วันที่ 2 สิงหาคม 2564 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดให้ผู้กู้ยืมได้แจ้งความประสงค์ขอปรับโครงสร้างหนี้แบบภาคสมัครใจ โดยเปลี่ยนเงื่อนไขเพื่อให้งวดชำระต่อเดือนลดลง และยืดระยะเวลาการผ่อนชำระสูงสุด 30 ปี แต่งวดสุดท้ายผู้กู้ยืมต้องอายุไม่เกิน 65 ปี Show
“ประชาชาติธุรกิจ” สรุปขั้นตอนการแจ้งความประสงค์เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ พร้อมขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลหลังจากลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ 1. เข้าสู่เว็บไซต์ www.wsa.dsl.studentloan.or.th 2. ลงชื่อเข้าใช้งาน กรอกเลขประจำตัวประชาชน และรหัสผ่าน 3. เลือกเมนูขอปรับโครงสร้างหนี้ “ยื่นคำขอปรับโครงสร้างหนี้” 4. เข้าสู่หน้ายืนยันข้อมูล ระบบจะให้ตรวจสอบข้อมูลที่ปรากฏ พร้อมให้ระบุ “เบอร์โทรศัพท์มือถือ (เบอร์ปัจจุบันที่ติดต่อได้)” ทำเครื่องหมายถูกหน้าช่อง “ข้าพเจ้ายืนยันข้อมูลฯ” จากนั้นกดปุ่ม “ยืนยัน” Advertisement 5. หากสำเร็จระบบจะแสดงข้อความว่า “ระบบได้ส่งคำขอปรับโครงสร้างหนี้แล้ว” ตรวจสอบคำขอปรับโครงสร้างหนี้ กยศ.1. กลับมาที่หน้าหลัก 2. กดเลือก “ตรวจสอบรายละเอียดคำขอ” 3. ระบบจะแสดงหน้ารายละเอียดข้อมูลคำขอ จากนั้นให้ตรวจสอบตรงช่องสถานะ ระบบจะขึ้นข้อความว่า “ลงทะเบียน/รอตรวจสอบและบันทึกข้อมูล” พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเข้าถึงการศึกษา เพื่อให้เยาวชนของชาติได้มีความรู้ความสามารถที่นำไปสู่การพัฒนาตนเองและประเทศอย่างยั่งยืน โดยสำหรับผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ทุกคน อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาปัญหาหนี้สินของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบแก่ประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดงาน และส่งผลกระทบระยะยาวไปถึงผู้ค้ำประกัน เช่น ผู้ปกครองหรือครูอาจารย์ ด้วยปัญหาหนี้สิน กยศ. ซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดี เป็นความทุกข์หนักของประชาชนรายย่อย โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปัญหานี้สืบเนื่องมาจากการที่ผู้กู้ยืมจำนวนมากผิดนัดชำระหนี้ โดยมูลหนี้ที่ค้างชำระมีจำนวนนับแสนล้านบาท การผิดนัดชำระหนี้เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ อาทิ ผู้ที่จบการศึกษาแล้วไม่มีงานทำ หรือมีงานทำแต่เงินเดือนก็ไม่สูง บางคนมีทัศนคติที่ว่า หนี้ กยศ. ไม่จำเป็นที่จะต้องชำระคืน รวมทั้งสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน รายได้ และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ยืม เป็นต้น ปัจจุบัน มีผู้กู้ยืมเงินของ กยศ. ที่ผิดนัดชำระหนี้ถึงร้อยละ 62 จากผู้กู้ยืมราว 5 ล้านราย รวมเป็นวงเงินมากกว่า 6 แสนล้านบาท อีกทั้งยังมีผู้ที่อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีมากกว่า 1.1 ล้านราย ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ระบุว่า หนี้ กยศ. เป็นหนี้ที่มีอัตราหนี้เสียหรือ NPLs สูงสุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย โดยสูงกว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งที่ NPLs สูงสุดอยู่ที่ร้อยละ 47 ด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรีจึงได้นำเรื่องหนี้ กยศ. เข้าเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของนโยบายการแก้ไขหนี้สินประชาชนรายย่อยโดยเร่งด่วน เพราะนอกจากจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนแล้ว ยังเป็นการป้องกันปัญหาลูกโซ่ที่จะตามมา เช่น ปัญหาการขาดสภาพคล่องของ กยศ. ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโอกาสทางการศึกษาของผู้กู้ยืมรายใหม่ในระยะยาว ผลจากการขับเคลื่อนของคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยที่นายกรัฐมนตรีได้ตั้งขึ้น ได้นำไปสู่การออกมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ของ กยศ. เพื่อผ่อนคลายภาระให้แก่ผู้กู้ยืมทุกประเภท ซึ่งมีทั้งมาตรการที่ช่วยเหลือต่อเนื่องในระยะสั้นเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 และมาตรการที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้กู้ยืมในระยะยาว โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. การปรับโครงสร้างหนี้ สำหรับผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระหนี้ที่ยังไม่ถูกฟ้องคดี กรณีไม่สามารถผ่อนชำระเงินคืนตามเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ยืมเดิมได้ เงื่อนไข คือ – สามารถผ่อนได้สูงสุด 30 ปี แต่ในการชำระเงินงวดสุดท้ายผู้กู้ยืมต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ – กองทุนฯ จะให้ผู้กู้ยืมมาตกลงขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการผ่อนชำระเงินคืน โดยทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งมีเงื่อนไขการผ่อนชำระเป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันทุกเดือน – กองทุนฯ จะคำนวณยอดหนี้คงเหลือโดยใช้บรรทัดฐานใหม่ โดยการนำเงินที่ผู้กู้ยืมได้ส่งชำระหนี้แล้วทั้งหมดมาปรับลำดับการตัดชำระใหม่ โดยตัดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามงวดครบกำหนดชำระหนี้ จนครบจำนวนเงินที่ผู้กู้ยืมเงินชำระมาแล้วเท่านั้น สำหรับเบี้ยปรับในอดีตที่ตัดชำระไปแล้ว ถือว่าผู้กู้ยืมได้ชำระครบถ้วนแล้ว – ต่อจากนั้น กองทุนฯ จะนำเงินต้นคงเหลือและดอกเบี้ยคงเหลือมาใช้เป็นยอดหนี้ในการปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนเบี้ยปรับคงค้างที่สะสมอยู่ในระบบจนถึงปัจจุบัน กองทุนจะให้ส่วนลดเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 80 และให้ชำระเบี้ยปรับที่คงเหลือร้อยละ 20 ในงวดสุดท้าย ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมสามารถแจ้งความประสงค์ขอปรับโครงสร้างหนี้ได้ที่แอปพลิเคชัน กยศ. Connect หรือทางเว็บไซต์ https://wsa.dsl.studentloan.or.th ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป 2. การปรับเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้ใหม่ สำหรับผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างผ่อนชำระเงินคืนกองทุนฯ และยังไม่ถูกฟ้องคดี เงื่อนไข คือ – จากเดิมกองทุนฯ มีวิธีการตัดลำดับการชำระหนี้โดยตัดชำระเบี้ยปรับค้างชำระสะสมก่อน ตามด้วยดอกเบี้ยค้างชำระสะสม แล้วจึงตัดเงินต้นค้างชำระของงวดที่ค้างนานที่สุดตามลำดับ สำหรับมาตรการใหม่นี้ กองทุนฯ จะปรับเปลี่ยนลำดับการตัดชำระใหม่ โดยจะนำเงินที่ได้รับชำระหนี้ไปตัดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยของแต่ละงวด โดยเริ่มจากงวดที่นานสุดก่อน แล้วจึงค่อยตัดชำระยอดหนี้ที่ค้างชำระนานรองลงมาตามลำดับจนถึงงวดปัจจุบัน หากมีเบี้ยปรับให้นำมาชำระในงวดสุดท้าย 3. การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการผ่อนชำระเงินคืน สำหรับผู้กู้ยืมรายใหม่และผู้กู้ยืมที่ยังไม่ครบกำหนดชำระเงินคืน เงื่อนไข คือ – จากเดิมที่ผู้กู้ยืมต้องผ่อนงวดชำระเป็นรายปี เป็นระยะเวลา 15 ปี กองทุนฯ จะปรับให้ผู้กู้ยืมผ่อนงวดชำระเป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันทุกเดือนได้ โดยกำหนดชำระทุกวันที่ 5 ของเดือน – เพิ่มระยะเวลาการผ่อนชำระเงินคืนจากเดิมไม่เกิน 15 ปี ปรับเป็นไม่เกิน 30 ปี ขึ้นอยู่กับยอดหนี้ของผู้กู้ยืมแต่ละราย – สำหรับการชำระเงินงวดสุดท้าย ผู้กู้ยืมต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ 4. แนวทางในการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของผู้กู้ยืมที่ถูกหักเงินเดือนผ่านองค์กรนายจ้าง – ผู้กู้ยืมสามารถขอปรับลดจำนวนเงินที่นายจ้างหักและนำส่งกองทุนฯ เพื่อชำระเงินงวดที่จะครบกำหนดวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 หรือผู้กู้ยืมที่ครบกำหนดชำระเป็นรายเดือนได้ จากเดิมต้องหักหน้าซองเงินเดือนไม่น้อยกว่า 100 บาทต่อเดือน ได้ปรับให้เป็นไม่น้อยกว่า 10 บาทต่อเดือน เป็นการชั่วคราว โดยมีผลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 – มิถุนายน 2565 – ผู้กู้ยืมจะต้องแจ้งความประสงค์ขอปรับจำนวนเงินดังกล่าวต่อกองทุนฯ ผ่านแอปพลิเคชัน กยศ. Connect – ผู้กู้ยืมยังคงมีหน้าที่ไปชำระส่วนต่างตามช่องทางที่กองทุนฯ กำหนดให้ครบตามจำนวนเงินงวดที่ต้องชำระตามเงื่อนไขของสัญญารายเดือนภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน และเงื่อนไขการชำระหนี้ของสัญญารายปีภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 แล้วแต่กรณี ไม่เช่นนั้นจะถือว่าผิดนัดชำระหนี้ และต้องชำระเงินเพิ่ม ได้แก่ เบี้ยปรับหรือค่าธรรมเนียมกรณีผิดนัดชำระเงินคืน ตามอัตราที่กองทุนฯ กำหนดของเงินต้นงวดที่ค้างชำระ 5. มาตรการชะลอการฟ้องและการบังคับคดี สำหรับผู้กู้ยืมที่เข้าข่ายจะต้องดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดี และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี กยศ. มีนโยบายช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่ที่เข้าข่ายถูกฟ้องร้องและอยู่ระหว่างการดำเนินคดีแล้วจำนวนกว่า 1.1 ล้านราย โดยให้ชะลอการฟ้องร้องคดีและบังคับคดีออกไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 ยกเว้นคดีที่ขาดอายุความในปี 2564 พร้อมกับได้งดการขายทอดตลาดในกรณีที่ถูกบังคับคดีจนถึงสิ้นปี 2564 แล้ว 6. สำหรับลูกหนี้รายใหม่ ให้ยกเลิกการกำหนดให้ต้องมีผู้ค้ำประกันการชำระเงินคืน ที่สำคัญ ขณะนี้ กยศ. กำลังเร่งปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 เพื่อเพิ่มขอบเขตในการบริหาร รวมถึงให้อำนาจกองทุนฯ เข้าไปช่วยเหลือผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างดำเนินคดี หรือศาลมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว หรืออยู่ในระหว่างการบังคับคดีได้ สำหรับการปรับปรุงพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 มีประเด็นสำคัญหลายส่วน เช่น – มาตรา 44 ที่จะเปิดให้ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างดำเนินคดี หรือศาลมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว หรืออยู่ในระหว่างการบังคับคดี สามารถเข้ารับการช่วยเหลือในการลดหย่อนหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ และแปลงหนี้ได้ – การปรับลดเบี้ยปรับสำหรับนายจ้างที่ไม่ได้หักเงินเดือนลูกจ้างเพื่อนำส่ง กยศ. – การเพิ่มอำนาจให้กองทุนฯ พิจารณาปรับเกณฑ์ผ่อนชำระเงินงวดเป็นรายปี รายไตรมาส หรือรายเดือนได้ตามความเหมาะสม – การปรับปรุงเบี้ยปรับสำหรับผู้ผิดนัดชำระ และ – การลดเพดานดอกเบี้ย เป็นต้น ปัจจุบัน ได้มีการเปิดรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียต่อ “ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….” เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2564 และที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบต่อร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 ต่อมาได้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาแล้วเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2565 ซึ่งจะเป็นไปตามกระบวนการตรากฎหมายต่อไป โดยตั้งเป้าจะให้ร่าง พรบ. ฉบับนี้ มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุดภายในปี 2565 นี้ ทำไมต้องปรับโครงสร้างหนี้ กยศปรับโครงสร้างหนี้ของ กยศ. เพื่อผ่อนคลายภาระให้แก่ผู้กู้ยืมทุกประเภท ซึ่งมีทั้งมาตรการที่ช่วยเหลือต่อเนื่องในระยะสั้นเพื่อบรรเทาผล กระทบ ทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ โควิด
กยศ จ่ายเลยกําหนด ได้ไหม5 ก.ค. หน้าที่ลูกหนี้กยศ. ต้องไปชำระหนี้ หากผู้กู้ยืมเงินผิดนัดชำระหนี้ ผู้กู้ยืมเงินจะต้อง "ชำระค่าปรับ หรือ ค่าธรรมเนียมจัดการ" กรณีผิดนัดชำระหนี้ตามอัตราที่กองทุนกำหนด โดยปกติแล้วค่าปรับจะอยู่ที่ 12% กรณีค้างชำระไม่เกิน 1 ปี และ 18% กรณีค้างชำระเกิน 1 ปี ของเงินต้นค้างชำระ
การปรับโครงสร้างหนี้ดีไหมการปรับโครงสร้างหนี้เป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ที่เป็นหนี้สามารถดำเนินชีวิตหรือธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้สนับสนุนให้ลูกหนี้และสถาบันการเงินร่วมมือกันในการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้และหาทางออกร่วมกัน ลดโอกาสที่ลูกหนี้ดีจะกลายเป็นลูกหนี้เสีย
ปรับโครงสร้างหนี้ มีผลอย่างไรการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายหนี้เพื่อให้เรายังสามารถจ่ายหนี้ได้โดยไม่ผิดนัดชำระ ซึ่งการผิดนัดชำระหนี้อาจทำให้ลูกหนี้ถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระและมีประวัติค้างจ่ายในข้อมูลเครดิตบูโร เช่น ลดค่างวดโดยการขยายเวลาจ่ายหนี้ หรือเปลี่ยนเงื่อนไขการจ่ายหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ย ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างหนี้แต่ละ ...
|