Show
ขอบพระคุณภาพจากคุณสุกัญญา บิลภัทร New Deligh เป็นลูกขุนนางในวัง เกิดที่พระนครศรีอยุธยานายอิทธิพันธ์ ขาวละมัย กรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จ.พระนครศรีอยุธยา นักวิชาการอิสระ เล่าให้เราฟังว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในหลวงรัชกาลที่ 1 เดิมอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในส่วนของ "วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร" หรือเรียกสั้นๆ ว่า วัดสุวรรณาราม หรือ วัดทอง ยาวไปถึงป้อมเพชร ตั้งอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เคยเป็นบ้านเกิดของในหลวงรัชกาลที่ 1 ซึ่งพระองค์ท่านเกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พื้นที่ดังกล่าวเป็นย่านชาวจีน พระบิดาของพระองค์ทรงเป็นขุนนางในวัง และครอบครัวก็อาศัยอยู่ในย่านการค้าของชาวจีน "กระทั่งต่อมา เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะ วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร จัดสร้างเป็นเจย์ดีเพื่อระลึกถึง รูปแบบการก่อสร้างคงรูปแบบเดิมของกรุงศรีอยุธยา ในประวัติศาสตร์ยังระบุด้วยว่า รัชกาลที่ 2 - รัชกาลที่ 10 ทรงร่วมกันทำนุบำรุง ร่วมกันบูรณะจวบจนปัจจุบัน จึงเป็นโบราณสถานที่คนรุ่นหลังในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาต่างรักษาหวงแหน” รัชกาลที่ 2 และ รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างศาลาการเปรียญ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวิหารเพื่อบำเพ็ญบุญ รัชกาลที่ 5 ทรงร่วมบูรณะวัด เปลี่ยนหลังคากระเบื้อง รัชกาลที่ 6 ทรงร่วมบูรณะเช่นกัน ส่วนรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้วาดภาพพระประวัติของพระสมเด็จพระนเรศวรขึ้นในปี 2474 ช่างศิลปะที่ลงมือวาดคือ คุณตาแท้ๆของอดีตนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ซึ่งวัดดังกล่าวมีอายุกว่า 200 ปี "กล่าวได้ว่าในทุกรัชกาล ทรงให้งบประมาณในการบูรณะวัดนี้ และได้ถวายเทียนพรรษา และกฐินพระราชทานสืบต่อกันมา นอกจากนี้ ยังมีเจดีย์เก็บอัฐิของพระบิดาในหลวงรัชกาลที่ 1 ด้วย ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบแห่งนี้ได้แปรสภาพเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน"
ขอบพระคุณภาพจากคุณสุกัญญา บิลภัทร New Deligh ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ต้นกำเนิดพระบรมมหาราชวัง"ด้วง" หรือ "ทองด้วง” คือชื่อเดิมของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในหลวงรัชกาลที่ 1 เสด็จเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต ต่อมาได้เข้ารับราชการในสมัยพระเจ้าเอกทัศ ตำแหน่งหลวงยกกระบัตรประจำเมืองราชบุรี และปฏิบัติราชการที่เมืองราชบุรี จนกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า เมื่อ พ.ศ. 2310 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หลวงยกกระบัตรได้รับราชการอย่างแข็งขัน
และมีพระปรีชาสามารถโดยเฉพาะด้านการสงคราม ต่อมาได้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย กระทั่งพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 - 7 กันยายน พ.ศ. 2352 และเข้ารับการราชาภิเษก 13 มิถุนายน พ.ศ. 2325 ในหลวงรัชกาลที่ 1 ทรงเริ่มต้นจากการย้ายราชธานี จากฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ณ ตำบลบางกอก และก่อร่างสร้างพระนคร รวมไปถึงกำหนดตำแหน่งที่ตั้งพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว) รวมถึง พุทธสถาน ป้อมปราการ ให้สอดคล้องต้องตามตำราพิชัยสงคราม สมัยกรุงศรีอยุธยา อย่างเคร่งครัด พร้อมกันนี้ได้ ฟื้นฟูศาสนา สร้างสมวัฒนธรรมและอารยธรรมของประเทศ ประชาราษฎรสงบสุขร่มเย็นที่สั่งสมผ่านการเวลากว่า 2 ศตวรรษ สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน โบราณสถานเก่าแก่หลายแห่งในกรุงเทพมหานคร จึงก่อกำเนิดมาจากความคิดริเริ่มของในหลวงรัชกาลที่ 1
พระราชกรณียกิจสร้างชาติ การเมืองการปกครองนอกจากในหลวงรัชกาลที่ 1 จะทรงสถาปนาราชวงศ์จักรี และกรุงรัตนโกสินทร์ ให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาอยู่ที่กรุงเทพมหานครแล้ว ยังโปรดเกล้าฯ สั่งชำระกฎหมายให้ถูกต้องยุติธรรม เรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง" เพราะประทับตราสำคัญ 3 ดวง ได้แก่ ตราราชสีห์ของสมุหนายก ตราคชสีห์ของสมุหพระกลาโหม และตราบัวแก้วของกรมท่า นอกจากนี้ยังทรงให้ขุดคลองรอบกรุง เช่น คลองบางลำพูทางตะวันออก คลองโอ่งอ่างทางใต้ ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเหมือนเกาะ ที่มีแม่น้ำล้อมรอบเหมือกับกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งสร้างกำแพงพระนครและป้อมปราการไว้โดยรอบ ปัจจุบันคงเหลือเพียงป้อมพระสุเมรุ และป้อมมหากาฬที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ รวมไปถึงทรงเป็นจอมทัพในการทำสงครามกับรัฐเพื่อนบ้าน สงครามครั้งสำคัญ คือ "สงครามเก้าทัพกับพม่า" ต้นความคิด "สร้างวังรอบพระนคร ป้องกันกรุง"ภายหลังการสถาปนากรุงเทพมหานคร ทางฝั่งตะวันออก รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังหลวง, วังหน้า, วังหลัง จากนั้นได้แบ่งปันหน้าที่รับผิดชอบดูแลรักษาพระนคร ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ทางด้าน "ทิศเหนือ"มีวังริมป้อมพระสุเมรุ เป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา ยังเหลือร่องรอยประตูวังมาจนปัจจุบัน ด้านทิศใต้ วังป้อมจักรเพชร เป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ด้านใต้กำแพงพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประทับของ กรมหมื่นนรินทรพิทักษ์ รักษาพื้นที่ริมคูคลองเดิมด้านเหนือ อยู่ที่ปากคลองวัดชนะสงคราม ส่วนกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระราชทานให้เป็นที่ประทับของกรมขุนสุนทรภูเบศร์ข้าหลวงเดิม ในเวลาต่อมา ทรงมีพระราชดำริให้สร้างวังใกล้พระบรมมหาราชวัง ดุจปราการพระนครชั้นใน ได้แก่ พื้นที่ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ด้านเหนือ โปรดให้สร้างวังเจ้านาย 3 วัง เรียงกันจากแม่น้ำเจ้าพระยา คือ
วังถนนหน้าพระลาน วังตะวันตก หรือ วังท่าพระ เป็นที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์
กรมขุนกษัตรานุชิต หรือ เจ้าฟ้าเหม็น ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปากร ขณะเดียวกัน พื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ใต้ตำหนักแพ หรือท่าราชวรดิฐ ไปจนถึงท่าเตียน เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี และวังสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ ปัจจุบันไม่มีวังหลงเหลืออยู่แล้ว ในครานั้น ทางฟากตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา โปรดให้สร้างวัง พระราชทานเจ้านาย เรียงรายกัน 3 วัง ประกอบไปด้วย "วังบ้านปูน วังสวนมังคุด และ วังสวนลิ้นจี่" เป็นวังของกรมพระราชวังหลัง วังเจ้านายสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ รายรอบพระนคร เสมือนป้อมปราการที่แข็งแรงมั่นคง เพื่อให้เจ้าของวังได้ปันหน้าที่กันรักษาวังพระนคร เสริมกับยุทธศาสตร์ที่ทรงมอบให้ พระบรมวงศานุวงศ์ ไปช่วยทำศึกสงคราม นับเป็นพระอัจฉริยภาพ ผู้ทรงเป็นทัพกรำศึกด้วยพระองค์เอง
เปิดค้าขายกับจีน เศรษฐกิจดีขึ้นชาติพัฒนาหากย้อนกลับไปในตอนต้น ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ได้ระบุไว้ว่า เศรษฐกิจช่วงนั้นยังไม่ดี เพราะมีการทำสงครามกับพม่าหลายครั้ง จนติดต่อค้าขายกับต่างประเทศก็ลดลง กระทั่งในปลายรัชกาลที่ 1 บ้านเมืองปลอดสงคราม ประชาชนมีเวลาประกอบอาชีพ และได้เปิดให้มีการค้าขายกับจีนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลเศรษฐกิจดี มีเงินทำนุบำรุงบ้านเมือง สร้างพระนคร สร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัด สั่งซื้อและสร้างอาวุธเพื่อใช้ป้องกันพระราชอาณาเขต ทำให้บ้านเมืองและราษฎรเกิดความมั่นคงและมั่งคั่ง สร้างวัด จัดระเบียบพระสงฆ์ ยึดเหนี่ยวใจคนการสร้างพระราชวังและวัดในสมัยรัชกาลที่ 1 มุ่งเน้นให้มีรูปแบบเหมือนสมัยอยุธยา วัตถุประสงค์สร้างขวัญกำลังใจปวงชน เนื่องจากสมัยกรุงศรีอยุธยาบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง โปรดเกล้าฯ ให้ถอดแบบพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทขึ้นมาใหม่ และพระราชทานนามว่า "พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท" และยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ "วัดพระแก้ว" ไว้ในเขตพระบรมมหาราชวัง เพื่อใช้ในการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ ในสมัยอยุธยา นอกจากนี้ ยังทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ออกแบบกฎหมายคณะสงฆ์ เพื่อให้พระสงฆ์อยู่ในพระธรรมวินัย สังคายนาพระไตรปิฎกให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ และสร้างวัด บูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆ เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ วัดระฆังโฆสิตาราม วัดสุวรรณดาราราม ตลอดจนบูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปที่ถูกทิ้งร้างตามหัวเมืองต่างๆ แล้วนำมาประดิษฐานไว้ตามวัดวาอารามที่สร้างขึ้นใหม่ เช่น อัญเชิญพระศรีศากยมุนี จากวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย มาประดิษฐานที่วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นต้น
ฟื้นฟูพระราชพิธี และประเพณีสำคัญสมัยอยุธยารัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและพระราชพิธีสมโภชพระนคร แสดงจุดยืนความมั่นคงกอบกู้ราชธานี สร้างขวัญกำลังใจราษฎร พร้อมสืบต่อการรักษาพระราชพิธีโบราณ และทรงส่งเสริมงานวรรณกรรม โดยพระราชนิพนธ์วรรณคดีหลายเรื่อง เช่น รามเกียรติ์ เพลงยาวรบพม่าที่ท่าดินแดง นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้แปลหนังสือจีนเป็นภาษาไทย เช่น สามก๊ก ราชาธิราช แปลโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ซึ่งวรรณคดีเหล่านี้ยังเป็นที่นิยมมาถึงปัจจุบัน
ทรงพระปรีชาสามารถในการรบ นำทัพทำสงครามกับพม่า 7 ครั้งสงครามครั้งที่ 1 ได้รับชัยชนะตลอดทุกทัพตั้งแต่เหนือจรดใต้ เมื่อ พ.ศ. 2327 ถือเป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างไทยกับพม่า คือ สงครามเก้าทัพ เนื่องด้วย "พระเจ้าปดุง" แห่งราชวงศ์อลองพญา พม่า มีพระประสงค์จะเพิ่มพูนพระเกียรติยศและชื่อเสียงให้ขจรขจายด้วยการกำราบอาณาจักรสยาม จึงรวบรวมไพร่พลถึง 144,000 คน กรีธาทัพจะเข้าตีกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแบ่งเป็น 9 ทัพใหญ่ เข้าตีจากรอบทิศทาง ส่วนทัพของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีกำลังเพียงครึ่งหนึ่งของทหารพม่า คือมีเพียง 70,000 คนเศษเท่านั้น ด้วยพระปรีชาสามารถในการทำสงคราม ได้ทรงให้ทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทไปสกัดทัพพม่าที่บริเวณทุ่งลาดหญ้า ทำให้พม่าต้องชะงักติดอยู่บริเวณช่องเขา แล้วทรงสั่งให้จัดทัพแบบกองโจรออกปล้นสะดม จนทัพพม่าขัดสนเสบียงอาหาร เมื่อทัพพม่าบริเวณทุ่งลาดหญ้าแตกพ่ายไปแล้ว สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท จึงยกทัพไปช่วยทางอื่น และได้รับชัยชนะตลอดทุกทัพตั้งแต่เหนือจรดใต้
สงครามครั้งที่ 2 พ.ศ. 2329 สงครามท่าดินแดงและสามสบ ในสงครามครั้งนี้ ทัพพม่าเตรียมเสบียงอาหารและเส้นทางเดินทัพอย่างดีที่สุด โดยแก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ จากศึกครั้งก่อน และยกทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ตั้งค่ายอยู่ที่ท่าดินแดงและสามสบ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงยกทัพหลวงเข้าตีพม่าที่ค่ายท่าดินแดง พร้อมกับให้ทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เข้าตีค่ายพม่าที่สามสบ หลังจากรบกันได้ 3 วัน ค่ายพม่าก็แตกพ่ายไปทุกค่าย และพระองค์ยังได้ทำสงครามขับไล่อิทธิพลของพม่าได้โดยเด็ดขาด และตีหัวเมืองต่างๆ ขยายอาณาเขต ทำให้ราชอาณาจักรสยามมีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ดินแดนล้านนา ไทใหญ่ สิบสองปันนา หลวงพระบาง เวียงจันทน์ เขมร และด้านทิศใต้ไปจนถึงเมืองกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส และเปรัก สงครามครั้งที่ 3 พ.ศ. 2330 ตีเมืองลำปาง - เมืองป่าซาง หลังจากที่พม่าพ่ายแพ้แก่สยาม ก็ส่งผลทำให้เมืองขึ้นทั้งหลายของพม่า เช่น เมืองเชียงรุ้งและเชียงตุง เกิดกระด้างกระเดื่อง ตั้งตนเป็นอิสระ พระเจ้าปดุงจึงสั่งให้ยกทัพมาปราบปราม รวมถึงเข้าตีลำปางและป่าซาง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทราบเรื่องจึงสั่งให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล 6,000 นาย มาช่วยเหลือและขับไล่พม่าไปเป็นผลสำเร็จ
สงครามครั้งที่ 4 พ.ศ. 2330 ตีเมืองทวาย ทรงโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้เกณฑ์ไพร่พล 20,000 นาย ยกทัพไปตีเมืองทวาย แต่สงครามครั้งนี้ไม่มีการรบพุ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างก็ขาดแคลนเสบียงอาหาร ไพร่พลบาดเจ็บ จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพ สงครามครั้งที่ 5 พ.ศ. 2336 ตีเมืองพม่า ในครั้งนั้นเมืองทวาย ตะนาวศรี และมะริด ได้เข้ามาขอสวามิภักดิ์ต่อไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกทัพไปช่วยป้องกันเมือง แต่เมื่อพระเจ้าปดุงยกทัพมาปราบปรามเมืองทั้งสามก็หันกลับเข้ากับทางพม่าอีก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพฯ สงครามครั้งที่ 6 พ.ศ. 2340 พม่าพ่ายซ้ำที่เมืองเชียงใหม่ เนื่องจากสงครามในครั้งก่อนๆ พระเจ้าปดุง แห่งพม่า ไม่สามารถตีหัวเมืองล้านนาได้ จึงรับสั่งให้ไพร่พล 55,000 นาย ยกทัพมาอีกครั้ง โดยแบ่งเป็น 7 ทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล 20,000 นาย ขึ้นไปรวมไพร่พลกับทางเหนือเป็น 40,000 นาย ระดมตีค่ายพม่าเพียงวันเดียวเท่านั้น ทัพพม่าก็แตกพ่ายยับเยิน
สงครามครั้งที่ 7 พ.ศ. 2346 ไทยชนะพม่าอีกครั้งที่เมืองเชียงใหม่ ในครั้งนั้นพระเจ้ากาวิละได้ยกทัพไปตีเมืองสาด หัวเมืองขึ้นของพม่า พระเจ้าปดุงจึงยกทัพลงมาตีเมืองเชียงใหม่เพื่อแก้แค้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงทราบ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไปช่วยเหลือ และสงครามครั้งนี้ก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายไทย วัดประจำรัชกาลที่ 1ตามหน้าประวัติศาสตร์ ระบุไว้ว่า "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร" หรือ วัดโพธิ์ ท่าเตียน เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย และเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศด้วย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง นอกจากนี้ ทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อมีนาคม พ.ศ. 2551 อีกด้วย ศิลาจารึก ปรากฎ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาพระบรมมหาราชวังแล้ว ทรงมีพระราชดำริว่า มีวัดเก่าขนาบพระบรมมหาราชวัง 2 วัด ด้านเหนือ คือ วัดสลัก (วัดมหาธาตุฯ) ด้านใต้คือ วัดโพธาราม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางเจ้ากรมช่างสิบหมู่อำนวยการบูรณปฏิสังขรณ์ เริ่มเมื่อปี พ.ศ. 2331 ใช้เวลา 7 ปี 5 เดือน 28 วัน จึงแล้วเสร็จ และโปรดเกล้าฯ ให้มีการฉลองเมื่อ พ.ศ. 2344 พระราชทานนามใหม่ว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศ นอกจากนี้ที่ใต้พระแท่นประดิษฐานพระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย ต่อมา รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนท้ายนามวัดเป็น “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช อำเภอเมืองบุรีรัมย์ทางไปอำเภอประโคนชัย สร้างในปี พ.ศ. 2539 เพื่อเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงก่อตั้งเมืองบุรีรัมย์ เมื่อครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก พระบรมราชานุสาวรีย์มีขนาดเท่าครึ่งของพระองค์จริง หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ ฉลองพระองค์แบบนักรบตามขัตติยราชประเพณีโบราณ ประทับบนช้างศึก จากจดหมายเหตุประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 7 กล่าวว่า ใน พ.ศ. 2321 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปปราบพระยานางรองซึ่งคบคิดกับเจ้าโอ เจ้าอินแห่งจำปาศักดิ์ ขณะเดินทัพพบเมืองร้างอยู่ที่ลุ่มน้ำห้วยจระเข้มาก มีชัยภูมิดีแต่ไข้ป่าชุกชุม ชาวเขมรป่าดงไม่กล้าเข้ามาอยู่อาศัย แต่ตั้งบ้านเรือนอยู่โดยรอบ จึงรวบรวมผู้คนตั้งเป็นเมืองแปะ และให้บุตรเจ้าเมืองพุทไธสมันซึ่งติดตามมาด้วยเป็นเจ้าเมือง ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยานครภักดี ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น เมืองบุรีรัมย์ เสด็จสวรรคต ด้วยพระโรคชราหลังจากพระองค์สร้างและวางรากฐานให้ประเทศชาติไว้ได้อย่างรัดกุม เมื่อผ่านพ้นการฉลองวัดพระแก้ว ต่อมาก็ทรงป่วยด้วยพระโรคชรา มีพระอาการทรุดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ รวมพระชนมายุได้ 73 พรรษา ครองราชสมบัติ 27 ปี ขอบพระคุณภาพจากคุณสุกัญญา บิลภัทร New Deligh
พระบรมศพถูกเชิญลงสู่พระลองเงิน ประกอบด้วย พระโกศทองใหญ่แล้วเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ตั้งเครื่องสูงและเครื่องราชูปโภคเฉลิมพระเกียรติยศตามโบราณราชประเพณี พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม โคมกลองชนะตามเวลา ดังเช่นงานพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาทุกประการ ต่อมา พ.ศ. 2354 พระเมรุมาศ ซึ่งสร้างตามแบบพระเมรุมาศสำหรับพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้สร้างแล้วเสร็จ จึงเชิญพระบรมโกศจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทขึ้นประดิษฐาน ณ พระเมรุมาศ แล้วจัดให้มีการสมโภชพระบรมศพเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน จึงถวายพระเพลิงพระบรมศพ หลังจากนั้นมีการสมโภชพระบรมอัฐิและบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อแล้วเสร็จจึงเชิญพระบรมอัฐิประดิษฐาน ณ หอพระธาตุมณเฑียร ภายในพระบรมมหาราชวัง ส่วนพระบรมราชสรีรางคารเชิญไปลอยบริเวณหน้าวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร ***รัชกาลที่ 1 พระองค์ทรงแสดงจุดยืนความมั่นคงกอบกู้ราชธานี ทรงสร้างขวัญกำลังใจราษฎร รวมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโบราณสถานสำคัญที่มีอายุความเป็นมากว่า 200 ปี และสืบต่อการรักษาพระราชพิธีโบราณ ส่งเสริมงานวรรณกรรมต่าง ทำแผ่นดินสยามให้ก้าวพัฒนาส่งต่อการปกครองสู่สมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทางทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ จะนำมาเรียบเรียงถ่ายทอดให้ทราบในตอนต่อไป (ขอบพระคุณข้อมูลจาก สำนักเลขาธิการ สำนักพระราชวัง, ข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ และแหล่งความรู้จากหอสมุดแห่งชาติ และวิกิพีเดีย) ขอบพระคุณภาพจาก "คุณสุกัญญา บิลภัทร New Deligh"
|