดือดร้อน เช่น ผู้ได้รับภัยพิบัติ ผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ผู้อพยพจากภัยสงคราม เป็นต้น ความร่วมมือลักษณะนี้ เช่น กองทุนเด็กแห่งสหประชาชาติหรือยูนิเซฟ เป็นต้น

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

             องค์การระหว่างประเทศ หมายถึง องค์การที่รัฐตั้งแต่สองรัฐขึ้นไปร่วมกันก่อตั้ง มีการประชุมร่วมกันเป็นประจำ และมีเจ้าหน้าที่ทำงานเต็มเวลา นโยบายขององค์การระหว่างประเทศจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของรัฐสมาชิก การเข้าเป็นสมาชิกเป็นไปตามความสมัครใจของรัฐ ตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่แน่นอน

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

ที่มา : http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=368571

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

1. สันนิบาตชาติ (League of Nations)
             สันนิบาตชาติ 

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
เป็นองค์การระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาสันติภาพ ของโลก โดยมีการประชุมครั้งแรกเพื่อพิจารณาก่อตั้งสันนิบาตชาติเกิดขึ้นที่ กรุงเจนีวาประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920 มีประเทศที่เข้าร่วมประชุม 42 ประเทศ

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/สันนิบาตชาติ

             ใน ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ฝ่ายพันธมิตรได้รับชัยชนะเหนือฝ่ายมหาอำนาจกลาง ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson) 

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
ได้เสนอข้อเสนอ 14 ประการ (Fourteen Points) เข้าพิจารณาเพื่อเป็นแนวในการเจรจาสันติภาพและจัดระเบียบโลกหลังสงคราม ประการหนึ่งในข้อเสนอ 14 ประการนั้นคือแผนการจัดตั้งสมาคมนานาชาติ ซึ่งแผนการนี้เป็นพื้นฐานให้แก่กฎบัตรสันนิบาตชาติ ซึ่งมีกฎอยู่ 26 ประการด้วยกัน
             การตั้งสมาคมนานาชาติที่เรียกว่า สันนิบาตชาติ (League of Nations) เพื่อวัตถุประสงค์ ดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ลงนามกันที่ พระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) 
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
ใน ค.ศ. 1919 แต่เนื่องจากมาตรา 10 ซึ่งระบุว่าชาติสมาชิกจะร่วมมือกันเพื่อรักษาเอกราชของชาติสมาชิก และหากจำเป็นก็จะร่วมมือกันต่อสู้กับชาติรุกราน ซึ่งมีนัยว่าเป็นการเข้าสงครามจึงทำให้วุฒิสภาของสหรัฐฯ ไม่ยอมให้สัตยาบันแก่องค์การสันนิบาตชาติ แต่ถึงแม้สหรัฐฯ จะไม่ได้เป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติ สหรัฐฯ ก็เข้าร่วมประชุมและสนับสนุนกิจกรรมของสันนิบาตชาติอย่างไม่เป็นทางการ การขาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาอำนาจสำคัญเป็นสมาชิก ทำให้องค์การสันนิบาตชาติขาดความเข้มแข็ง
2. องค์การสหประชาชาติ (United Nations)

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/สหประชาชาติ

             องค์การสหประชาชาติได้รับการก่อตั้งจากการประชุมนานาชาติที่นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 25 เมษายน ถึงวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1945 ในการประชุมครั้งนี้สมาชิกได้ร่วมกันร่างกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งมี 50 ประเทศร่วมลงนามรับรองการก่อตั้งองค์การนานาชาติใน ค.ศ. 1945 และมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีสำนักงานสาขาอยู่ในหลายประเทศ สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติอยู่ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
             องค์การสหประชาชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อ
             1. รักษาสันติภาพและความปลอดภัยของนานาชาติ
             2. พัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างนานาประเทศ
             3. ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และเสรีภาพ ขั้นพื้นฐาน
             4. เป็นศูนย์ประสานงานกิจกรรมของชาติต่างๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้หนังสือ

3. องค์การความร่วมมือทางทหาร
             3.1องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization: NATO) องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization) หรือนาโต (NATO) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1949 โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ
             1. ร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศสมาชิกในลักษณะการป้องกันร่วมเพื่อรักษาสันติภาพ และความมั่นคงของประเทศสมาชิก
             2. ช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ซึ่งจุดมุ่งหมายที่แท้จริงขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือก็คือการร่วมมือ เพื่อป้องกันมิให้สหภาพโซเวียตขยายอิทธิพลเข้ามาในยุโรปตะวันตกโดยมีสหรัฐฯ เป็นสมาชิกสำคัญ
             องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือมีสำนักงานตั้งอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
             หลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลง องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือได้ปรับทิศทางขององค์การมาเน้นทางด้านการเมือง และการจัดกองกำลังทหารเพื่อการปฏิบัติการเร็ว สำหรับแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาค ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1995 องค์การสนธิ สัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือเป็นผู้นำกองกำลังนานาชาติเข้ารักษาสันติภาพในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ใน ค.ศ. 1999 องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือได้ส่งกองทหารเข้ารักษาสันติภาพใน โคโซโว (Cosovo)

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

             หลังจากเหตุการณ์ที่กลุ่มก่อการร้ายถล่มอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และอาคารเพนตากอนที่ทำการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 แล้ว องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือได้ใช้มาตรการของสนธิสัญญาเป็นครั้งแรก และได้ส่งกองกำลังนานาชาติเพื่อช่วยรักษาความปลอดภัย (International Security Assistance Force) เข้าไปเป็นผู้นำในการปฏิบัติการในอัฟกานิสถานในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2003 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือส่งกองกำลังออกไปปฏิบัติการนอกทวีปยุโรป

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

 

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
.

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/องค์การการค้าโลก

            องค์การการค้าโลก (WTO) เป็นองค์การระหว่างประเทศ สังกัดสหประชาชาติ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปัจจุบันมีสมาชิก 150 ประเทศ (ประเทศล่าสุดคือ ประเทศตองกา

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
) กำเนิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1995 เพื่อทำหน้าที่ในการดูแลและดำเนินการเพื่อให้เกิด การค้าเสรี 
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
ระหว่างประเทศ โดยเป็นองค์การที่เป็นผลตามมาของข้อตกลงทั่วไปเกี่ยวกับภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs and Trade) หรือที่เรียกชื่อย่อว่า แกตต์ (GATT)  
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
  ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1947

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
 
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

สำนักงานใหญ่ของ WTO ตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ที่มา : http://www.l3nr.org/posts/429853

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

            องค์การการค้าโลกมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยปรับปรุงความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศที่เป็นสมาชิกให้ดีขึ้น ด้วยการลดกำแพงการค้าและเปิดเวทีให้มีการเจรจากันเกี่ยวกับเรื่องการค้า เพื่ออำนวยให้การค้าระหว่างประเทศดำเนินไปโดยสะดวก ด้วยการจัดให้มีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามความพร้อมของประเทศสมาชิกและระดับการพัฒนาของประเทศสมาชิก องค์การการค้าโลกได้กำหนดกฎกติกาต่างๆ ให้มีการปฏิบัติอย่างเป็นพิเศษแก่ ประเทศกำลังพัฒนา (Special and Differential Treatment: S&D)

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
เพื่อให้สามารถเข้าร่วม ในระบบการค้าพหุภาคีได้ องค์การการค้าโลกจึงเป็นองค์กรที่ไม่หยุดนิ่ง จะมีการเจรจาเพื่อพัฒนาและสร้างกฎกติกาใหม่ๆ เพื่อให้สามารถรองรับกับวิวัฒนาการของการค้าระหว่างประเทศและรูปแบบการค้าโลกที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง
            สมาชิกขององค์การการค้าโลกมีสิทธิและพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามภายใต้ความตกลงต่างๆ และกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศขององค์การการค้าโลก นอกจากช่วยส่งเสริมให้การแข่งขันทางการค้าเป็นธรรมแล้ว ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งผู้ค้าและผู้ลงทุน ผู้ผลิตและส่งออก ให้สามารถคาดการณ์และวางแผนการค้าระหว่างประเทศล่วงหน้าได้

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

            1. ดูแลให้สมาชิกประเทศปฏิบัติตามพันธกรณี
            2. เป็นเวทีสำหรับการเจรจาทางการค้าระหว่างสมาชิก
            3. เป็นเวทีสำหรับแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสมาชิก และหากไม่สามารถตกลงกันได้ก็จะมีการจัดตั้งคณะผู้พิจารณา ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ข้อเสนอแนะรวมทั้งมีกลไกยุติข้อพิพาทด้วย

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

องค์การการค้าโลกได้กำหนดกรอบแนวนโยบายการค้าให้สมาชิกประเทศปฏิบัติตาม ดังนี้
            1. หลักไม่กีดกัน (Non-discrimination) หลักการนี้ประกอบด้วยกติกา 2 ประการ คือ หลักการชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง (Most favoured nation) กับหลักการปฏิบัติต่อกันประดุจเป็นชาติเดียวกัน (National treatment)
            2. หลักต่างตอบแทน (Reciprocity) เพื่อป้องกันการเอาเปรียบทางการค้าอันเนื่องมาจากหลักการชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง และเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ
            3. หลักข้อตกลงที่เป็นข้อผูกพันและสามารถบังคับใช้ได้ (Binding and enforceable commitments) เป็นข้อตกลงทางด้านภาษีศุลกากรที่สมาชิกลงนามรับรองในการเจรจาการค้าพหุภาคี ซึ่งถือเป็นข้อผูกมัดที่สมาชิกต้องปฏิบัติตาม แต่สมาชิกสามารถเปลี่ยนแปลงข้อตกลงนี้ได้ด้วยการเจรจากับประเทศคู่ค้าของตน หากประเทศคู่ค้าไม่พอใจก็อาจร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลกให้เป็นผู้พิจารณาข้อพิพาทนั้น
            4. หลักความโปร่งใส (Transparency) สมาชิกต้องพิมพ์กฎเกณท์ทางการค้าของตนเผยแพร่ มีหน่วยงานรับผิดชอบในการตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับการค้า และสามารถให้ข้อมูลทางการค้าแก่สมาชิกที่ขอและเป็นผู้แจ้งให้สมาชิกประเทศทราบถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบายการค้าใดๆ
            5. หลักประกันความปลอดภัย (Safety valves) กำหนดไว้ว่าในกรณีพิเศษ รัฐบาลของประเทศใดประเทศหนึ่งอาจจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อจำกัดการค้าได้ ดังนี้
            1) ในกรณีที่ต้องการใช้การค้าเป็นมาตรการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ
            2) เมื่อมาตรการที่ออกมาเป็นมาตรการเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายการแข่งขันที่ยุติธรรม
            3) เงื่อนไขที่อนุญาตให้สามารถใช้การแทรกแซงทางการค้าเพื่อเหตุผลทางเศรษฐกิจ

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/สหภาพยุโรป

            สหภาพยุโรปเป็นการรวมกลุ่มของประเทศยุโรปตะวันตกเพื่อสร้างเอกภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ การเงิน การต่างประเทศ สังคม และวัฒนธรรมโดยมีเป้าหมายคือ ยุโรปที่ไร้พรมแดน สหภาพยุโรปพัฒนามาจากการดำเนินงานขององค์การความร่วมมือของยุโรปที่ก่อตั้งมาก่อน คือ ประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้ายุโรป หรืออีซีเอสซี (European Coal and Steel community: ECSC ค.ศ. 1952) ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปหรืออีซีซี  

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
(European Economic Community: EEC: ค.ศ. 1958) และประชาคมพลังงานปรมาณูยุโรปหรือยูราตอม (European Atomic Energy Community: EURATOM ค.ศ. 1958) ประชาคมทั้ง 3 ได้รวมตัวกันเป็นประชาคมยุโรป (European Community: EC) เมื่อ ค.ศ. 1967 ภายหลังการลงนามใน สนธิสัญญามาสทริกต์ 
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
(Maastricht Treaty: ค.ศ. 1992) ทำให้เกิดสหภาพยุโรปหรืออียูขึ้นใน ค.ศ. 1993 นำไปสู่การจัดตั้งองค์กรสำคัญต่อการรวมตัวของยุโรป เช่น การจัดตั้งตลาดเดียวของยุโรป (Single Economic Marget: ค.ศ. 1993) ธนาคารกลางยุโรปหรืออีซีบี (European Central Bank: ECB ค.ศ. 1999) สหภาพยุโรปมีประเทศสมาชิก 15 ประเทศ ประกอบด้วยฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก อังกฤษ เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ กรีซ สเปน โปรตุเกส และสวีเดน

            สหภาพยุโรปกำหนดให้ใช้เงินสกุลเดียวกันคือ เงินยูโร (Euro) เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1999 และกำหนดให้เงินยูโรเป็นหน่วยเงินจริงในระบบเศรษฐกิจของสหภาพเศรษฐกิจ และการเงินหรืออีเอ็มยู (Economic and Monetary Union: EMU) สมาชิก ได้แก่ ประเทศออสเตรีย เบลเยียม ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ไอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และสเปน ส่วนทางด้านการเมืองมีองค์กรหลัก คือ รัฐสภายุโรป (European Parliament) นอกจากนี้ยังให้สิทธิพิเศษทางการค้าแก่ประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกา และหมู่เกาะแปซิฟิก ซึ่งเป็นอดีตอาณานิคมของประเทศสมาชิก

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

            สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1967 ในการประชุมที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เป็นองค์การความร่วมมือระดับภูมิภาคโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
            1. ส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิกทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และด้านการบริหารการจัดการ
            2. ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
            สมาชิกเริ่มแรกของอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ต่อมาภายหลังยุคสงครามเย็น อาเซียนได้พยายามสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยมีเป้าหมายที่จะขยายจำนวนประเทศสมาชิกให้เป็น 10 ประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อมามีประเทศอื่นๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิก ได้แก่ บรูไนใน ค.ศ. 1984 เวียดนามใน ค.ศ. 1995 ลาวและพม่าใน ค.ศ. 1997 กัมพูชาใน ค.ศ. 1999
            อาเซียนมีประชากรกว่า 500 ล้านคน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4.5 ล้านตารางกิโลเมตร การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 4 เมื่อ ค.ศ. 1992 เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน โดยมีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA) ขึ้น และส่งเสริม ความร่วมมือกับ ประเทศอื่นๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคเอเชีย และนับตั้งแต่ ค.ศ. 1997 เป็นต้นมา อาเซียนได้เสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงิน ด้วยการ
            1. แถลงแนวทางในอนาคตของอาเซียนเมื่อถึง ค.ศ. 2020 (ASEAN Vision 2020)
            2. จัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers Meeting: AFMM)
            3. ริเริ่มความร่วมมือในการสอดส่องดูแลเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก (ASEAN Surveillance Process) และความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลี
            ใน ค.ศ. 1999 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียนได้แถลงแผนปฏิบัติการฮานอย (Hanoi Plan of Action) ซึ่งประกอบด้วย 11 แผนงาน รวมทั้งอนุมัติแผนดำเนินการทางด้านการเงินการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Work Programme 1999 - 2003) และแบ่งสรรหน้าที่ให้ประเทศสมาชิกรับผิดชอบ
            อาเซียนมีสำนักเลขาธิการอาเซียนตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ทำหน้าที่เลขานุการให้แก่การประชุมอาเซียน รวมทั้งประสานงานและเสริมสร้างการดำเนินการตามนโยบาย โครงการและกิจกรรมต่างๆ ของอาเซียน
            อาเซียนมีการจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers Meeting: AFMM) และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance and Central Bank Deputies Meeting: AFDM) 2 ครั้งต่อปี โดยประเทศสมาชิกจะหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม

เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA)

            เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านความเจริญเติบโตและความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมาชิกอาเซียนจึงตกลงจัดตั้ง เขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟตา (AFTA) ขึ้นในการประชุมผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ใน ค.ศ. 1992 โดยมี จุดมุ่งหมายให้เกิดเขตการค้าเสรีขึ้นภายในระยะเวลา 15 ปี วัตถุประสงค์ของอาฟตา การก่อตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
            1. เพิ่มปริมาณการค้าภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
            2. สร้างแรงดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในภูมิภาคนี้ให้มากขึ้น
            3. ทำให้ภูมิภาคนี้เป็นฐานการผลิตที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก

การดำเนินการของอาฟตา

            เนื่องจากการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการค้าภายในภูมิภาคอาเซียน จึงได้มีการดำเนินการ ดังนี้
            1. ปรับปรุงกระบวนการการตรวจคนเข้าเมืองและระบบภาษีของประเทศสมาชิกให้สอดคล้องกัน เช่น
                1) ปรับขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองให้สอดคล้องกัน
                2) ปรับคำใช้เรียกภาษีศุลกากรให้สอดคล้องกัน
                3) ให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตามข้อตกลงด้านการประเมินราคาของแกตต์
                4) อำนวยความสะดวกพิธีการตรวจคนเข้าเมืองด้วยการจัดช่องทางพิเศษ
            2. ลดอุปสรรคอันเกิดจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี เช่น
                1) ยกเลิกค่าธรรมเนียมการตรวจคนเข้าเมือง
                2) ปรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์และการตรวจประเมินเพื่อการรับรองของประเทศสมาชิกให้สอดคล้องกัน
                3) จัดทำข้อตกลงว่าด้วยการยอมรับร่วม (Mutual Recognition Arrangement : MRA) ด้านต่างๆ

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกหรือเอเปก (ASIA-PACIFIC Economic Cooperation: APEC)

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก

            เอเปกก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 จากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ณ กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันเอเปกมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 21 ประเทศ ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไทย จีน เขตปกครองพิเศษจีนไต้หวัน ชิลี เม็กซิโก ปาปัวนิวกินี เปรู รัสเซีย และเวียดนาม โดยประเทศไทยเป็นประธานและเจ้าภาพจัดการประชุม เอเปกใน ค.ศ. 2003 วัตถุประสงค์ของเอเปก

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

การก่อตั้งเอเปกมีวัตถุประสงค์ ดังนี้

            1. พัฒนาและส่งเสริมระบบการค้าทวิภาคี
            2. สนับสนุนการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลก
            3. ลดอุปสรรคและอำนวยความสะดวกทางด้านการค้า การค้าบริการ และการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก โดยให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก
            4. ส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเงินการคลังในการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ ความร่วมมือภายใต้กรอบของเอเปก
            เอเปกไม่ได้จัดว่าเป็นองค์การความร่วมมือ แต่เป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจที่ประเทศสมาชิกสนใจ การดำเนินการให้ยึดหลักฉันทามติ ความเท่า เทียมกัน และผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก มีสำนักงานดำเนินการอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (Organization of the Petroleum Exporting Countries: OPEC)

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร

ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/โอเปก

            องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (Organization of the Petroleum Exporting Countries) 

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
หรือเรียกชื่อย่อกันว่า โอเปก
หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร
(OPEC) ตั้งขึ้นในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1960 เพื่อทำหน้าที่ประสานงานเกี่ยวกับนโยบายการผลิตและการกำหนดราคาน้ำมันปิโตรเลียม (หรือน้ำมันดิบ) ของประเทศสมาชิก

หลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีวิลสันส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของยุโรปอย่างไร