ทำไม องคุลี มา ล ต้อง ตัดนิ้ว

องคุลีมาล มหาโจรกลับใจ

เรื่องราวของมหาโจรกลับใจ นามว่า ” องคุลีมาล ” เป็นต้นบัญญัติพระวินัยห้ามบวชให้โจร และเรื่องราวของพระเถระรูปนี้แสดงให้เห็นว่า กรรมชั่วขจัดได้ด้วยการกระทำกรรมดี ดังที่ท่านละทางโลกสู่ทางธรรม จนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

 

“ไม่มีคำว่าสายสำหรับการกลับตัวเป็นคนดี”ได้ยินข้อความนี้แล้วนึกถึงอดีตมหาโจรคนหนึ่ง ผู้คนนับร้อยจบชีวิตลงด้วยคมดาบของเขา ใครที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอาจพานเข้าใจว่า ความโหดเหี้ยมอำมหิตนั้นเกิดจากจิตที่ชั่วร้ายเลวทรามมาแต่กำเนิด
   ทั้งที่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่…

 

 “องคุลิมาล”ถือกำเนิดในคืนเดือนมืด โหรทุกทิศต่างทำนายว่าเด็กที่ลืมตาดูโลกในค่ำคืนเช่นนี้ย่อมมีอนาคตไม่สดใสนัก บิดามารดาของเขาจึงระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ และตั้งชื่อทารกน้อยว่า“อหิงสกะ”แปลว่า ผู้ไม่เบียดเบียนใคร

เจ้าหนูอหิงสกะเติบโตเหมือนชาวเมืองคนอื่นๆเมื่อเจริญวัยเขาร่ำเรียนศิลปวิทยาการจนเจนจัด จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสำนักทิศาปาโมกข์เพื่อร่ำเรียนวิชาการต่อสู้ ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งความนิยมในสมัยนั้น อหิงสกะตั้งใจฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นศิษย์รักของอาจารย์

เมื่อมีคนรักย่อมมีคนชัง ความดีเด่นของอหิงสกะกลับสร้างศัตรูให้เขาโดยไม่รู้ตัว ศิษย์ร่วมสำนักคิดกำจัดเขา ลงมือใส่ไคล้โดยบอกเจ้าสำนักว่าอหิงสกะคิดจะโค่นบัลลังก์ครู อาจารย์ผู้หูเบาจึงวางแผนดึงอหิงสกะลงสู่หุบเหวแห่งความชั่วร้าย เขาหลอกให้อดีตศิษย์รักออกเดินทางสังหารคนให้ครบพันชีวิต เพื่อจะได้บรรลุพิธีวิษณุมนตร์(มนตร์สรรเสริญพระนารายณ์)ซึ่งเป็นวิชาขั้นสูงที่จะทำให้อหิงสกะนำชื่อเสียงกลับบ้านเกิดได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพราะแบกความหวังของบิดามารดามาหนักอึ้ง อหิงสกะจึงจำยอมให้มือตนเองเปื้อนเลือดในที่สุด

ชายหนุ่มเลือกจะตัดนิ้วมือของทุกคนที่เขาฆ่า เพื่อให้ตนเองจดจำได้ว่า เขาเข่นฆ่าคนไปแล้วกี่คนนิ้วมือทุกนิ้วถูกอหิงสกะร้อยรวมกันเป็นพวงแล้วสวมคล้องคอตนเองไว้ การสวมพวงมาลัยที่ทำด้วยนิ้วมือคนเช่นนี้จึงเป็นที่มาของฉายา “องคุลิมาล”มหาโจรที่คนทั้งบางได้ยินชื่อแล้วต้องกลัวลนลาน

 

ทำไม องคุลี มา ล ต้อง ตัดนิ้ว
“กรรมชั่วขจัดได้ด้วยการกระทำกรรมดี” องคุลีมาล มหาโจรกลับใจ

 

วันสุดท้ายของการใช้ชีวิตเป็นมหาโจรองคุลิมาลมีนิ้วมือห้อยอยู่บนคอทั้งสิ้นเก้าร้อยเก้าสิบเก้านิ้ว จิตใจที่มืดมิดเพราะความหลงทำให้ดวงตาขององคุลิมาลมืดบอดไปด้วย เมื่อเขาพบสตรีร่างบางเดินผ่านมา เขาจึงมุ่งมาดจะลงดาบสังหาร โดยหารู้ไม่ว่าสตรีนางนั้นคือมารดาผู้ให้กำเนิดตนเอง เดชะบุญที่พระพุทธเจ้าทรงนั่งสมาธิหยั่งรู้ว่าองคุลิมาลกำลังจะกระทำมาตุฆาตซึ่งเป็นบาปมหันต์ พระพุทธองค์จึงปรากฏพระองค์ขึ้นเพื่อให้จอมโจรหันเหความสนใจมาเอาชีวิตของพระองค์แทน แต่ไม่ว่าองคุลิมาลจะเร่งฝีเท้าตามพระองค์สักเท่าใด ก็ไม่สามารถตามพระพุทธเจ้าที่เพียงทรงพระดำเนินด้วยอิริยาบถธรรมดาได้ทัน

 ในวินาทีที่จอมโจรร้องเรียกให้พระพุทธเจ้าหยุดฝีเท้านั้นเอง พุทธพจน์“เราหยุดแล้ว ท่านต่างหากที่ยังไม่หยุด”จึงถือกำเนิดขึ้น พระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า“พระองค์ทรงหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวงแล้ว แต่องคุลิมาลยังไม่หยุดทำกรรมเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น”เมื่อได้ยินดังนี้ ดวงจิตของมหาโจรก็สว่างพ้นจากกิเลสลุ่มหลงทั้งปวง องคุลิมาลจึงพร้อมยอมทิ้งอาวุธ และบวชเป็นพระภิกษุมุ่งหน้าเดินบนหนทางธรรม เพื่อนำชีวิตสู่แสงสว่างทันที

หากผลกรรมที่เคยทำเมื่อครั้งยังเป็นโจรทำให้องคุลิมาลต้องเผชิญเคราะห์กรรมนานัปการ ทั้งถูกชาวบ้านชาวเมืองรุมประณามทำร้ายขณะออกบิณฑบาตจนเลือดตกยางออก มิหนำซ้ำภาพที่ตนเคยทำร้ายทำลายชีวิต ยังตามหลอกหลอนให้จิตฟุ้งซ่านในยามปฏิบัติธรรม ทำให้องคุลิมาลต้องทนทรมานอย่างมาก ต่อเมื่อคิดตัดใจได้ว่าไม่มีวันย้อนเวลากลับไปแก้ไขความ ผิดพลาดในอดีตได้ ดวงจิตขององคุลิมาลจึงพ้นจากความพะวงทั้งปวงและบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

แม้จะเคยผิดพลาดจนแทบถอนตัวไม่ขึ้นแต่เรื่องราวของขุนโจรผู้หลงผิด แต่เปลี่ยนชีวิตด้วยพระธรรมจนพ้นจากบ่วงกรรม คนนี้สามารถยืนยันประโยคที่ว่า“ไม่มีคำว่าสายสำหรับการกลับตัวเป็นคนดี”ให้คนทั้งโลกเข้าใจอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ

องคุลิมาลเดิมชื่อว่า อหิงสกะ ได้ไปเรียนวิชาที่เมืองตักสิลา เรียนเก่งกว่าศิษย์ทั้งปวง ต่อมาอาจารย์ผู้สอนถูกยุยง ก็เกิดคิดจะกำจัดอหิงสกะจึงสั่งให้ไปฆ่าคนให้ครบหนึ่งพันคนแล้วจะสอนสุดยอด วิชาให้อหิงสกะฆ่าคนแล้วตัดนิ้วมือมาคล้องคอ เพื่อให้จำได้ว่าฆ่าไปกี่คนจึงมีชื่อว่า องคุลิมาล แปลว่า ผู้เอานิ้วมือมาเป็นพวงมาลัยคล้องคอ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหยั่งรู้ว่า องคุลิมาลสามารถจะบรรลุอรหัตผลได้จึงเสด็จไปโปรด จนกระทั่งองคุลิมาลหยุดการฆ่าคนแล้วหันมาฆ่ากิเลสแทน ด้วยการบวชเป็นพระภิกษุและได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

...ประวัติท่านพระองคุลีมาล...

.

.

.

.

บางท่านรวมทั้งตัวผมคงเคยสงสัยว่า พระองคุลีมาล ทำไมท่านต้องสังหารคนถึง ๙๙๙ คนเพื่อตัดนิ้วตามคำสั่งของอาจารย์ และ ทำไมท่านสังหารคนตั้งมากมายทำไมถึงได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในชาติสุดท้ายของท่าน

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้มีโอกาสไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ และ พระอรหันตธาตุของพระสาวก รวมทั้งพระอรหันตธาตุของท่านพระองคุลีมาลด้วย วันนี้เลยถือโอกาสรวบรวมข้อมูลประวัติของ พระองคุลีมาล มาฝากครับ

ครั้งหนึ่ง เหล่าพระสงฆ์สาวกพากันทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงตรัสเล่าเรื่องราวความเป็นมาแต่อดีตชาติของพระองคุลีมาล เพื่อที่จะได้รู้สาเหตุว่า ทำไม...ชาตินี้ท่านถึงต้องเป็นโจรฆ่าคน ก่อนที่จะมาเป็นพระสงฆ์ที่อุดมด้วยศีลาจารวัตรงดงาม พระพุทธองค์ผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ก็ทรงประทานตรัสเล่าให้ฟังดังนี้...

ในอดีตชาตินานโพ้นทีเดียว พระองคุลีมาล ได้ถือกำเนิดเป็น “เต่าใหญ่” อยู่ในทะเลและมหาสมุทรแห่งหนึ่ง ความใหญ่ของเต่าตัวนี้ มีขนาดไม่เล็กไปกว่าปลาวาฬ โบราณาจารย์ท่านเรียกเต่าชนิดนี้ว่า “เต่าเรือน” คือ ตัวใหญ่เท่าเรือน เป็นเต่าใหญ่แต่ใจบุญ ด้วยมีนิสัยที่ไม่ดุร้าย ทำร้ายใคร มักช่วยเหลือผู้คนที่ตกอยู่ในอันตรายจากเรืออับปางให้พ้นภัยเสมอ

เต่าใหญ่อดีตชาติพระองคุลีมาล ก็เวียนว่ายหากินอยู่ในท้องทะเลตามปกติอยู่ชั่วนาตาปี จนอยู่มาวันหนึ่ง พบเรือประมงลำหนึ่งเกิดอับปางลง ผู้คนในเรือต่างก็ลอยคอ แหวกว่ายพยุงตัวเพื่อไม่ให้จมน้ำ ต่างก็หมดแรงเมื่อยล้า จะตายมิตายแหล่ ด้วยจิตแห่งความเมตตา เต่าใหญ่ตัวนั้นก็ว่ายเข้าไป เพื่อให้บรรดาชาวประมงเหล่านั้น ซึ่งคาดว่ามีประมาณ ๖ – ๗ คนได้พากันเกาะกระดองเต่า ปีนขึ้นมาบนหลังเต่า จนครบทุกคน และเต่านั้นก็ว่ายน้ำเข้าฝั่ง พาคน เหล่านั้นขึ้นบกให้พ้นภัย

แต่ด้วยเคราะห์กรรมของเต่านั้น ที่อาจจะมีเวรมีกรรมผูกพันกับชาวประมงที่ตนได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ตามมาส่งผล ทำให้ชาวประมงเหล่านั้นเห็นผิดเป็นชอบ เกิดความโลภ ไหน ๆ ก็ไม่ได้ปลาแล้ว ฆ่าเต่าเอาเนื้อไปขายก็ยังดี ด้วยความคิดชั่วช้าขาดเสียซึ่งความกตัญญูรู้คุณเต่าที่ได้ช่วยชีวิตตนไว้ เขาเหล่านั้นก็พากันฆ่าเต่า แล้วชำแหละเนื้อเอาไปขายให้คนในหมู่บ้านนั้น ซึ่งมีอยู่หลายครัวเรือน ทุกครัวเรือนต่างก็พากันซื้อเนื้อเต่าไปกินกัน ด้วยเป็นของแปลก หายาก และมีความเชื่อที่ว่า เต่าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน หากใครได้กินเนื้อเต่าแล้ว จะพากันอายุยืน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน

พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสเล่าว่า คนในหมู่บ้านนั้น มีด้วยกันทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ คนพอดี ทุกคนเมื่อได้เนื้อเต่าไปแล้ว ก็พากันนำไปปรุงอาหารแบ่งปันกันกินในครอบครัว แต่มีอยู่เพียงคนเดียว เป็นเด็กหญิงอายุเพียง ๙ ขวบ ที่ไม่ยอมกินเนื้อเต่านั้น แม้พ่อแม่จะบังคับให้กินอย่างไร เธอก็คายออกมาจนหมดสิ้น เพราะเธอสงสารเต่าตัวนั้น อาจด้วยจิตวิญญาณที่ทำไว้ร่วมกันแต่อดีตชาติกับเต่านั่นเอง ด้วยบุพกรรมอันนี้แหละ ที่ทำให้ชาตินี้ เต่าใหญ่ได้กลับชาติมาเกิดเป็น “องคุลีมาล”

เมื่ออหิงสกกุมาร หรือ พระองคุลีมาลมีอายุพอจะศึกษาศิลปวิทยาแล้วบิดามารดาจึงส่งไปเรียนกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักกศิลา อหิงสกกุมารเป็นคนมีปัญญา ขยัน ตั้งใจเรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย คอยรับใช้อาจารย์ด้วยความเคารพ พูดจาไพเราะจึงเป็นที่พอใจของอาจารย์มาก แต่ศิษย์คนอื่น ๆ เห็นท่านเป็นคนโปรดของอาจารย์ก็ริษยา พากันออกอุบายเพื่อกำจัดอหิงสกมาณพ โดยแบ่งคนออกเป็นสามพวก พวกแรกก็เข้าไปบอกอาจารย์ว่า ได้ยินมาว่าอหิงสกมาณพจะประทุษร้ายท่านอาจารย์ ทีแรกอาจารย์ไม่เชื่อ แต่เมื่อพวกที่สอง และ พวกที่สามเข้าไปบอกเรื่องอย่างเดียวกัน หนักเข้าก็กลับใจเชื่อ แล้วอาจารย์จึงหาอุบายฆ่าอหิงสกมาณพเสีย

อาจารย์คิดต่อไปอีกว่า ถ้าเราฆ่ามัน ใคร ๆ ก็จะคิดว่าอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ลงโทษมาณพผู้มาเรียนศิลปะยังสำนักของตนแล้วปลงชีวิตเสีย ดังนี้ ก็จักไม่มีใครมาเล่าเรียนศิลปะกับเราอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะเสื่อมลาภ ดังนั้นจึงได้ออกอุบายยืมมือคนอื่นฆ่า โดยให้มาณพนั้นฆ่าคนให้ได้พันคน ด้วยคาดว่าเมื่ออหิงสกกุมารปฏิบัติตามคำสั่งของตน เที่ยวได้ฆ่าคนไป ก็จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต่อสู้ และฆ่ามาณพนั้นจนได้ แล้วอาจารย์จึงบอกมาณพนั้นว่า ยังมีคำสำหรับศิลปะวิชาขั้นสุดท้ายอยู่ เจ้าจะต้องฆ่าคนให้ได้ ๑๐๐๐ คน

เพื่อประกอบพิธีบูชาครู (ครุทักษิณา) มิฉะนั้นวิชานั้นก็จะไม่มีผล อหิงสกกุมาร หรือ พระองคุลีมาลจึงได้ออกสังหารเพื่อให้ครบ ๑๐๐๐ คน ตามคำสั่งของอาจารย์ ได้สังหารคนได้ถึง ๙๙๙ คนแล้ว ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่กินเนื้อเต่าในชาติก่อน และกลับชาติมาเกิดเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกโจรฆ่าในชาตินี้ ส่วนเด็กหญิงคนนั้น ก็เกิดมาเป็นมารดาของท่านองคุลีมาล และด้วยเหตุนี้แหละที่พระพุทธองค์ท่านถึงทรงรีบไปโปรดองคุลีมาลเสียก่อนที่จะฆ่ามารดาของตน 

กุศลบารมีที่องคุลีมาลสั่งสมไว้ในภพชาติก็มีมากมาย ด้วยพุทธญาณ ทรงหยั่งรู้ในบารมีนั้นว่าถึงพร้อมแล้วแก่อรหัตผล จึงทรงไปโปรด พระวาจาสั้นๆ ว่า “เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด” เพราะหากองคุลีมาลกระทำมาตุฆาต ฆ่ามารดาของตนแล้ว ซึ่งเป็นอนันตริยกรรม ก็จักไม่อาจสำเร็จอรหัตผลในชาตินั้นได้ และจะต้องไปรับผลกรรมที่ตนก่อ เมื่อสำเร็จอรหัตผลแล้วและปรินิพพานแล้ว กรรมต่างๆทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศลที่ยังไม่ส่งผลย่อมกลายเป็นอโหสิกรรมไปด้วยไม่มีเวรมีกรรมผูกพันกัน

อีกประการหนึ่งก็คือ เต่าใหญ่ตัวนั้น หลังจากสิ้นสุดแห่งภาวะของเดรัจฉานภูมิแล้ว ด้วยผลแห่งกรรมดี ก็ได้บังเกิดไปเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างแข็งแรง ใหญ่โต ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ และมีอายุยืนยาว เป็นผู้มีใจเมตตากรุณา ได้สั่งสมบุญบารมีมาอีกหลายภพหลายชาติด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เวียนว่ายตายเกิด ทั้งในโลกมนุษย์ และสวรรค์ จนชาตินี้ได้มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์นามว่า “อหิงสกะ” หรือ “องคุลีมาล”

หลังจากสิ้นพระดำรัสเล่าเรื่องราวแต่อดีตชาติของพระองคุลีมาลจบแล้ว ทรงประทานพุทธโอวาท ตอนหนึ่ง ความว่า “บาปกรรมที่บุคคลทำแล้ว ย่อมละได้เสียด้วยกุศลกรรม บุคคลเช่นนั้นย่อมยังโลกให้สว่าง เหมือนดวงจันทร์ที่พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น”

ทำไม องคุลี มา ล ต้อง ตัดนิ้ว

หลังจากพระองคุลีมาล บวชอยู่ในสำนักของพระพุทธองค์พอสมควรแก่เวลา ได้เรียนรู้และเข้าใจในศีล และข้อบัญญัติหรือพระธรรมวินัยจนเป็นที่เข้าใจถ่องแท้แล้ว ท่านก็ทรงทูลขอพระบรมพุทธานุญาติ ออกจาริกไปในป่าเขาลำเนาไพรแต่เพียงผู้เดียว ถือธุดงควัตร ๑๓ ข้ออย่างเคร่งครัด บำเพ็ญเพียรด้วยศีล สมาธิ และปัญญา  

ครั้งหนึ่งท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ในครั้งนั้นก็ปรากฏว่า ก้อนดิน ท่อนไม้ ก้อนกรวดที่บุคคลแม้ขว้างไปในทิศทางอื่น ก็ปรากฏให้สิ่งเหล่านั้นมาตกต้องกายของท่านพระองคุลิมาล ท่านพระองคุลิมาลศีรษะแตก โลหิตไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ฉีกขาด ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรท่านพระองคุลิมาลเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ตรัสกะท่านพระองคุลิมาลว่า เธอจงอดกลั้นไว้เถิด เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุจะให้เธอนั้นหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดชั่วกาลนาน นั้น เพียงในปัจจุบันนี้เท่านั้น.

จนในที่สุดท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด นับว่าชาตินั้นเป็นชาติสุดท้าย ภพสุดท้ายของท่าน

พระอรหันต์องคุลีมาล ท่านเป็น ๑ ใน ๘๐ องค์พระอรหันต์ที่สำคัญของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า “อสีติอริยะสาวก” เป็นพระอรหันต์ที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดองค์หนึ่ง ตั้งแต่สมัยพุทธกาลเนิ่นนานมาจนทุกวันนี้ พระนามของท่านจะยังคงจารึกไว้ในใจของพุทธศาสนิกชนตลอดกาลนาน ทั้งในเรื่องราวประวัติความเป็นมาของท่าน ในแบบอย่างของผู้ที่หลงผิดแล้วกลับตัวกลับใจมาเป็นคนดีมีคุณประโยชน์ต่อสังคม

นอกจากนั้น ท่านยังได้รับการอัญเชิญอาราธนาชื่อและบุญบารมีของท่าน ให้มาเป็นหนึ่งในห้าของพระอรหันต์ โดยประดับไว้ที่หน้าผาก (ปุณโณ อังคุลีมาโล จะ อุปาลิ นันทะ สีวะลี เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเฏ ติละกา มะมะ ) ในบาทหนึ่งของพระคาถาชินบัญชร ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี อีกด้วย

ข้อมูลจาก

http://www.lekpluto.org/index02/special07_14.htm

http://board.palungjit.com

http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=1065

http://www.dharma-gateway.com/monk/great_monk/pra-ong-kulee-marn.htm

ภาพ

ภาพพุทธประวัติถ่ายที่วัดแห่งหนึ่งที่เกาะปีนัง มาเลเซีย