แนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทย สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น Approaches to Teaching Thai Music Theories to Lower Secondary Students ชมพูนุช จูฑะเศรษฐ์ และ สุรพงษ์ บ้านไกรทอง Chompunuch Juthaset and Surapong Bankrithong ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทย สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบด้วย 4 ประเด็น ได้แก่ 1. การกำหนดจุดประสงค์ ควรชัดเจนและมุ่งให้เกิดการพัฒนาทักษะ ความรู้และทัศนคติที่ดีในทางดนตรีไทย 2. การกำหนดเนื้อหาสาระ
ควรกำหนดให้เหมาะสมสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผู้สอนควรให้นักเรียนรู้จักประเภทและหน้าที่ของวงดนตรีไทย ประเภทของเพลงไทยเดิม โดยเน้นการฟังเพลงมากกว่าการสอนบรรยาย มุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องเสียงของเครื่องดนตรีไทย คำสำคัญ: แนวทางการสอน, ทฤษฎีดนตรีไทย, นักเรียนระดับมัธยมตอนต้น Abstract The findings show that the approaches to teaching Thai music theories to lower secondary students consists of 4 aspects: 1) Objectives should be
specified clearly and emphasized on development of skills, knowledge, and positive attitudes towards Thai Music as much as possible; 2) Content should be suitable for lower secondary students. Teachers should instruct students in Thai music ensembles, function of an ensemble, and styles of traditional Thai music, and more Thai music listening practice is preferred to the lecture method. The emphasis should be on introducing students to Thai musical instruments’ sound and on providing the basis
of aesthetics of music such as methods of listening to Thai music and reading Thai music notes; 3) Teaching methods should encourage Learning-by-doing and involve quality instructional materials. Thai music theories are incorporated into the instruction with the highlight on Active Learning. Emphasis should be placed more on making students listeners of Thai music than on producing professional Thai musicians; and 4) Assessment and Evaluation should involve behavioral observation, interview, and
class discussion. Authentic assessment should be employed to make the evaluation of the outcomes more concrete as it assesses application of lessons learned. Keywords: approaches to teaching, Thai music theories, lower secondary students บทนำ ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งถือเป็นหลักสูตรฉบับล่าสุด ที่กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ยกร่าง โดยปรับปรุงมาจาก
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เนื่องจากผลการติดตามการใช้หลักสูตรทําให้ เกิดการพัฒนาหลักสูตร เพื่อการแก้ปัญหาในการใช้หลักสูตร รวมทั้งทําให้หลักสูตรมีความ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคม ฉบับที่ 10 โดยประกาศให้ โรงเรียนทั่วไปใช้เริ่มใช้หลักสูตรในโรงเรียนต้นแบบ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2551 และปีการศึกษา 2555 เป็นต้นไป ให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ทุกชั้นเรียน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)
วิชาดนตรี จัดอยู่ในสาระที่ 2 ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ซึ่งกล่าวถึงทั้งดนตรีไทย ดนตรีสากล และดนตรีพื้นบ้าน ประกอบอยู่ใน 2 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐาน ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าดนตรี ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่อดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชม ดนตรีไทยนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ประกอบด้วยรายละเอียดอันกว้างขวางลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
โดยกระบวนการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของดนตรีไทย หากพิจารณาการศึกษาวิชาการดนตรีไทยในอดีตจะพบว่ามีลักษณะการถ่ายทอดระบบตัวต่อตัว (ORAL TRADITION) โดยเน้นวิชาการภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎีควบคู่กันไปโดยที่ไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้โดยเอกเทศ วิชาการด้านทฤษฎีดุริยางค์ไทยนั้น มีความสำคัญควบคู่กับวิชาการด้านปฏิบัติที่จะนำไปสู่สัมฤทธิผลและเอื้อต่อการก่อวิวัฒนาการเชิงการศึกษาอย่างกว้างขวาง (บุญช่วย โสวัตร, 2539) วิชาทฤษฎีดนตรีไทยนั้นจะช่วยอธิบายถึงหลักการในทางปฏิบัติ
ช่วยให้ผู้ปฏิบัติดนตรีไทยสามารถเข้าถึงดนตรีไทยได้อย่างเข้าใจ และสามารถที่จะเป็นพื้นฐานในการสืบทอดดนตรีไทยให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งรองศาสตราจารย์พิชิต ชัยเสรี ได้กล่าวไว้ว่า “แม้จะเป็นที่ยอมรับว่าดนตรีนั้นใช้ความงาม ความไพเราะเป็นเกณฑ์ตัดสินที่ทรงอิทธิพลที่สุด แต่ก็ควรตระหนักไว้เสมอเช่นกัน การเรียนการสอนวิชาทฤษฎีดนตรีไทยนั้น ปัจจุบันมีสถานะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งเริ่มให้มีการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ในระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น ประถมศึกษาตอนปลาย จนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นช่วงวัยที่เริ่มเผชิญกับความซับซ้อนของสังคม ดังนั้น เด็กในช่วงวัยนี้ ผู้วิจัยได้ทำการสำรวจเบื้องต้นโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนในกรุงเทพมหานคร 10 โรงเรียน จำนวน 30 คน พบว่า การจัดการเรียนการสอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีไทยในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่ได้รับความสนใจจากผู้เรียนมากนัก เนื่องจากปัจจัยหลายประการ ประการแรกวิชาทฤษฎีดนตรีไทยไม่เป็นวิชาที่น่าสนใจอยู่แล้ว ประการที่สอง วิธีการสอนของผู้สอนจะเน้นการสอนบรรยาย ผู้เรียนต้องจดจำเนื้อหาที่มีเยอะมากแบบวิชาท่องจำ ประการที่สาม การสอนทฤษฎีดนตรีไทยเน้นการสอนภาคปฏิบัติมากกว่าการสอนภาคทฤษฎีดนตรีไทย ทำให้ผู้เรียนไม่ได้เรียนรู้ในส่วนของเนื้อหาทฤษฎีดนตรีมากเท่าที่ควร จากข้อมูลข้างต้นผู้วิจัยเล็งเห็นว่าเนื้อหาทฤษฎีดนตรีไทยนั้นเป็นวิชาที่เป็นส่วนหนึ่งของตัวชี้วัด วัตถุประสงค์ เพื่อนำเสนอแนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น วิธีการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) 1. ศึกษาวรรณกรรมและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย 2. ร่างแบบสัมภาษณ์เพื่อการเก็บข้อมูลวิจัยตามวรรณกรรมและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 3. นำร่างแบบสัมภาษณ์ให้ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจประเมินหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Index of Item- Objective Congruence หรือ IOC) 4. แก้ไขแบบสัมภาษณ์ตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิแนะนำ 5. เก็บข้อมูลจากครูผู้สอนวิชาทฤษฎีดนตรีไทยระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจำนวน 3 ท่าน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอนทฤษฎีดนตรีไทย จำนวน 3 ท่าน 6. นำข้อมูลที่ได้มาตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Methodological triangulation) ก่อนการวิเคราะห์ข้อมูล 7. รวบรวมข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ครูผู้สอนและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอนทฤษฎีดนตรีไทยนำมาวิเคราะห์ข้อมูล 8. นำข้อมูลที่ได้มาสังเคราะห์เป็นแนวทางการเรียนการสอนทฤษฎีดนตรีไทย 9. สรุปแนวทางการจัดการเรียนการสอนทฤษฎีดนตรีไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโดยวิธีการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย (Analytic induction) 10. นำเสนอแนวทางการจัดการเรียนการสอนทฤษฎีดนตรีไทย สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผลการวิจัย ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิจัย โดยแบ่งเป็น 4 ประเด็น ได้แก่ การกำหนดวัตถุประสงค์ การกำหนดเนื้อหาสาระ รูปแบบวิธีการสอน และการวัดประเมินผล ผลการวิจัยพบว่าประเด็นที่ 1 การกำหนดวัตถุประสงค์ ครูผู้สอนควรจะกำหนดวัตถุประสงค์ให้มีความชัดเจนและเหมาะกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น “เน้นให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทักษะทางดนตรีไทย ทั้งการฟัง อ่าน เขียน ให้ผู้เรียนมีความรู้ในเรื่องของดนตรีไทย รวมถึงมีทัศนคติที่ดีต่อ และนอกจากนี้การกำหนดจุดประสงค์ “ควรยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางว่านักเรียนระดับชั้นม.ต้น
สรุปได้ว่าในประเด็นที่ 1 การกำหนดวัตถุประสงค์ ผู้สอนควรจะกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน มีความเหมาะสมกับนักเรียนวัยมัธยมศึกษาตอนต้น ควรจะยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สำรวจความต้องการของผู้เรียนว่าผู้เรียนควรจะเรียนรู้เรื่องอะไร แล้วจึงกำหนดวัตถุประสงค์ ซึ่งในแต่ละห้องอาจจะไม่เหมือนกัน ประเด็นที่ 2 การกำหนดเนื้อหาสาระ ครูผู้สอนควรจะกำหนดเนื้อหาสาระให้ไม่มาก มีความพอดีและเหมาะสมกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เรื่องที่ครูควรจะสอนมากที่สุดในวิชาดนตรีไทย คือเรื่องของเสียง ดังที่อาจารย์ ดร.กฤษพงษ์ ทัศนบรรจง ได้กล่าวว่า “เด็กควรจะรู้จักเสียงของเครื่องดนตรี เอกลักษณ์ของดนตรีไทย ควรเพิ่มเรื่องของการฟังดนตรีไทยเข้าไปในเนื้อหาด้วย โดยครูผู้สอนจะต้องเป็นคนหาเนื้อหาสาระที่ถูกต้องและดี มาให้นักเรียนได้ฟัง อาจจะเริ่มจากเพลงง่าย ๆ ก่อนแล้วค่อยขยับไปเพลงที่ยากขึ้น” (กฤษณพงษ์ ทัศนบรรจง, การสื่อสารส่วนบุคคล, 28 ตุลาคม 2563) และรองศาสตราจารย์ ดร.อัศนีย์ เปลี่ยนศรี ยังได้กล่าวอีกว่า “ผู้เรียนควรจะรู้จักเพลงไทยเดิมเบื้องต้น ควรรู้จักประเภทเพลง ประเภทวงดนตรีไทยและหน้าที่ของวงดนตรีไทย เพลงบังคับทาง เพลงไม่บังคับทางและควรจะรู้ว่าตัวนักเรียนชอบเพลงอะไร ชอบวงดนตรีประเภทไหน และชอบเพลงประเภทไหน” (อัศนีย์ เปลี่ยนศรี,
การสื่อสารส่วนบุคคล, นอกจากนี้นักเรียนควรจะได้เรียนรู้ในเรื่องของการอ่านโน้ตและเขียนโน๊ตเพลงไทยเบื้องต้นด้วยซึ่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิชฏาลัมพก์ เหล่าวานิช ได้กล่าวว่า “เรื่องของการอ่านโน้ตและเขียนโน้ตเพลงไทยควรทำให้เป็นเรื่องมาตรฐานที่เด็กทำได้เหมือนกับการอ่านออกเขียนได้ในภาษาไทย” (วิชฏาลัมพก์ เหล่าวานิช, การสื่อสารส่วนบุคคล, 24 พฤศจิกายน 2563) สรุปได้ว่าในประเด็นที่ 2 การกำหนดเนื้อหาสาระ ครูผู้สอนควรจะเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในเรื่องของเสียงของดนตรีไทย วิธีการฟังเพลงไทย ลักษณะเสียงของวงดนตรีไทย ประเภทของเพลงไทยเบื้องต้น โดยเริ่มจากเพลงง่าย ๆ ผู้เรียนควรสามารถบอกได้ว่าชอบหรือไม่ชอบเพลงประเภทไหน และผู้เรียนควรอ่านโน้ตและเขียนโน้ตเพลงไทยเดิมได้ในระดับเบื้องต้น ประเด็นที่ 3 รูปแบบวิธีการสอน ครูควรจะมีรูปแบบการสอนที่ลดการสอนบรรยายลงควรเพิ่มกิจกรรมที่เกี่ยวกับการฟังดนตรีให้มากขึ้น “ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบ active learning เน้นกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้นอกเหนือจากในหนังสือหรือในตำรา เพราะในยุคนี้การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเน้นเนื้อหาที่สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้” (กฤษณพงษ์ ทัศนบรรจง, การสื่อสารส่วนบุคคล, 28 ตุลาคม 2563) การสอนไม่ควรแยกทฤษฎีออกจากการปฏิบัติ เหมือนที่วิชาอื่น ๆ ทำ จะทำให้เกิดความน่าเบื่อความไม่อยากเรียน ควรแทรกเนื้อหาทฤษฎีดนตรีไทยลงไปทั้งในการเรียนรู้แบบกิจกรรมหรือการปฏิบัติ ดังที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิชฏาลัมพก์ เหล่าวานิช ได้กล่าวว่า “ควรจะทำให้ดนตรีเป็นวิชาที่มีความสุข มีกิจกรรมที่สนุกสนาน น่าสนใจ ไม่ใช่วิชาที่ต้องท่องจำ” (วิชฏาลัมพก์ เหล่าวานิช, การสื่อสารส่วนบุคคล, 24 พฤศจิกายน 2563) ควรเน้นที่การสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนดนตรีไทยก่อนเป็นอันดับแรก ครูมีหน้าที่ต้องสร้างผู้ฟังดนตรีไทยให้มากกว่าสร้างนักดนตรีไทยผ่านการสอนแบบเน้นการฟังเพลง หรือฟังเสียงดนตรีไทย ดังที่รองศาสตราจารย์ ดร. อัศนีย์ เปลี่ยนศรี ได้กล่าวว่า “ครูต้องสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับดนตรีไทยและการฟังเพลงไทยให้กับเด็กก่อนที่จะสอนทฤษฎีดนตรีไทย อาจจะมีการบูรณาการกับวิชาอื่นๆเข้ามา เช่น การอ่านบทกลอนในวิชาภาษาไทย เป็นต้น” (อัศนีย์ เปลี่ยนศรี, การสื่อสารส่วนบุคคล, 4 พฤศจิกายน 2563) อีกเรื่องที่สำคัญคือเรื่องของสื่อการเรียนรู้ อาจารย์จารึก ศุภพงษ์ ได้กล่าวว่า “ครูควรเพิ่มสื่อการเรียนรู้ที่เป็นของจริงให้กับนักเรียนเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่” (จารึก ศุภพงษ์, การสื่อสารส่วนบุคคล, 14 ตุลาคม 2563) สรุปได้ว่าในประเด็นที่ 3 รูปแบบวิธีการสอน ผู้สอนควรจะมีรูปแบบการสอนที่ลดการสอนบรรยายลงควรเพิ่มกิจกรรมที่เกี่ยวกับการฟังดนตรีให้มากขึ้น ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบ active learning เน้นเนื้อหาที่สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ควรจะทำให้ดนตรีเป็นวิชาที่มีกิจกรรมที่สนุกสนาน น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ไม่ควรทำให้เป็นวิชาที่ต้องท่องจำและครูควรเพิ่มสื่อการเรียนรู้ที่เป็นของจริงให้กับนักเรียนเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ ประเด็นที่ 4 การวัดประเมินผล นอกจากการใช้ข้อสอบ ภาระงาน หรือแบบฝึกหัดที่ใช้วัดผลแล้วนั้น ครูควรจะมีการวัดผลที่ไม่ใช้ข้อสอบ เช่น “ครูอาจจะเพิ่มวิธีการวัดประเมินผลอื่น ๆ เช่น การสังเกตจากพฤติกรรม
การอภิปรายแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับดนตรีไทย หรือการหากิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่วัดผลได้ในเชิงรูปธรรม” (กฤษพงษ์ ทัศนบรรจง, การสื่อสารส่วนบุคคล, 24 พฤศจิกายน 2563) “การวัดประเมินผลตามสภาพจริงคือ การที่ผู้สอนให้โจทย์ไปแล้วก็ดูกระบวนการการทำงานของเขาว่าเขาได้สัมผัสกับดนตรีมั้ย ซึ่งเรื่องพวกนี้จะเกี่ยวข้องกับทฤษฎีอยู่แล้ว เขาต้องรู้การบรรจุเนื้อร้องเพลงไทย ทั้งนี้รองศาสตราจารย์ ดร.อัศนีย์ เปลี่ยนศรี ยังมีความคิดเห็นอีกว่า “ผู้สอนต้องรู้จักการเลือกวิธีการที่ครูจะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเด็ก ต้องหลากหลาย ปรับเปลี่ยนไปตามกิจกรรมและเนื้อหาเรื่องต่างๆ ไม่ยึดวิธีการเดียวกับเด็กทุกห้อง วิธีการวัดผลควรจะต้องปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นได้” (อัศนีย์ เปลี่ยนศรี, การสื่อสารส่วนบุคคล, 4 พฤศจิกายน 2563) สรุปได้ว่าในประเด็นที่ 4 การวัดประเมินผล ผู้สอนควรมีวิธีการวัดประเมินผลที่หลากหลาย ปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นไปตามเนื้อหาและกิจกรรม และผู้เรียน ไม่ควรใช้วิธีการเดียวกันกับเด็กในทุกห้อง วิธีการประเมินผลที่ควรใช้ เช่น การสังเกตพฤติกรรม การสัมภาษณ์ เน้นการแสดงความคิดเห็นและการอภิปรายในชั้นเรียน หรือการประเมินผลสภาพจริง (authentic assessment) อภิปรายผล
การวิจัยเรื่องแนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทย สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผลการวิจัยพบว่า แนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทย สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบด้วย 4 หัวข้อ คือ การกำหนดจุดประสงค์ การกำหนดเนื้อหาสาระ การกำหนดรูปแบบวิธีการสอน และการวัดประเมินผลการเรียนสอน โดยแต่ละหัวข้อมีข้อมูลดังนี้ การกำหนดจุดประสงค์ ควรกำหนดให้ชัดเจน
ควรเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กำหนดจุดประสงค์ การกำหนดเนื้อหาสาระ ต้องไม่มากและยากเกินไป ควรกำหนดให้เหมาะสมกับวัยมัธยมศึกษาตอนต้น สอดคล้องกับทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูนเนอร์ (Bruner, 1956) ที่กล่าวว่า
“ผู้สอนควรจัดโครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับระดับขั้นพัฒนาสติปัญญาของผู้เรียน” ควรจะต้องรู้จักเรื่องของวงดนตรีไทย หน้าที่ของแต่ละวง เพลงไทยเดิมเบื้องต้น และควรมีการฝึกฟังเพลงควรจะต้องรู้เรื่องของเสียง เอกลักษณ์ของดนตรีไทย สอดคล้องกับทฤษฎีการสอนดนตรีของออร์ฟ (Carl Orf ,1982) นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังมีความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ควรมีการสอดแทรกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของวัยมัธยมศึกษาตอนต้น ตามทฤษฎีของโรเบิร์ต ฮาวิกเฮิร์ส (Robert havighurst ,1972) ได้กล่าวไว้ว่า การกำหนดรูปแบบวิธีการสอน ควรสอนแบบสอดแทรกทฤษฎีดนตรีไทยเข้าไปในการฟังดนตรีไทยและการสอนปฏิบัติ ลดการสอนแบบบรรยายและเพิ่มการสอนแบบ active learning ที่เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน สร้างสุนทรียะ และเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้เรียน สอดคล้องกับทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูนเนอร์ (Bruner, 1956) ที่กล่าวไว้ว่า “ผู้สอนควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดการค้นพบความรู้ด้วยตนเองโดยเฉพาะการสร้างความคิดรวบยอดในสิ่งที่เรียนอย่างเหมาะสมตามขั้นของพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย” (Bruner, 1956) ซึ่งผู้วิจัยมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกับผลการวิจัย คือ ผู้สอนควรมีกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมเรื่องของดนตรีไทยและมีความน่าสนใจสนุกสนาน เช่น การร้องเพลง การทำกิจกรรมเข้ากลุ่ม การสร้างกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ทดลองหรือหาคำตอบด้วยตนเอง วิธีการวัดประเมินผล นอกจากการใช้ข้อสอบ ควรจะมีการเพิ่มวิธีการสัมภาษณ์ การสังเกตจากพฤติกรรม การอภิปรายความคิดเห็นและใช้การประเมินผลตามสภาพจริง (authentic assessment)
ซึ่งเป็นการประเมินผลในขั้นนำไปใช้ สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ของเบนจามิน บลูม (Bloom et al, 1956) ซึ่งผู้วิจัยมีความคิดเห็นว่า วิธีการวัดประเมินผลในขั้นนำไปใช้ เป็นวิธีที่ควรเกิดขึ้นจริงในชั้นเรียน ผู้สอนควรลดการทำข้อสอบ ซึ่งเป็นการวัดประเมินผลในขั้นความรู้ความจำ แต่ควรเน้นการทำงาน ฝึกกระบวนการคิดวางแผน สร้างระบบในสมองให้เด็กตั้งแต่ช่วงวัยมัธยมศึกษาตอนต้น ข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่า แนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทย สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่ครูผู้สอนและผู้ทรงคุณวุฒิได้ให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็น ควรมีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและพัฒนาแนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทย สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ให้เป็นรูปธรรมและเผยแพร่แนวทางการสอนให้เป็นมาตรฐานการสอนที่มีคุณภาพสำหรับครูผู้สอนวิชาทฤษฎีดนตรีไทยต่อไปในอนาคต ในส่วนของการทำวิจัยเพิ่มเติม ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่าควรจัดทำวิจัยเรื่อง แนวทางการสอนวิชาประวัตศาสตร์ดนตรีไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หรือแนวทางการสอนทฤษฎีดนตรีไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา หรือมัธยมศึกษาตอนปลายในอนาคต รายการอ้างอิง ภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ. (2553).
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: บุญช่วย โสวัตร. (2539). ทฤษฎีดุริยางค์ไทย. กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์. พิชิต ชัยเสรี. (2559). สังคีตลักษณ์วิเคราะห์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. แพง ชินพงษ์. (2559, 12 มกราคม). ครูแนะปรับวิธีสอน 3 ช่วงวัย “อนุบาล-ประถม-มัธยม”.สถาบันวิจัยการเรียนรู้ (Learning Research Institute). https://lri.co.th/news_detail.php?news_id=326 มนธวัช จำปานิล. (2555). แนวทางการสอนรายวิชาด้านสุนทรียศาสตร์ในบริบทของทัศนศิลป์และดนตรีสำหรับนักศึกษาปริญญาตรี [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. Chulalongkorn University Intellectual Repository (CUIR). https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/42236 ศราพงศ์ อิศรศักดิ์ ณ อยุธยา. (2553). การนำเสนอรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีสำหรับเด็ก ปฐมวัยของครูในโรงเรียนเอกชน [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. Chulalongkorn University Intellectual Repository (CUIR). https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/59366 สุภัชชา โพธิ์เงิน. (2554). การนำเสนอรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษา ปีที่ 4 – 6 [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. Chulalongkorn University Intellectual Repository (CUIR). https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/29586 เพราะเหตุใดจึงต้องเรียนวิชาดนตรีสมองดี มีสมาธิ เรียนหนังสือเก่ง เพราะในขณะที่เรียนดนตรีและเล่นเปียโน เด็กๆ จะได้ฝึกฝนการทำงานร่วมกันของระบบประสาทสมองทุกส่วน ตั้งแต่หูฟังเสียง ปากร้องเพลง ตาอ่านโน้ต สมองคิดวิเคราะห์ และมือบรรเลงแยกซ้ายขวา โดยเริ่มจากบทเพลงง่ายๆ ช้าๆ แล้วพัฒนาจนเร็วและซับซ้อนมากขึ้นไปเรื่อยๆ
เพราะเหตุใดเราจึงควรอนุรักษ์ดนตรีไทยดนตรีไทยควรอนุรักษ์ไว้ เครื่องดนตรีไทยนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับเป็นวัฒนธรรมของประเทศไทย ต้องยอมรับเลยว่าบรรพบุรุษของเรานั้นได้อนุรักษ์เอาไว้ในเรื่องของดนตรีไทยเพื่อให้คนรุ่นใหม่หนังสืบทอดต่อมา ซึ่งดนตรีไทยนั้นถือว่าเป็นเอกลักษณ์หลักสำหรับประเทศไทยเลยที่เราควรอนุรักษ์ไว้ ต้องชื่นชมคนเมื่อก่อนที่ให้เรานั้นมีความภาค ...
ค่านิยมการฟังดนตรีไทยในสมัยก่อนนิยมฟังเพราะเหตุใดเช่น แต่เดิมสิ่งหนึ่งที่แสดงฐานะของบุคคลในสังคมก็คือการอุปถัมภ์วงดนตรีโดย เฉพาะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่จะมีวงดนตรีเป็นของตนเอง แล้วน ามาแข่งขันประกวดกันว่า วงของท่านผู้ใดมีฝมือเป็นเลิศ แต่ปัจจุบันค่านิยมแบบนี้ได้ลดน้อยถอยลงจนหมดไปในที่สุด นอกจากนี้ ค่านิยมการฟังดนตรีไทยในสมัยก่อน นิยมฟังเพื่อความเพลิดเพลิน ช่วย ...
ข้อใดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไทยนิยมดนตรีต่างชาติตอบ (นิยมกระแสดนตรีจากต่างประเทศมากกว่าในประเทศ 4. ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้คนไทยนิยมดนตรีต่างชาติ ตอบ ปัจจัยทางด้านสานสื่อที่ไร้พรมแดน เช่น อินเตอร์เน็ท รายการโทรทัศน์ สื่อวิทยุ และกลยุทธ์ในการเผยแพร่ เช่น ศิลปินดาราที่มีหน้าตาดี เป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟัง เป็นต้น
|