คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1300/2539 นายดาบตำรวจ ป. กับ นาง ท.ได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้โดยรู้ว่านาง ท. ค้างชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย แม้จะฟังว่านาย ก. หรือจำเลยกรอกข้อความลงในเอกสารที่มีลายมือชื่อของนายดาบตำรวจ ป. กับนาง ท.แล้วนำเอกสารดังกล่าวไปฟ้องเรียกเงินกู้ อีกทั้งยังได้ลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายมอบให้แก่นาย ก. ไป ก็เป็นการกรอกข้อความลงในเอกสารซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยเชื่อด้วยความสุจริตและได้กรอกลงไปตรงตามความเป็นจริงทั้งได้รับความยินยอมจากเจ้าของลายมือชื่อแล้ว สัญญากู้ดังกล่าวย่อมไม่เป็นเอกสารปลอมการกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร http://www.thaigov.go.th วันนี้ (6 ธันวาคม 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลไร่หลักทอง ตำบลบ้านช้าง ตำบลนาวังหิน ตำบลนาเริก ตำบลหมอนนาง อำเภอพนัสนิคม และตำบลท่าบุญมี อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ....2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหันคา จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 5. เรื่อง รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2565 6. เรื่อง รายงานผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ประจำปี 2563 และประจำปี 2564 7. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 8. เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน 9. เรื่อง รายงานผลการคัดเลือกเอกชน และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุน โครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว 10. เรื่อง การดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ 11. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID และกรอบการขับเคลื่อนการให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลประเทศไทย ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2567) เพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ 12. เรื่อง ผลการสำรวจความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2566 (ของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาล) 13. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนตุลาคม 2565 14. เรื่อง รายงานผลการติดตามและการประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) 15. เรื่อง รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญฯ ครั้งที่ 16 (เดือนเมษายน – มิถุนายน 2565) 16. เรื่อง รายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 17. เรื่อง การประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ช่วงที่ 2 ณ นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดา 18. เรื่อง การประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 25 19. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 40 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง 20. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers: AEM) ครั้งที่ 54 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง 21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเกทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) 25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี 26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน) 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) 29. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 306/2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง 30. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 307/2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี 31. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 308/2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี 32. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 309 /2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลไร่หลักทอง ตำบลบ้านช้าง ตำบลนาวังหิน ตำบลนาเริก ตำบลหมอนนาง อำเภอพนัสนิคม และตำบลท่าบุญมี อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน พ.ศ. .... สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รง. พ.ศ. 59ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รง. พ.ศ. ....หมายเหตุข้อ 3 ให้แบ่งส่วนราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดังนี้ (1) สำนักงานเลขานุการกรม (2) กองบริหารการคลัง (3) กองบริหารทรัพยากรบุคคล (4) กองแผนงานและสารสนเทศ (5) กองพัฒนาศักยภาพแรงงานและผู้ประกอบกิจการ (6) กองส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน (7) สำนักพัฒนาผู้ฝึกและเทคโนโลยีการฝึก (8) สำนักพัฒนามาตรฐานและทดสอบฝีมือแรงงาน (9) – (33) สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 1 – 25 คงเดิม คงเดิม (8) กองพัฒนามาตรฐานและทดสอบฝีมือแรงงาน เปลี่ยนสำนักเป็นกอง เปลี่ยนสำนักเป็นกอง เพิ่มสถาบัน จำนวน 20 สถาบัน 3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหันคา จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหันคา จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้ มท. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย ตามที่ มท. เสนอ เป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลหันคา ตำบลวังไก่เถื่อน และตำบลบ้านเชี่ยน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชนหันคา ให้เป็นเมืองน่าอยู่ ดำรงรักษาเมืองและรักษาพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม ส่งเสริมและพัฒนาที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม เป็นศูนย์กลางการผลิต การซื้อขายและบริการทางการเกษตรระดับชุมชน โดยการจัดการด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และรวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายในเขตผังเมืองรวมชุมชนหันคา จังหวัดชัยนาท โดยได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น 8 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทนั้น ๆ รวมทั้งกำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการในที่ดินแต่ละประเภท ตลอดจนกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ซึ่ง มท. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว สาระสำคัญของร่างประกาศ 2. ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง 3. ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีแดง) 4. ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) 5. ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อนันทนาการและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สีเขียวอ่อน) 6. ที่ดินประเภทสถาบันการศึกษา (สีเขียวมะกอก) 7. ที่ดินประเภทสถาบันศาสนา (สีเทาอ่อน) 8. ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ (สีน้ำเงิน) - เป็นพื้นที่รอบนอกชุมชนเมืองต่อจากพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยที่เบาบาง มีการก่อสร้างอาคารอยู่อาศัยได้ทุกประเภท เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว โดยมีข้อห้ามการอยู่อาศัยหรือประกอบพาณิชย กรรมประเภทอาคารขนาดใหญ่ การเลี้ยงม้า โค กระบือ สุกร แพะ แกะ ห่าน เป็ด ไก่ งู จระเข้ หรือสัตว์ป่าเพื่อการค้า สุสานและ ฌาปนสถาน คลังน้ำมัน คลังก๊าซ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดระเบิด เพลิงไหม้ และมลพิษ การกำจัดมูลฝอย ซื้อขายหรือเก็บเศษวัสดุ การจัดสรรที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรม และสามารถประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมได้ เช่น โรงงานทำขนมปังหรือขนมเค้ก การทำขนมปังกรอบหรือขนมอบแห้ง การทำน้ำดื่ม หรือการทำเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น- เป็นพื้นที่บริเวณต่อเนื่องหรือล้อมรอบพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลางที่มีการสร้างที่อยู่อาศัยได้ทุกประเภท เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว อาคารชุด หอพัก อาคารอยู่อาศัยรวม โดยมีข้อห้ามการอยู่อาศัยหรือประกอบพาณิชยกรรมประเภทอาคารขนาดใหญ่ การเลี้ยงม้า โค กระบือ สุกร แพะ แกะ ห่าน เป็ด ไก่ งู จระเข้ หรือสัตว์ป่าเพื่อการค้า สุสานและฌาปนสถาน คลังน้ำมัน คลังก๊าซ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดระเบิด เพลิงไหม้และมลพิษ การกำจัดมูลฝอย ซื้อขายหรือเก็บเศษวัสดุ การจัดสรรที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรม และสามารถประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมได้ เช่น โรงงานซ่อมนาฬิกา เครื่องวัดเวลา หรือเครื่องประดับที่ทำด้วยเพชร พลอย ทองคำ ทองขาว เงิน นาก หรืออัญมณี โรงงานซักรีด ซักแห้ง ซักฟอก รีด อัด หรือย้อมผ้า เครื่องนุ่งห่ม พรม หรือขนสัตว์ เป็นต้น - เป็นศูนย์กลางชุมชน หรือพื้นที่รองรับการรวมกลุ่มเพื่อให้บริการการค้า การบริการแก่ชุมชน รวมถึงสร้างความคุ้มค่าในการลงทุนทางด้านการใช้ที่ดินที่เหมาะสมกับการเป็นศูนย์กลางชุมชน มีวัตถุประสงค์ให้เป็นบริเวณที่ประกอบพาณิชย์ ธุรกิจ และการค้า ประกอบด้วยตลาด ศูนย์การค้า สำนักงาน โรงแรม โดยมีข้อห้ามการประกอบพาณิชยกรรมประเภทอาคารขนาดใหญ่เพื่อคุ้มครองร้านค้ารายย่อย และห้ามการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ก่อให้เกิดการรบกวนย่านการค้า การบริการ การเลี้ยงม้า โค กระบือ สุกร แพะ แกะ ห่าน เป็ด ไก่ งู จระเข้ หรือสัตว์ป่า เพื่อการค้า คลังน้ำมัน คลังก๊าซ สถานีบริการก๊าซ และสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดระเบิด เพลิงไหม้ และมลพิษ การกำจัดมูลฝอย ซื้อขายหรือเก็บเศษวัสดุ การจัดสรรที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรมและสามารถประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมได้ เช่น โรงงานซ่อมนาฬิกา เครื่องวัดเวลา หรือเครื่องประดับที่ทำด้วยเพชร พลอย ทองคำ ทองขาว เงิน นาก หรืออัญมณี โรงงานซักรีด ซักแห้ง ซักฟอก รีด อัด หรือย้อมผ้า เครื่องนุ่งห่ม พรม หรือขนสัตว์ เป็นต้น - เป็นพื้นที่กันชนของชุมชนเมืองให้คงสภาพชนบทและประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีวัตถุประสงค์ให้เป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม ควบคุมการขยายตัวของชุมชน และรักษาคุณค่าของพื้นที่เกษตรกรรม ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ในพื้นที่บริเวณรอบชุมชน ประกอบด้วย พื้นที่เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ เช่น ทำไร่ ทำนา ทำสวน หรือเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น และสามารถสร้างที่อาศัยได้เฉพาะบ้านเดี่ยว อาคารชุดหรือหอพัก โดยมีข้อห้ามการประกอบกิจการโรงแรม การจัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย การจัดสรรที่ดินเพื่อประกอบพาณิชยกรรม การจัดสรรที่ดินเพื่อประกอบอุตสาหกรรม เป็นต้น และสามารถประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กและอุตสาหกรรมขนาดกลางที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมการอยู่อาศัยหรือประกอบพาณิชยกรรมประเภทห้องแถว บ้านแถว หรือตึกแถว เว้นแต่บางบริเวณที่มีศักยภาพในการเข้าถึง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการขยายตัวของเมืองไปในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม - เป็นที่ดินซึ่งเป็นของรัฐให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อนันทนาการหรือเกี่ยวข้องกับนันทนาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ชุมชนมีสภาพแวดล้อมที่ดี มีอากาศบริสุทธิ์ มีที่พักผ่อนหย่อนใจ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่สมบูรณ์ มีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น เกาะกลางคลองกระจับ บึงกระจับด้วน และลานกีฬาอเนกประสงค์ เทศบาลตำบลหันคา โดยมีข้อห้ามการอยู่อาศัยประเภทอาคารขนาดใหญ่ การเลี้ยงม้า โค กระบือ สุกร แพะ แกะ ห่าน เป็ด ไก่ งู จระเข้ หรือสัตว์ป่า เพื่อการค้า การอยู่อาศัยประเภทอาคารชุดหรือหอพัก โรงงานบำบัดน้ำเสียรวม กำจัดมูลฝอย จัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย การอยู่อาศัยประเภทห้องแถว ตึกแถว หรือบ้านแถว เป็นต้น - มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดพื้นที่ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาตามการใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบัน เช่น โรงเรียนอนุบาลหันคา โรงเรียนหันคาพิทยาคม และโรงเรียนบ้านท่าหลวง เป็นต้น - มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นพื้นที่สถาบันศาสนาตามการใช้ที่ดินในปัจจุบัน เช่น วัดท่ากฤษณา วัดบ้านใหม่สิริวัฒนาราม 3. กำหนดประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ให้ดำเนินการได้ในที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง (สีส้ม) ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก (สีแดง) และที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียว) ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภท 4. กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน ตามแผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่งท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย ให้เป็นดังต่อไปนี้ 4.1 ที่ดินในบริเวณแนวถนนสาย ข 3 และถนนสาย ข 4 ห้ามใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น นอกจากกิจการตามที่กำหนด ดังต่อไปนี้ 4.1.1 การสร้างถนนหรือเกี่ยวข้องกับถนน และการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ 4.1.2 การสร้างรั้วหรือกำแพง 4.1.3 การเกษตรกรรมหรือเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมที่มีความสูงของอาคารไม่เกิน 9 เมตรหรือไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่ 4.2 ที่ดินในบริเวณแนวถนนสาย ก 1 ถนนสาย ก 2 ถนนสาย ก 3 ถนนสาย ก 4 ถนนสาย ข 1 และถนนสาย ข 2 ห้ามใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น นอกจากกิจการตามที่กำหนด ดังต่อไปนี้ 4.2.1 การสร้างถนนหรือเกี่ยวข้องกับถนน และการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ 4.2.2 การสร้างรั้วหรือกำแพง 4.2.3 การเกษตรกรรมหรือเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมที่มีความสูงของอาคารไม่เกิน 9 เมตรหรือไม่ใช่อาคารขนาดใหญ่ 4.2.4 การอยู่อาศัยที่มีความสูงของอาคารไม่เกิน 9 เมตรหรือไม่ใช่อาคาร ขนาดใหญ่ 4.2.5 การอยู่อาศัยซึ่งมิใช่ห้องแถว ตึกแถว หรือบ้านแถว 4.2.6 การอยู่อาศัยซึ่งมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดสรรที่ดิน 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้ (1) ศึกษา วิเคราะห์ และจัดทำข้อมูลเพื่อใช้ในการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ของกระทรวง (2) พัฒนายุทธศาสตร์การบริหารกระทรวงและแปลงนโยบายเป็นแนวทางและแผนการปฏิบัติงาน (3) จัดทำยุทธศาสตร์ ประสานการบริหารราชการ และปฏิบัติการเกี่ยวกับงานที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงในต่างประเทศ (4) จัดสรรและบริหารทรัพยากรของกระทรวงเพื่อให้เกิดการประหยัด คุ้มค่า และสมประโยชน์ (5) กำกับ เร่งรัด ติดตาม และประเมินผล รวมทั้งประสานการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวง (6) พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อใช้ในการบริหารงานและการบริการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวง (7) ดูแลงานประชาสัมพันธ์และพัฒนาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย (8) กำกับดูแลและส่งเสริมการดำเนินภารกิจด้านพลังงานในส่วนภูมิภาคให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องภายในเขตอำนาจ (9) ส่งเสริมความรู้และความเข้าใจ ตลอดจนประสานการมีส่วนร่วมของประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค (10) ศึกษา ประสานงาน สนับสนุน และส่งเสริมเพื่อการพัฒนาโรงไฟฟ้าฐาน (11) ประสาน บูรณาการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และพัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงานในภูมิภาค มีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้ คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม คงเดิม (9) ส่งเสริมความรู้และความเข้าใจรวมทั้งสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ ตลอดจนประสานการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน (10) ศึกษา ประสานงาน สนับสนุน และส่งเสริมเพื่อการพัฒนาโรงไฟฟ้าฐานและพลังงานหมุนเวียนระดับชุมชน ตลอดจนพลังงานรูปแบบ อื่น ๆ เพื่อการสร้างสมดุลและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
- ปรับปรุงหน้าที่และอำนาจในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือในทุกระดับเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน - ปรับปรุงหน้าที่และอำนาจให้ครอบคลุมถึงพลังงานหมุนเวียนระดับชุมชน ตลอดจนพลังงานรูปแบบอื่น ๆ เพื่อเป็นศูนย์กลางการประสานการปฏิบัติงานในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนระดับชุมชน กองยุทธศาสตร์และแผนงาน มีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้ (1) ศึกษา วิเคราะห์ และจัดทำข้อมูล เพื่อเสนอแนะนโยบายและกลยุทธ์ในการจัดทำแผนงาน โครงการ และแผนการปฏิบัติงานของกระทรวง (2) จัดทำและพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ของ สป. และกระทรวง ประสานนโยบายและแผนไปสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนแม่บทของกระทรวง รวมทั้งเร่งรัด ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง (3) ติดตามและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน (5) ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่กิจกรรมและการปฏิบัติราชการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คงเดิม (2) จัดทำและพัฒนายุทธศาสตร์แผนปฏิบัติราชการ แผนปฏิบัติการ แผนงาน และโครงการของกระทรวง และ สป. รวมทั้งเร่งรัด กำกับ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติตามแผนและโครงการดังกล่าว ตลอดจนติดตามและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน (5) ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่กิจกรรมและการปฏิบัติราชการของกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง - เพิ่มหน้าที่และอำนาจในการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ แผนปฏิบัติการ แผนงาน และโครงการ - เพิ่มหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการระดับภูมิภาค โดยเน้นพื้นที่พิเศษและพื้นที่ยุทธศาสตร์ตามนโยบาย - ปรับถ้อยคำให้ชัดเจนขึ้น - ปรับถ้อยคำให้ชัดเจนขึ้น กองศึกษาและพัฒนาโรงไฟฟ้าฐาน มีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้ (3) เผยแพร่ ถ่ายทอด รณรงค์ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือของประชาชนที่เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าฐานและโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ มีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้ (1) ศึกษา วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และจัดทำยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนแผนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าฐาน และพลังงานหมุนเวียนระดับชุมชน ตลอดจนพลังงานรูปแบบอื่น ๆ และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ รวมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการดังกล่าว (2) เผยแพร่ ถ่ายทอด รณรงค์ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือของประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าฐานและพลังงานหมุนเวียนระดับชุมชน ตลอดจนพลังงานรูปแบบอื่น ๆ (4) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือที่ปลัดกระทรวงมอบหมาย - เปลี่ยนชื่อ- ปรับปรุงหน้าที่และอำนาจเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป เดิมมีขอบเขตงานเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าฐานในพื้นที่ยุทธศาสตร์เฉพาะโดยครอบคลุม 35 จังหวัดเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันได้มีการขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ครอบคลุมทั่วประเทศ 76 จังหวัด และขยายภารกิจนอกเหนือจากโครงการโรงไฟฟ้าฐานที่จ่ายไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงในระดับประเทศ ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนระดับชุมชนที่เชื่อมโยงกับศักยภาพพลังงานในเชิงพื้นที่ - ปรับถ้อยคำ - นำไปรวมอยู่ใน (1) และปรับถ้อยคำ 5. เรื่อง รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2565 คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2565 (เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2565) ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) [เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (5 พฤษภาคม 2563) ที่ให้ กนง. ประเมินภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มของประเทศและรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายไตรมาส) สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ 1. การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินเพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงิน 1.1 เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงโดยขยายตัวในอัตราร้อยละ 2.9 ในปี 2565 และร้อยละ 2.6 ในปี 2566 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงซึ่งเกิดจากปัจจัยด้านราคาพลังงานและอาหารที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ภาคการบริโภคและการผลิตมีแนวโน้มชะลอตัวลงซึ่งเป็นผลจากเงินเฟ้อและภาวะการเงินที่ตึงตัวกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งเกิดจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นทำให้สถานการณ์การเงินโลกตึงตัวและผันผวน การค้าโลกอาจชะลอตัวลง และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจรุนแรงและยืดเยื้อเพิ่มขึ้น เช่น ความขัดแย้งสหพันธรัฐรัสเชีย-ยูเครน และความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน-สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) 1.2 เศรษฐกิจไทย 1.2.1 ภาพรวม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยขยายตัวในอัตราร้อยละ 3.3 ในปี 2565 และร้อยละ 3.8 ในปี 2566 เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติมีเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 9.5 ล้านคน ในปี 2565 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 21 ล้านคนในปี 2566 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลจากความต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นและมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศที่คลี่คลายลง 1.2.2 การส่งออกของไทย มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราร้อยละ 8.2 ในปี 2565 (สูงกว่าประมาณการเดิมในเดือนมิถุนายน 2565 ที่ร้อยละ 7.9) และคาดว่าจะชะลอตัวลงมาที่ร้อยละ 1.1 ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าเป็นสำคัญ 1.2.3 การบริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 5.6 (สูงกว่าประมาณการเดิมในเดือนมิถุนายน 2565 ที่ร้อยละ 4.9) ซึ่งเป็นผลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากแรงสนับสนุนจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนแต่ยังมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.3 สอดคล้องกับการจ้างงานและรายได้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ 1.2.4 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 6.3 ในปี 2565 และลดลงเหลือร้อยละ 2.6 ในปี 2566 เนื่องจากราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาอาหารสดและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามการส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภค ทั้งนี้ กนง.ประเมินว่า การส่งผ่านต้นทุนในระยะต่อไปอาจจำกัดเนื่องจากแรงกดดันด้านอุปทานลดลง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง 2. ภาวะการเงินและเสถียรภาพระบบการเงิน 2.1 ภาพรวม มีแนวโน้มผ่อนคลายลดลงเล็กน้อยเนื่องจากยังคงมีความกังวลจาก ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกและการใช้นโยบายการเงินเพื่อชะลอการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ (เช่น การขึ้นดอกเบี้ย ของธนาคารกลางในหลายประเทศ ในส่วนภาคเอกชนการกู้ยืมโดยรวมยังเอื้อต่อการระดมทุนและไม่กระทบการระดมทุนในตลาดการเงินเนื่องจากภาคธุรกิจได้ทยอยระดมทุนไปในช่วงก่อนหน้าและมีแนวโน้มระดมทุนเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ธุรกิจไทยในต่างประเทศมีแนวโน้มกลับมาระดมทุนในประเทศมากขึ้นจากต้นทุนการระดมทุนในต่างประเทศที่สูงขึ้น 2.2 ค่าเงินบาทในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 36.33 ดอลลาร์สหรัฐ โดยอ่อนค่าลงจากไตรมาสที่ 2 ปี 2565 (เดือนเมษายน-มิถุนายน 2565) ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่สูง 2.3 ระบบการเงิน ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็งส่วนความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs ในบางสาขาธุรกิจยังคงฟื้นตัวช้าและครัวเรือนรายได้น้อยบางกลุ่มยังคงได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูง รวมทั้งสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) และหนี้ภาคธุรกิจต่อ GDP ยังคงอยู่ในระดับสูง 3. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2565 กนง. ได้มีมติขึ้นดอกเบี้ย จำนวน 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ในการประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565ปรับขึ้นดอกเบี้ยจากร้อยละ 0.50 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.75 ต่อปี (ปรับขึ้นร้อยละ 0.25 ต่อปี) และครั้งที่ 2 ในการประชุม กนง. ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 ปรับขึ้นดอกเบี้ยจากร้อยละ 0.75 ต่อปี เป็นร้อยละ 1 ต่อปี (ปรับขึ้นร้อยละ 0.25 ต่อปี) โดยเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงอัตรางินเฟ้อทั่วไปที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจากการส่งผ่านต้นทุนให้แก่ผู้บริโภคนอกจากนี้ ต้องคำนึงถึงกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะ SMEs ในสาขาที่ฟื้นตัวช้าและครัวเรือนที่มีรายได้น้อยด้วย 6. เรื่อง รายงานผลการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ประจำปี 2563 และประจำปี 2564 - พัฒนากลไกและกระบวนการขับเคลื่อนการดำเนินงาน เช่น การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการ สทพ. จำนวน 3 คณะ คือ (1) คณะอนุกรรมการด้านนโยบายมาตรการ และแผนปฏิบัติการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (2) คณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย และ (3) คณะอนุกรรมการรณรงค์การสื่อสารความเท่าเทียมระหว่างเพศและการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานของคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศให้มีความสะดวกและประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น2. คณะกรรมการ วลพ.รับพิจารณาคำร้องที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ จำนวน 15 คำร้อง ใน 6 ประเด็น ดังนี้ (1) สถานบันเทิงกีดกันไม่ให้ผู้มีเพศสภาพแตกต่างจากเพศโดยกำเนิดเข้าใช้บริการ (2) หน่วยงานรัฐปฏิเสธไม่รับบริจาคโลหิตจากผู้แสดงออกแตกต่างจากเพศโดยกำเนิด (3) สถาบันการศึกษาให้ใช้ใบรับรองแพทย์ประกอบการยื่นร้องขอแต่งกายชุดครุยวิทยฐานะตามเพศสภาพ (4) หน่วยงานรัฐปฏิเสธการยื่นความประสงค์ขอออกหนังสือเดินทางและวีซ่า (5) แรงงานถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยอ้างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ (6) สถานศึกษาจำกัดสิทธิการแต่งกายตามเพศสภาพในการเข้าเรียน สอบวัดผล และฝึกปฏิบัติงาน และการรับพระราชทานปริญญาบัตร โดยคณะกรรมการ วลพ. มีคำวินิจฉัยแล้ว จำนวน 1 คำร้อง2 อยู่ระหว่างการพิจารณา จำนวน 10 คำร้อง ถอนคำร้องระหว่างการพิจารณา จำนวน 3 คำร้องและไม่รับพิจารณา จำนวน 1 คำร้อง33. คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศกองทุนฯ ได้รับงบประมาณประจำปี 2563 จำนวน 7.30 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายและก่อหนี้ผูกพัน จำนวน 4.31 ล้านบาท และคงเหลือ จำนวน 2.99 ล้านบาท โดยเป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับการขจัดการเลือกปฏิบัติและความไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ เช่น การจ่ายเงินชดเชย เยียวยาหรือบรรเทาทุกข์แก่ผู้เสียหายจากการถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ การปรับทัศนคติและค่านิยมเกี่ยวกับความเท่าเทียมระหว่างเพศของสังคม โดยการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศให้แก่เครือข่ายต่าง ๆ ภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมสร้างความตระหนักรู้เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศเพื่อเป็นคู่มือแกนกลางเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนหลักคิดและสร้างการยอมรับเกี่ยวกับความเท่าเทียมระหว่างเพศ รวมถึงการสนับสนุนโครงการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศให้แก่หน่วยงาน/องค์กรต่าง ๆ คณะกรรมการผลการปฏิบัติงานประจำปี 25641. คณะกรรมการ สทพ.- จากการปรับปรุงมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน ได้มีการติดตามประเมินผลหน่วยงานที่ได้มีการดำเนินการตามมาตรการฯ พบปัญหาการล่วงละเมิดฯ จำนวน 13 หน่วยงาน4 (ตามข้อ 2.1) - ประกาศใช้แผนปฏิบัติการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563-2565) 5 และแจ้งเวียนให้หน่วยงานภาครัฐทราบ - พัฒนากลไกและกระบวนการในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานของคณะกรรมการ วลพ. ให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น - พิจารณางบประมาณและเห็นชอบแผนปฏิบัติการและการใช้จ่ายงบประมาณกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ประจำปีงบประมาณ 2565 ในวงเงิน 7.30 ล้านบาท2. คณะกรรมการ วลพ.รับพิจารณาคำร้องที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ จำนวน 2 คำร้อง ใน 2 ประเด็น ดังนี้ (1) หน่วยงานรัฐจำกัดสิทธิการใช้รูปถ่ายในใบประกอบวิชาชีพครูและบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่รัฐ และ (2) สำนักอบรมกฎหมายจำกัดสิทธิการแต่งกายตามเพศสภาพในการอบรมวิชาว่าความ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาทั้ง 2 คำร้อง3. คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศกองทุนฯ ได้รับงบประมาณประจำปี 2564 จำนวน 7.80 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายและก่อหนี้ผูกพัน 5.17 ล้านบาท และคงเหลือ จำนวน 2.63 ล้านบาท โดยเป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับการขจัดการเลือกปฏิบัติและความไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ เช่น การพัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อคุ้มครองและป้องกันการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ การปรับทัศนคติและค่านิยมเกี่ยวกับความเท่าเทียมระหว่างเพศของสังคม รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้สังคมตระหนักเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ นอกจากนี้ ได้จัดประกวดสื่อสร้างสรรค์ โดยมีผู้สนใจส่งผลงานเข้าประกวด จำนวน 373 ผลงาน และมีผู้ได้รับรางวัลจากการประกวด จำนวน 12 ผลงาน ตลอดจน สนับสนุนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ โดยสนับสนุนงบประมาณให้แก่องค์กร/เครือข่าย จำนวน 15 หน่วยงาน ในการดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ 2. ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศฯ 2.1 การดำเนินงานตามมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน พบว่า มีกรณีที่เข้าข่ายการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน จำนวน 13 หน่วยงาน และหน่วยงานที่ถูกร้องว่ามีการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงานได้มีการดำเนินการจัดตั้งกลไกร้องทุกข์ในหน่วยงานและแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนวินัยผู้กระทำและกำหนดบทลงโทษให้สอดคล้องกับกฎ ก.พ. ว่าด้วยการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ พ.ศ. 2553 แล้ว จำนวน 4 หน่วยงาน รวมถึงกำหนดนโยบายและแนวทางในการจัดการกรณีการล่วงละเมิดและคุกคามทางเพศในการทำงานแล้ว จำนวน 3 หน่วยงาน และอยู่ระหว่างการติดตามผลการดำเนินงาน จำนวน 6 หน่วยงาน 2.2 การดำเนินงานตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. ตั้งแต่ ปี 2558-2564 (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564) คณะกรรมการ วลพ. ได้รับคำร้องจำนาน 61 คำร้อง มีคำวินิจฉัยแล้ว จำนวน 41 คำร้อง โดยมีผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยและคำสั่งของคณะกรรมการ วลพ. ได้แก่ (1) ผู้ถูกร้องที่เป็นสถาบันการศึกษาได้มีการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. โดยออกระเบียบอนุญาตให้นักศึกษา ผู้แสดงออกแตกต่างจากเพศโดยกำเนิดสามารถแต่งกายและไว้ทรงผมตามเพศสภาพในการเข้าเรียน สอบวัดผล และฝึกปฏิบัติงาน รวมทั้งใช้รูปถ่ายชุดครุยวิทยฐานะตามเพศสภาพในเอกสารรับรองการศึกษา และแต่งกายชุดครุยวิทยฐานะตามเพศสภาพเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรได้ และ (2) ผู้ถูกร้องที่เป็นสถานประกอบการ องค์กรเอกชน หรือบุคคลได้มีการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. โดยสถานประกอบการได้กำหนดแนวทางปฏิบัติให้ผู้แสดงออกแตกต่างจากเพศโดยกำเนิดเข้าใช้บริการ และผู้ถูกร้องได้มีการกล่าวคำขอโทษต่อผู้ร้องตามที่ผู้ร้องต้องการแล้ว รวมถึงได้จัดทำบันทึกสรุปบทเรียนที่เป็นเหตุแห่งการร้อง 3. ข้อท้าทายและการดำเนินงานในระยะต่อไป เพื่อให้การปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติฯ มีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองต่อเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฯ ดังนั้น (1) ควรมีการกำหนดและขับเคลื่อนนโยบาย มาตรการ เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศโดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ (2) ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับที่ทำให้เกิดการจำกัดสิทธิและเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ (3) สร้างเครือข่ายความร่วมมือในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนต่าง ๆ ในการสร้างความรู้ความเข้าใจความหลากหลายทางเพศ การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนทุกเพศอย่างต่อเนื่อง และ (4) ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติฯ เพื่อนำข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิภาพต่อไป ___________________ 1คณะรัฐมนตรีมีมติ (16 มิถุนายน 2558) เห็นชอบร่างมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน จำนวน 7 ข้อ และให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติ ตามที่ พม. เสนอ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (21 เมษายน 2563) เห็นชอบร่างมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงานที่ปรับใหม่ จำนวน 12 ข้อ ตามที่ พม.เสนอ 2ผลการวินิจฉัยในประเด็นสถาบันการศึกษาให้ใช้ใบรับรองแพทย์ประกอบการยื่นร้องขอแต่งกายชุดครุยวิทยฐานะตามเพศสภาพ คือ การกระทำของ ผู้ถูกร้องเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ 3คณะกรรมการ วลพ. ไม่รับพิจารณาคำร้อง จำนวน 1 คำร้อง ในประเด็นหน่วยงานรัฐปฏิเสธการยื่นความประสงค์ขอออกหนังสือเดินทางและวีซ่า เนื่องจากเหตุแห่งการร้องไม่เข้าลักษณะการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ 4จากหน่วยงานที่มีการรายงานผลการดำเนินงานตามป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน จำนวน 2,049 หน่วยงาน 5ประกาศคณะกรรมการ สทพ. เรื่อง ประกาศใช้แผนฏิบัติการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563-2565) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 7. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันการทุจริตในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (1.1) ควรเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานจัดเก็บภาษี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า ส่งออก และหน่วยงานด้านการจดทะเบียนพาณิชย์เป็นนิติบุคคล โดยมีการบูรณาการเทคโนโลยีระบบฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านระบบดิจิทัล เพื่อสนับสนุนภารกิจเกี่ยวกับการตรวจสอบ สอบยันข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอบยันใบกำกับภาษีซื้อ สอบยันความถูกต้องของเอกสารประกอบต่าง ๆ และตรวจสอบย้อนกลับของการทำธุรกรรมด้วยกระทรวงการคลัง (กค.) และกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) (1.2) ควรจัดให้มีระบบการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตที่มีประสิทธิผล มีประสิทธิภาพ และจัดให้มีสินบนนำจับในกรณีมีผู้แจ้งเบาะแสการทุจริตเกี่ยวกับภาษี รวมทั้งส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการตลอดจนสิทธิที่ได้รับในการแจ้งเบาะแสการทุจริตกค.(2) ควรกำหนดมาตรการให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และรายงานภาษีซื้อ ภาษีขายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถสอบยันและตรวจสอบจากระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อให้มีกลไกการรายงานผลการปฏิบัติให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศได้ทุกขั้นตอน รวมถึงการตรวจสอบนิติบุคคลที่มาขอคืนภาษีว่ามีสถานประกอบการหรือไม่กค.(3) ควรเพิ่มกลไกการตรวจสอบ ถ่วงดุล สอบยันในหน่วยจัดเก็บภาษี โดยให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีอธิบดีกรมสรรพากรเป็นประธานและมีบุคคลภายนอกหรือผู้แทน เช่น สภาวิชาชีพบัญชี ร่วมเป็นคณะกรรมการ เพื่อให้เกิดความเป็นอิสระและมีการถ่วงดุลในกระบวนการตรวจสอบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกค.4) ในกรณีข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในฐานข้อมูลของกรมศุลกากรระบุว่ามีการส่งออกซึ่งไม่เพียงพอต่อการพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้กรมสรรพากรส่งเรื่องให้กรมศุลกากรทำการตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีการส่งออกจริงหรือไม่และยืนยันผลการตรวจสอบก่อน จึงจะนำมาใช้อ้างอิงได้ รวมถึงให้ตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านภาษีหรือการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของต่างประเทศว่าผู้นำเข้ามีการประกอบการจริงหรือไม่ในกรณีที่พบว่าผู้ส่งสินค้าส่งออกมีโอกาสเสี่ยงต่อการทุจริตในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกค.(5) ควรเพิ่มกลไกการตรวจสอบเพิ่มเติมจากมาตรฐานที่มีอยู่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบผู้ส่งออกที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการทุจริตในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกค.(6) ควรมีการตรวจสอบเกี่ยวกับผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง โดยกำหนดหลักเกณฑ์หรือระเบียบการแสดงตนว่าใครเป็นผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงในขั้นตอนการจดทะเบียนธุรกิจเพื่อให้สามารถป้องกันและทราบถึงกรณีตัวแทนการจดทะเบียนบังหน้า รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์หรือระเบียบเกี่ยวกับการแสดงตนของลูกค้าว่าใครเป็นผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงในขั้นตอนการเปิดบัญชีพณ. และธนาคารแห่งประเทศไทย 8. เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของการปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน กรณีนมโรงเรียนชนิดพาสเจอร์ไรส์จากเดิมราคา 6.58 บาทต่อถุง เป็น 6.89 บาทต่อถุง และนมโรงเรียนชนิดยู เอช ที จากเดิมราคม 7.82 บาทต่อกล่อง เป็น 8.13 บาทต่อกล่อง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบผลการจัดหานมโรงเรียนตามจ่ายจริงโดยเปรียบเทียบงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามแผนและหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรแล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 รวมถึงพิจารณานำเงินรายได้หรือเงินสะสมมาสมทบในส่วนที่เพิ่มขึ้นในโอกาสแรกก่อน โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และสำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไป เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นชองสำนักงบประมาณ สาระสำคัญของเรื่อง กษ. รายงานว่า 1. องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้แจ้งให้กรมปศุสัตว์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน (คณะกรรมการฯ) เสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาปรับราคากลางนมโรงเรียน (ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557) ให้สอดคล้องกับการปรับราคาน้ำนมโค (ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 23 สิงหาคม 2565) ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2565 กรมปศุสัตว์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เสนอให้ปรับเพิ่มราคากลางนมโรงเรียนถุงหรือกล่องละ 0.41 บาท ประกอบด้วย ต้นทุนค่าน้ำนมโคขนาด 200 มิลิลิตร ถุงหรือกล่องละ 0.31 บาท และต้นทุนค่าบริหารจัดการ (ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าพลังงาน ค่าขนส่ง และค่าจัดการ) เฉลี่ยถุงหรือกล่องละ 0.1 บาท อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ เห็นว่า เพื่อให้เกิดความชัดเจนในวิธีการคำนวณราคากลางนมโรงเรียนจึงมอบหมายให้กรมปศุสัตว์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ สอบถามความเห็นของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เกี่ยวกับโครงสร้างการคำนวณราคากลางนมโรงเรียนดังกล่าวว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ต่อมากรมการค้าภายในแจ้งว่า ในการปรับราคากลางนมโรงเรียนให้เทียบเคียงกับแนวทางการอนุญาตปรับราคานมพาณิชย์ ซึ่งอนุญาตให้ปรับราคาเฉพาะต้นทุนน้ำนมดิบที่สูงขึ้น 1.5 บาท/กิโลกรัม ตามขนาดบรรจุและสัดส่วนการใช้น้ำนมดิบ ต่อมาที่ประชุมคณะกรรมการฯ จึงมีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคากลางนมโรงเรียนถุงหรือกล่องละ 0.31 บาท และให้เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป 2. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีหน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดซื้อนมโรงเรียน จำนวน 4 หน่วยงาน ได้แก่ (1) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) (2) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) (3) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และ (4) เมืองพัทยา ซึ่งการปรับเพิ่มราคากลางนมโรงเรียนถุงหรือกล่องละ 0.31 บาท จะส่งผลให้ กทม. และเมืองพัทยามีวงเงินงบประมาณ 2566 สำหรับจัดซื้อนมโรงเรียนไม่เพียงพอ เนื่องจากมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ สถ. และ สช. ยังมีวงเงินปีงบประมาณ 2566 เพียงพอ เนื่องจากมีจำนวนนักเรียนลดลง1 ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบแนวทางการจัดซื้อนมโรงเรียนสำหรับภาคเรียนที่ 2/2565 และภาคเรียนที่ 1/2566 โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดซื้อนมโรงเรียนพิจารณาปรับแผนการดำเนินงานตามราคากลางที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ (ข้อเสนอในครั้งนี้) และสำหรับหน่วยงานที่มีงบประมาณไม่เพียงพอ ให้เสนอเรื่องขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ไปยัง สำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อให้นักเรียนได้รับนมโรงเรียนครบ 260 วัน2 _____________________________________ 1 ในการตั้งงบประมาณสำหรับการจัดซื้อนมโรงเรียนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จะใช้จำนวนนักเรียนในปีการศึกษา 2564 ในการคำนวณกรอบวงเงินงบประมาณ ในขณะที่การคำนวณกรอบวงเงินงบประมาณกรณีมีการปรับเพิ่มราคากลางนมโรงเรียนตามข้อเสนอในครั้งนี้ จะใช้จำนวนนักเรียนในปีการศึกษา 2565 ในการคำนวณ 2 260 วัน คือระยะเวลา 1 ปีการศึกษา หรือนักเรียนจะได้นมโรงเรียนคนละ 1 ถุงหรือกล่องต่อวัน ตลอดช่วงเปิดเทอม (200 วัน) และปิดเทอม (60 วัน) ไม่รวมเสาร์ - อาทิตย์ 9. เรื่อง รายงานผลการคัดเลือกเอกชน และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุน โครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว 10. เรื่อง การดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ โครงการเช่าระยะยาวที่ดินแปลงหมายเลข พบ.261 อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ประมาณ 21 - 0 - 11 ไร่คงเหลืออยู่ระหว่างดำเนินการขายจำนวน 4 หลัง โดยมีประชาชนสนใจซื้อแล้ว 4 หลัง และได้ยื่นขอสินเชื่อจาก ธอส. แล้ว (สิงหาคม 2564) แต่ได้รับแจ้งจาก ธอส. ว่าไม่สามารถเสนอขออนุมัติสินเชื่อให้กับลูกค้าได้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยตามโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐสิ้นสุดระยะเวลาไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2564 (ตามกรอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559)บริษัทฯ ขอรับสินเชื่อ “โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลังระยะที่ 2)” (คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565) ให้กับประชาชนผู้สนใจโครงการฯ แทนสินเชื่อโครงการฯ ซึ่ง ธอส. ไม่ขัดข้องที่จะให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยโครงการบ้านล้านหลังและได้มีหนังสือตอบรับการสนับสนุนสินเชื่อสำหรับที่พักอาศัยบนที่ดินราชพัสดุที่เหลืออยู่จำนวน 4 หลังแล้ว (ธอส. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี) 11. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID และกรอบการขับเคลื่อนการให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลประเทศไทย ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2567) เพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ดังนี้ 1. รับทราบรายงานความคืบหน้าการพัฒนาระบบรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือ Digital ID สำหรับข้อเสนอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) รายงานการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) ในส่วนของการพัฒนาระบบ Digital ID เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ทั้งนี้ สคก. มีความเห็นว่า โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) หรือ ดศ. แล้วแต่กรณี รายงานการดำเนินการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะแล้ว กรณีจึงไม่มีความจำเป็นต้องเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก 2. รับทราบกรอบการขับเคลื่อนการให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลประเทศไทย ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2567) เพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ 3. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการของกรอบการขับเคลื่อนฯ จัดทำโครงการเพื่อขอรับงบประมาณจากสำนักงบประมาณและดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบการขับเคลื่อนที่กำหนด สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะต้องอยู่ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตามกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมด้วย ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 4. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สาระสำคัญของเรื่อง ดศ. รายงานว่า 1. การดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในส่วนของการพัฒนาระบบ Digital ID 1.1 ความคืบหน้าด้านกฎหมาย ได้พัฒนากฎหมายเพื่อรองรับการนำโครงสร้างพื้นฐานด้านการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลไปปรับใช้กับการให้บริการของหน่วยงานของรัฐและเอกชน เช่น (1) พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 โดยเป็นการเพิ่มเติมหมวด 3/1 ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อรองรับผลทางกฎหมายของการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (2) พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 มาตรา 12 (4) บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐจัดให้มีระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกในการบริการประชาชน ซึ่งมีมาตรฐานและแนวทางที่สอดคล้องกันตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนด (3) ร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ....1 มาตรา 8 วรรค 2 บัญญัติให้การยืนยันตัวตนจะกำหนดให้ดำเนินการด้วยวิธีอื่นนอกจากการแสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทางก็ได้ ถ้าวิธีอื่นดังกล่าวนั้นจะเป็นการสะดวกแก่ประชาชนยิ่งขึ้น และ (4) ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ต้องได้รับใบอนุญาต พ.ศ. ....2 ซึ่งเป็นการรองรับการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์การดูแลผู้ให้บริการการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล 1.2 ความคืบหน้าด้านการจัดทำมาตรฐานทางด้านเทคนิคหรือแนวทางการพัฒนาและใช้งานระบบ Digital ID ของประเทศ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ได้พัฒนามาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อให้การพัฒนาและใช้งานระบบ Digital ID ของประเทศไทยมีมาตรฐานสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ลดความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล สรุปได้ ดังนี้ประเด็นรายละเอียดความคืบหน้า(1) มาตรฐานกลางสำหรับภาคส่วนต่าง ๆ นำไปใช้งาน(1.1) ข้อเสนอแนะมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จำเป็นต่อธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ว่าด้วยการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (1.1.1) กรอบการทำงาน เลขที่ ขมธอ. 18-2564 เพื่ออธิบายคำศัพท์กระบวนการการประเมินความเสี่ยง และการกำหนดระดับความน่าเชื่อถือที่เกี่ยวข้องกับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบ Digital ID มีความเข้าใจตรงกัน (1.1.2) ข้อกำหนดของการพิสูจน์ตัวตน เลขที่ ขมธอ. 19-2564 เพื่อเป็นข้อกำหนดสำหรับผู้พิสูจน์และยืนยันตัวตน (Identity Provider : IdP) ในการพิสูจน์ตัวตนของบุคคลที่ประสงค์จะใช้บริการหรือทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ IdP มีแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกันตามระดับความน่าเชื่อถือของการพิสูจน์ตัวตน (1.1.3) ข้อกำหนดของการยืนยันตัวตน เลขที่ ขมธอ. 20-2564 เพื่อเป็นข้อกำหนดสำหรับ IdP ในการบริหารจัดการสิ่งที่ใช้ยืนยันตัวตนและการยืนยันตัวตนของผู้ใช้บริการ ให้มีแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกันตามระดับความน่าเชื่อถือของการยืนยันตัวตน (1.2) ข้อเสนอแนะมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จำเป็นต่อธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ว่าด้วยเทคโนโลยีชีวมิติ (1.2.1) เล่ม 1 : การใช้งานเทคโนโลยีชีวมิติสำหรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตน เลขที่ ขมธอ. 29 เล่ม 1-2565 เพื่อเป็นข้อกำหนดและข้อเสนอแนะสำหรับ การบริหารจัดการอัตลักษณ์บุคคลจากการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยการใช้เทคโนโลยี ชีวมิติ (1.2.2) เล่ม 2 : การใช้งานเทคโนโลยีการรู้จำใบหน้าสำหรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตน เลขที่ ขมธอ. 29 เล่ม 2-2565 เพื่อเป็นข้อกำหนดและข้อเสนอแนะสำหรับการบริหารจัดการอัตลักษณ์บุคคลที่มาจากการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยเทคโนโลยีการรู้จำใบหน้า (1.3) ข้อเสนอแนะมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จำเป็นต่อธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ว่าด้วยการทดสอบสมรรถนะการทำงานเทคโนโลยีชีวมิติ เลขที่ ขมธอ. 30-2565 เพื่อเป็นข้อกำหนดและข้อเสนอแนะสำหรับการทดสอบสมรรถนะการทำงานของเทคโนโลยีชีวมิติในการลงทะเบียน พิสูจน์ยืนยันชีวมิติและระบุชีวมิติ รวมถึงการทดสอบสมรรถนะการป้องกันการโจมตีหลอกระบบ(2) มาตรฐานสำหรับหน่วยงานของรัฐ(2.1) ประกาศคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เรื่อง มาตรฐานและหลักเกณฑ์การจัดทำกระบวนการและการดำเนินงานทางดิจิทัลว่าด้วยเรื่องการใช้ดิจิทัลไอดีสำหรับบริการภาครัฐ สำหรับบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย (2.2) มาตรฐานรัฐบาลดิจิทัล ว่าด้วยแนวทางการจัดทำกระบวนการและการดำเนินงานทางดิจิทัล เรื่องการใช้ดิจิทัลไอดีสำหรับบริการภาครัฐ (2.2.1) ภาพรวม (เวอร์ชัน 1.0) (2.2.2) การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย (เวอร์ชัน 1.0) 2. กรอบการขับเคลื่อนการให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลประเทศไทย ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2567) พร้อมแผนปฏิบัติการ สพธอ. ได้จัดทำกรอบการขับเคลื่อนฯ โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมการใช้งานระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลของประเทศ3 เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 และวันที่ 31 มีนาคม 2565 และได้ผ่านการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแผนปฏิบัติการเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เพื่อเป็นกรอบแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติและขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันสามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลบนมาตรฐานเดียวกันได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งกำหนดแผนปฏิบัติการเพื่อเร่งผลักดันการให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ประกอบด้วย กลยุทธ์หลัก 8 หลักการ ดังนี้กลยุทธ์หลักแผนปฏิบัติการ(1) Digital ID ครอบคลุมบุคคล นิติบุคคล และบุคคลต่างชาติ พร้อมรองรับการยืนยันตัวตนการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ การมอบอำนาจ และการให้ความยินยอมทางอิเล็กทรอนิกส์(1.1) กำหนดนิยาม ความสัมพันธ์ สถาปัตยกรรม ความเชื่อมโยงของกฎหมาย ระเบียบ มาตรฐานที่ออกโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในบริบทของการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Digital ID การลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ การมอบอำนาจและการให้ความยินยอมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ. และหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง) (1.2) จัดให้มีการปรับปรุงระบบตรวจสอบข้อมูลสถานะของหนังสือเดินทางไทย (กรมการกงสุล สพธอ. และ สพร.) (1.3) จัดให้มีบริการยืนยันตัวตนด้วย Digital ID สำหรับบุคคลต่างชาติที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย [กรมการปกครอง สพธอ. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กระทรวงแรงงาน (รง.) และกรมสรรพากร)] (1.4) จัดให้มีระบบตรวจสอบข้อมูลสถานะของคนต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง (สตม. สพธอ. และ สพร.) (1.5) จัดให้มีสนามทดสอบนวัตกรรมใหม่ ๆ (Sandbox) ที่เกี่ยวกับการให้บริการ Digital ID ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธนาคาร และภาคโทรคมนาคม เช่น จัดให้มีการทำการยืนยันตัวตนระหว่างหน่วยงาน (Cross Sector Authentication) ในการทดสอบการเปิดบัญชีธนาคารโดยให้ Mobile ID [สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สพธอ. สพร. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย]สพธกี่ยวข้อง กับหน่วยงานของรัฐ์รพิสูบสนุนหน่วยงานของรัสด้ผ่านการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแผนปฏ(2) ประชาชนสามารถเลือกใช้ Digital ID ในระดับความเชื่อมั่นที่เหมาะสมในการเข้าถึงบริการออนไลน์ของภาครัฐและเอกชน(2.1) จัดให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ประโยชน์ของบริการ Digital ID กลุ่มประชาชนและภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมการใช้งาน Digital ID และส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมด้วยกิจกรรม Hackathon (สพธอ. สพร. ธปท. สำนักงาน ก.ล.ต. คปภ. และสำนักงาน กสทช.) (2.2) IdP ที่ให้บริการกับหน่วยงานของรัฐ เป็นบริการที่ได้มาตรฐานตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกำหนด โดยรวมถึง IdP ภาคเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตฯ ตามกฎหมาย (สพร. สพธอ. และสำนักงาน ก.พ.ร.) (2.3) ส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐนำ Digital ID ที่รวมถึง Digital ID ของภาคเอกชนที่ได้รับอนุญาต ไปใช้ในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล สำหรับการเข้าใช้งานบริการประชาชนผ่านทางออนไลน์ในระยะแรก (กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. สพธอ. และ สพร.)(3) มท. เป็นหน่วยงานหลักในการให้ข้อมูลและบริการสนับสนุนการพิสูจน์ตัวตนให้กับ IdP ทั้งภาครัฐและเอกชนในการออก Digital ID สำหรับบุคคลธรรมดาทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย โดยมีกระบวนการกำกับดูแลให้มีมาตรฐานที่น่าเชื่อถือ(3.1) กรมการปกครอง มท. จัดให้มีบริการยืนยันตัวตนในรูปแบบดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชัน D.DOPA ให้ครอบคลุมคนไทยทั้งประเทศ และให้บริการข้อมูลแก่ IdP ทั้งภาครัฐและเอกชน (กรมการปกครอง สพธอ. และ สพร.) (3.2) มท. จัดให้มีบริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัลให้กับ IdP (มท. สพธอ. และ สพร.)(4) การใช้ Digital ID ในการทำธุรกรรมของนิติบุคคลเป็นการใช้ Digital ID บุคคลธรรมดาของผู้มีอำนาจของนิติบุคคลนั้นร่วมกับการมอบอำนาจหากจำเป็นจัดให้มีการทดลองนวัตกรรม Digital ID สำหรับนิติบุคคล เช่น การทำธุรกรรมเปิดบัญชีธนาคารผ่านช่องทางออนไลน์และการให้บริการด้านโทรคมนาคมผ่านช่องทางออนไลน์ ในลักษณะ Co-Sandbox (สพธอ. ธปท. สำนักงาน กสทช. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยและผู้ให้บริการ Digital ID เอกชน)(5) กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นหน่วยงานหลักในการให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือของนิติบุคคลเพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมของนิติบุคคลผ่าน Digital ID(5.1) ดำเนินการให้ฐานข้อมูลพื้นฐานสำคัญเป็นแบบดิจิทัล โดยปรับปรุงระบบนำเข้าข้อมูล (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร สพธอ. และ สพร.) (5.2) จัดให้มีบริการเชื่อมโยงข้อมูลสำหรับการตรวจสอบข้อมูลผู้มีอำนาจในการทำธุรกรรม/นิติกรรมของนิติบุคคล ในรูปแบบดิจิทัลที่ตรวจสอบได้ตามที่ได้จดทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร สพธอ. และ สพร.) (5.3) จัดให้มีบริการหนังสือรับรองนิติบุคคลอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ PDF/A3 (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร สพธอ. และ สพร.)(6) ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่น่าเชื่อถือและประชาชนใช้งานอย่างกว้างขวาง โดยไม่ต้องลงทะเบียนพิสูจน์ตัวตนซ้ำซ้อนด้วยมาตรฐานสากลแบบเปิด (Open Standards)(6.1) หน่วยงานของรัฐดำเนินการพัฒนาระบบหรือบริการของหน่วยงานเพื่อรองรับการใช้งานระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลด้วย IdP (หน่วยงานของรัฐ สพร. สำนักงาน ก.พ.ร. สพธอ. และกรมการปกครอง) (6.2) สพร. พัฒนาและให้บริการแพลตฟอร์มกลางเพื่อเชื่อมโยงไปยัง IdP รายต่าง ๆ (สพร. กรมการปกครอง และ สพธอ.)(7) สพธอ. กำหนดนโยบาย Digital ID ในภาพรวม ซึ่งรวมถึงการพัฒนามาตรฐานกลางที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บริการที่เกี่ยวกับ Digital ID ของรัฐและเอกชนมีมาตรฐานสอดคล้องกัน และเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ โดยหน่วยงานกำกับในแต่ละภาคส่วน (Sector) นำไปประยุกต์ใช้ รวมถึงกำหนดนโยบายเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับบริการหรือธุรกิจที่กำกับหรือดูแล(7.1) จัดให้มีนโยบายและมาตรฐานบริการดิจิทัลไอดีสำหรับการใช้งานของแต่ละ Sector ตามลักษณะเฉพาะของตน โดยคำนึงถึงภาระของผู้ให้บริการ (สำนักงาน ก.พ.ร. ธปท. สำนักงาน ก.ล.ต. คปภ. สำนักงาน กสทช. สพร. และ สพธอ.) (7.2) จัดให้มีการนำร่องการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลของระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลกับต่างประเทศผ่านระบบ National Digital Trade Platform (NDTP) และระบบ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business (สำนักงาน ก.พ.ร. กรมการปกครอง ธปท. สำนักงาน กสทช. สพธอ. และ สพร.)(8) สพร. พัฒนามาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐเพื่อให้บริการที่เกี่ยวกับ Digital ID ของรัฐและเอกชนได้มาตรฐานสอดคล้องกัน และเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับบริการ Digital ID ระหว่างรัฐและเอกชนได้(8.1) จัดทำแนวทางการเชื่อมโยงระบบและข้อมูลของระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล สำหรับหน่วยงานรัฐและเอกชน [สพร. กรมการปกครอง สำนักงาน กสทช. สพธอ. ธปท. และหน่วยงานภาคเอกชน เช่น สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย และผู้ให้บริการดิจิทัลไอดี เช่น ระบบ National Digital ID (NDID) และระบบ Mobile National ID (MNID)] (8.2) จัดทดสอบการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับบริการ Digital ID ระหว่างรัฐและเอกชน สำหรับบริการภาครัฐ (สพร. และหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง) 3. การพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าทางดิจิทัล ประกอบด้วย 2 ระบบ ดังนี้ 3.1 ระบบ FVS ได้แก่ (1) พัฒนาระบบ FVS เพื่อให้บริการตรวจสอบภาพใบหน้า รองรับธุรกรรมสูงสุด 60 รายการต่อวินาที หรือประมาณ 5 ล้านรายการต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอสำหรับการลงทะเบียนใช้งานทั่วไป (2) การตรวจสอบภาพใบหน้า ใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก พร้อมใบหน้า เพื่อตรวจสอบกับระบบ FVS โดยต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของภาพใบหน้า (3) กรมการปกครองจะส่งผลการตรวจสอบภาพใบหน้า ในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ความถูกต้องเมื่อเทียบกับฐานข้อมูลภาพใบหน้าที่น่าเชื่อถือ (4) ผู้ใช้งานระบบ FVS เป็น IdP โดยจะมีการกำหนดเงื่อนไขของ IdP ที่สามารถใช้บริการระบบได้ และ (5) IdP ตรวจสอบคุณภาพของภาพใบหน้าตามมาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศก่อนส่งมาตรวจสอบกับระบบ FVS 3.2 ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (DOPA-Digital ID) และแอปพลิเคชัน D.DOPA ได้แก่ (1) ขยายระบบรองรับผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน D.DOPA เป็น 60 ล้านคน (2) รองรับการพิสูจน์ตัวตนโดยไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานเขตหรืออำเภอเพื่อรองรับการลงทะเบียนในการพิสูจน์ตัวตนด้วยตนเอง (Self-Enrolment) โดยใช้ภาพใบหน้า ตามระดับความน่าเชื่อถือของการพิสูจน์ตัวตน (Identity Assurance Level : IAL) ที่ระดับ IAL 2.3 (3) การตรวจสอบภาพใบหน้า พัฒนาจากระบบที่มีอยู่โดยเพิ่มเติมฟังก์ชันการตรวจจับการปลอมแปลงชีวมิติเพื่อป้องกันการถ่ายภาพจากรูปถ่ายหรือวิดีโอ เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการ Self-Enrolment (4) หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนสามารถใช้ผลการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของแอปพลิเคชัน D.DOPA ได้ เนื่องจากประชาชนที่เป็นผู้ถือแอปพลิเคชัน D.DOPA เป็นผู้อนุญาตให้มีการตรวจสอบ (5) D.DOPA-Digital ID รองรับการยืนยันตัวตนสูงสุดที่ 100 ธุรกรรมต่อวินาที และ (6) D.DOPA-Digital ID รองรับให้ประชาชนสามารถส่งข้อมูลพื้นฐานตามข้อมูลหน้าบัตรประจำตัวประชาชน ไปให้หน่วยงานผู้อาศัยการยืนยันตัวตน ผ่านโปรโตคอล OpenID Connect ได้ 4. ความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการให้บริการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยส่งเสริมให้นำ Digital ID มาใช้ในการยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้บริการ ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ 12 บริการ Agenda4 ได้มีการทำแผนการขับเคลื่อนพัฒนา (Roadmap) ในแต่ละบริการระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2567) และส่งให้คณะทำงานขับเคลื่อนการพัฒนาทางดิจิทัลตามงานบริการ Agenda สำคัญ พิจารณาเรียบร้อยแล้ว และจะมีการทำงานร่วมกับหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน Roadmap โดยมีข้อเสนอสำหรับแนวทางการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน 2 ระยะ ได้แก่ ระยะแรก ส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐนำดิจิทัลไอดีของระบบ NDID และเป๋าตังไปใช้ในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลสำหรับการเข้าใช้งานบริการประชาชนผ่านทางออนไลน์ และระยะต่อไป ผลักดันระบบ DOPA-Digital ID และแอปพลิเคชัน D.DOPA ของกรมการปกครองให้รองรับผู้ใช้งานได้มากกว่า 1 แสนราย และให้ มท. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการจัดทำแผนงานหรือโครงการตามแนวทางการพัฒนาระบบ FVS รวมถึงการกำหนดมาตรฐานการทำงานเพื่อให้หน่วยงานของรัฐและเอกชนสามารถใช้บริการระบบ FVS ได้ นอกจากนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. และ สพร. ได้จัดทำแอปพลิเคชันทางรัฐที่ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้แบบจุดเดียวทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งส่วนหนึ่งใช้งานดิจิทัลไอดีด้วยแอปพลิเคชัน D.DOPA ที่ปัจจุบันมีบริการหลายหมวดหมู่ เช่น ตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร ตรวจสอบข้อมูลหนังสือรับรองผล O-NET ตรวจสอบสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา 5. ปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลของระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ปัจจุบันรัฐและเอกชนได้พัฒนาและให้บริการระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่สำคัญ 3 ระบบหลัก ได้แก่ (1) ระบบ NDID (ดูแลโดยบริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด และมีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยเป็น IdP) รองรับการนำไปใช้กับธุรกรรมการเงินต่าง ๆ เช่น การเปิดบัญชีเงินฝาก/e-Money และการยื่นภาษี และตรวจสอบค่าลดหย่อน (2) ระบบ Mobile ID (ดูแลโดยสำนักงาน กสทช. และมีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ในประเทศไทย เป็น IdP รองรับการนำไปใช้กับธุรกรรมการเปิดบัญชีธนาคารและเตรียมขยายไปใช้กับบริการอื่น ๆ เพิ่มเติม และ (3) ระบบ DOPA-Digital ID (ดูแลโดยกรมการปกครอง มท. และเป็น IdP) รองรับการนำ Digital ID ของกรมการปกครองไปใช้กับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมการปกครอง เช่น ระบบตรวจสอบประวัติตนเองและการขอย้ายทะเบียนบ้านออนไลน์ อย่างไรก็ตาม แต่ละระบบได้ถูกออกแบบทางเทคนิคมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้งานบริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลของกลุ่มเป้าหมายที่ต่างกัน จึงมีข้อจำกัดในการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูล และจำเป็นต้องมีการบูรณาการภาพรวมการให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลประเทศไทย เพื่อลดภาระการออกแบบและพัฒนาระบบให้บริการของผู้อาศัยการยืนยันตัวตนในอนาคต และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของภาครัฐและภาคเอกชนโดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์และยืนยันตัวตนซ้ำ ๆ รวมทั้งประชาชนมีอิสระในการเลือกใช้ Digital ID ตามความต้องการ ทั้งนี้ สพร. ได้จัดตั้งคณะทำงานจัดทำแนวทางการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลของระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งครอบคลุมผู้ให้บริการระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่สำคัญ 3 ระบบหลักที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยคณะทำงานฯ อยู่ระหว่างร่วมกันออกแบบด้านเทคนิคเพื่อทดสอบให้สามารถทำงานร่วมกันได้ และได้จัดทำหลักการพื้นฐานและแนวทางการส่งผ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริการด้าน Digital ID พร้อมทั้งแนวทางการเชื่อมโยงระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลของหน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วย (1) ขั้นตอนสำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้งาน เพื่อออก Digital ID ให้กับผู้ใช้งาน และ (2) ขั้นตอนสำหรับการรับบริการยืนยันตัวตนด้วย Digital ID ของผู้ใช้งานที่ IdP ออกให้ จำนวน 3 ขั้นตอนย่อย ซึ่งคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้มีมติเห็นชอบต่อหลักการพื้นฐานและขั้นตอนการดำเนินงานด้านการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อวางกรอบการให้บริการที่เหมาะสมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการดำเนินงานด้าน Digital ID ควรเป็นระบบเปิดที่มี IdP ได้หลายรายและไม่จำกัดเฉพาะเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งเป็นการเฉพาะ ________________________________________ 1 พระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 ได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 2 คณะรัฐมนตรีมีมติ (22 กันยายน 2563) อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจฯ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณา ซึ่ง สคก. ได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 3 คณะกรรมการส่งเสริมฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธาน ผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐและเอกชนเป็นกรรมการ และ สพธอ. เป็นเลขานุการฯ เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมกันผลักดันให้เกิดการอำนวยความสะดวกในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนหน่วยงานของรัฐ เอกชน และประชาชนให้ใช้งานระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล 4 งานบริการ Agenda หมายถึง งานบริการที่มีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องหลายส่วนราชการ แล้วมีผลกระทบให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น หรือสนับสนุนช่วยเหลือให้ภาคเศรษฐกิจและสังคมที่ประสบปัญหาในภาวะสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและยั่งยืน เช่น ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (DOPA-Digital ID) ระบบการรับชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และระบบช่วยเหลือผู้ว่างงานให้กลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการปกครอง กรมที่ดิน และกรมการจัดหางาน 12. เรื่อง ผลการสำรวจความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2566 (ของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาล) 13. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนตุลาคม 2565 _____________________ 14. เรื่อง รายงานผลการติดตามและการประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) 15. เรื่อง รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญฯ ครั้งที่ 16 (เดือนเมษายน – มิถุนายน 2565) 3. ความคืบหน้าของประเด็นที่รัฐสภาให้ความสนใจเป็นพิเศษ สศช. ได้สรุปรายงานตามประเด็นอภิปรายที่ได้จากคณะกรรมาธิการติดตามเสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศและการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและนำเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภาสมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ทุกวันจันทร์สัปดาห์ที่ 1 ของเดือน รวมทั้งสรุปรายงานสถานะของกฎหมายทั้ง 10 ฉบับ ตามเอกสารแนบท้าย ที่วุฒิสภาให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 4. การดำเนินการในระยะต่อไป สศช. จะได้ประสานหน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานร่วมดำเนินการเพื่อเร่งรัดการขับเคลื่อนการดำเนินการตามกิจกรรม Big Rock ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ทั้ง 13 ด้าน ให้แล้วเสร็จและบรรลุเป้าหมายภายในกรอบระยะเวลาของแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ในการดำเนินการปฏิรูปประเทศในระยะต่อไปภายหลังสิ้ดสุดระยะเวลาของแผนการปฏิรูปประเทศให้ดำเนินการตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 โดยหน่วยงานของรัฐ ทั้งหน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานดำเนินการให้ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศที่ยังต่อเนื่องผ่านกลไกของแผนระดับที่ 2 และแผนระดับที่ 3 และการดำเนินการต่าง ๆ ของหน่วยงาน เพื่อผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญฯ อย่างยั่งยืนต่อไปและในส่วนของการติดตาม และประเมินผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ให้ดำเนินการให้สอดคล้องกับห้วงระยะเวลาสิ้นสุดของแผนการปฏิรูปประเทศในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดย สศช. จะได้ดำเนินการจัดทำรายงานความคืบหน้าฯ ตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญฯ สำหรับรอบรายงานเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2565 เป็นรอบรายงานสุดท้าย 16. เรื่อง รายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 2.1 ด้านการใช้จ่ายเงิน พบว่า การใช้จ่ายเงินเป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดย กสศ. มีการประเมินความเสี่ยงเพื่อป้องกันการทุจริต มีมาตรการส่งเสริมความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตภายในหน่วยงาน และมีแผนปฏิบัติการป้องกันการทุจริตที่ชัดเจน รวมทั้งมีระบบการบริหารจัดการเพื่อยืนยันการจ่ายเงินไปยังระดับรายบุคคลที่มีการเฉพาะเจาะจงซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและสามารถตรวจสอบได้ ส่งผลให้ไม่มีการรั่วไหลของเงิน 2.2 ด้านการประเมินผลการดำเนินงาน ตามแนวคิดองค์กรสมรรถนะสูง พบ่วา กสศ. มีคะแนนผลการประเมินในระดับองค์กร เท่ากับ 2.32 คะแนน จากคะแนนเต็ม 4 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนระดับกลางค่อนข้างสูง โดยมีคะแนนในแต่ละมิติหลัก ดังนี้ มิติที่ 1 ทิศทางและกลยุทธ์ เป็นมิติที่ได้คะแนนสูงสุดที่ 2.93 คะแนน มิติที่ 2 โครงสร้างและกลไกการบริหารองค์กร ได้ 2.12 คะแนน มิติที่ 3 กระบวนการทำงาน เป็นมิติที่ได้คะแนนต่ำสุดที่ 2.00 คะแนน มิติที่ 4 เครือข่ายความร่วมมือและบุคคล ได้ 2.25 คะแนน และมิติที่ 5 การสื่อสารและการรับรู้ ได้ 2.22 คะแนน 2.3 ข้อค้นพบสำคัญจากการประเมินองค์กรสมรรถนะสูง พบว่า กสศ. มีจุดแข็ง คือ มีการกำหนดทิศทาง กลยุทธ์ และเป้าหมาย โดยมีแผนอย่างเป็นระบบที่สนับสนุนองค์กรให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีโครงสร้างและกลไกการบริหารที่แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในงานแต่ละด้านอย่างชัดเจน มีลักษณะการทำงานแบบองค์กรอิสระ มีความยืดหยุ่นในการตัดสินใจ มีระบบจัดเก็บข้อมูล iSEE และ Q-Info4 ให้การจัดสรรเงินทุนอุดหนุนมีความโปร่งใสสามารถติดตามและตรวจสอบได้ และระบุผู้ได้รับประโยชน์ตามกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนได้โดยไม่มีการรั่วไหลของเงินทุน รวมถึงมีการทำงานร่วมกับภาคีที่หลากหลายเป็นเครือข่ายความร่วมมือ ส่วนจุดที่ควรต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น คือ การปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในองค์กรให้เป็นมาตรฐาน การมีคู่มือการปฏิบัติงานที่ชัดเจน การพัฒนาฐานข้อมูลดิจิทัล การจัดทำระบบการบันทึกหรือจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลด้วยดิจิทัล การวางแผนอัตรากำลังให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงขององค์กร การเพิ่มช่องทางและการจัดทำระบบการบริหารจัดการความรู้อย่างเป็นระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารและสร้างการรับรู้ให้มากขึ้น 3. รายงานข้อจำกัดหรืออุปสรรคของการดำเนินกิจการของ กสศ. ได้แก่ ระดับการบริหารองค์กร พบว่า ตัวชี้วัดในการติดตามผลตามแผนกลยุทธ์บางตัวชี้วัดเป็นเชิงคุณภาพ ทำให้ยากต่อการวัดผล กระบวนการทำงานยังขาดการบูรณาการระหว่างสายงาน จำนวนบุคลากรน้อย และมีอัตราการลาออกค่อนข้างสูง ยังไม่มีการติดตามประเมินผลด้านความเข้าใจและการรับรู้ของบุคลากรเกี่ยวกับกลยุทธ์และนโยบายขององค์กร รวมทั้งยังขาดการจัดการความรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้จากภาคีภายนอกกลับมาสู่บุคลากรภายในองค์กร และระดับการบริหารโครงการ พบว่า บางโครงการมีแผนหรือปฏิทินการดำเนินงานไม่ชัดเจน และบางครั้งมีระยะเวลาจำกัดในการดำเนินกิจกรรม สถานศึกษาบางแห่งขาดแคลนอุปกรณ์ และการใช้ระบบเทคโนโลยีมีข้อจำกัดและไม่เสถียร บางขั้นตอนโดยเฉพาะการคัดกรองเป็นกระบวนการซับซ้อนจึงเกิดความล่าช้า บางโครงการยังขาดการสื่อสารสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดหรือหลักเกณฑ์แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนี้ ข้อจำกัดและอุปสรรคทั้งในระดับการบริหารองค์กรและระดับการบริหารโครงการดังกล่าวอยู่ในวิสัยที่ กสศ. สามารถจะปรับปรุงแก้ไขให้สามารถดำเนินการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้ตามแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ใน ๙ ด้าน5 4. ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อเนื่อง ดังนี้ 4.1 การเสริมสร้างการบริหารจัดการภายใน (Strengthening Internal Foundation) โดยเริ่มตั้งแต่การทบทวนกระบวนการ กฎระเบียบ และนโยบายภายในสำนักงานและการวางโครงสร้างพื้นฐานของระบบเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานอย่างบูรณาการ รวมถึงการพิจารณาการจัดสรรเงินทุนในรูปแบบเงินสะสมของกองทุนเพื่อใช้จ่ายเงินทุนตามปีการศึกษาเพื่อให้มีความอิสระและคล่องตัวจากเงินงบประมาณ 4.2 ความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย (Networking and Partnership) โดยเริ่มตั้งแต่การพัฒนาบุคลากร การสร้างวัฒนธรรมองค์กร ไปสู่การสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบให้บรรลุผลสำเร็จโดยเน้นการร่วมมือกับภาคเอกชนในด้านต่าง ๆ เช่น การสนับสนุนเงินทุน การทำกิจกรรมเพื่อสังคมและเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานหลัก เช่น หน่วยงานในระดับอุดมศึกษาเพื่อส่งเสริมให้เด็กยากจนได้เรียนในระดับที่สูงขึ้น 4.3 การมุ่งหน้าสู่ความเสมอภาคทางการศึกษา (Supporting Equitable Education) โดยมุ่งเน้นการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความเท่าเทียมของคุณภาพสถานศึกษาในแต่ละพื้นที่ การสร้างโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ การส่งเสริมการศึกษาในรูปแบบที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ การคัดกรองที่ครอบคลุมทุกพื้นที่และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเรียนการสอน โดยการขับเคลื่อนองค์กรและการดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งต่อโครงการและนวัตกรรมด้านการศึกษาต้องพิจารณาให้มีแผนการส่งต่อและมีผู้รับผิดชอบโครงการที่ชัดเจน โดยจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอและสื่อสารทำความเข้าใจกับหน่วยงานหลัก ภาคี และหน่วยงานด้านนโยบายเกี่ยวกับบทบาทและภารกิจในการดำเนินการ ___________________ 1 เป็นการทบทวนและปรับปรุงแผนแม่บท กสศ. จากเดิม (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2566) และกำหนดเป้าประสงค์ 4 ประการ ให้ชัดเจนมากขึ้น 2 จากเดิมเป็นการให้เงินงบประมาณกับโรงเรียนและจ่ายเงินรายหัวตามจำนวนนักเรียนเพื่อให้โรงเรียนไปจัดการศึกษา (Supply-Side Financing) เพียงอย่างเดียว 3 ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข 4 Q-Info หรือระบบเพิ่มคุณภาพการศึกษาและพัฒนาคุณภาพนักเรียนเป็นนวัตกรรมการศึกษาเพื่อลดภาวะครูและเพิ่มคุณภาพนักเรียนโดยจัดเก็บข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ของนักเรียนได้เกือบจะเรียลไทม์ ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เวลาการมาเรียนของนักเรียนทั้งแบบรายวัน รายวิชา น้ำหนักส่วนสูง ผลการสอบ คะแนนกิจกรรมเพื่อนำไปประเมินผลและสามารถนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้น 5 ประกอบด้วย (1) การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์โดยใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน (2) การประเมินผลประสิทธิภาพการดำเนินงาน (3) การพัฒนากระบวนการทำงาน (4) วิธีใหม่ในการทำงานและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (5) การใช้เทคโนโลยีในการดำเนินงาน (6) ระบบฐานข้อมูลกลาง (7) การวางแผนอัตรากำลังคน (8) วัฒนธรรมองค์กรในการปรับตัวและรับการเปลี่ยนแปลง และ (9) เครือข่ายความร่วมมือ 17. เรื่อง การประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ช่วงที่ 2 ณ นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดา 18. เรื่อง การประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ครั้งที่ 25 19. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 40 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง - ดำเนินโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไทย มาเลเชีย สาธารณรัฐ สิงคโปร์ได้สำเร็จ โดยกำหนดปริมาณการซื้อ-ขายไฟฟ้าสูงสุดที่ 100 เมกะวัตต์ชั่วโมง ระหว่างปี 2565 - 2566 - ส่งเสริมให้มีการศึกษารูปแบบการซื้อขายไฟฟ้าพหุภาคีและพัฒนาแผนเชื่อมโยงระบบส่งไฟฟ้าที่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้อย่างเหมาะสมต่อไป(2) การเชื่อมโยงท่อส่งก๊าซอาเซียนมุ่งเน้นการพัฒนาตลาดก๊าชร่วมสำหรับภูมิภาค การขยาย การเชื่อมโยงและการเข้าถึงก๊าชธรรมชาติ การติดตามความคืบหน้าในการพัฒนาท่อส่งก๊าซข้ามพรมแดน และการขยายอายุข้อตกลงความมั่นคงทางปิโตรเลียมอาเซียน เป็นต้น(3) ถ่านหินและเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดจัดการประชุมหารือเชิงนโยบายเกี่ยวกับถ่านหินสะอาดของผู้แทนระดับสูงอาเซียน เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 เพื่อรวบรวมแนวทางและนโยบายเกี่ยวกับเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด และเทคโนโลยีการดักจับ การกักเก็บ และการใช้ประโยชน์คาร์บอน เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินการด้านถ่านหินของอาเซียนให้เป็นทิศทางเดียวกัน รวมทั้งศึกษาแผนที่นำทางและกรอบการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับฯ สำหรับอาเซียน(4) ประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงานเช่น ความคืบหน้าของการศึกษาเกี่ยวกับสถานะและขีดความสามารถด้านประสิทธิภาพและการอนุรักษ์ พลังงานในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมของอาเซียน ข้อริเริ่มการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงานในภาคไฟฟ้าและสถานะของการลดความเข้มของการใช้พลังงานในภูมิภาค ปี 2563 โดยอาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายคิดเป็นร้อยละ 22.3 จากการตั้งเป้าหมายว่าทั้งภูมิภาคจะต้องลดค่าความเข้มของการใช้พลังงานให้ได้ร้อยละ 32 ในปี 2568(5) พลังงานหมุนเวียน- การเปิดตัวรายงานทิศทางพลังงานหมุนเวียนในอาเซียน ฉบับที่ 2 โดยวิเคราะห์ทิศทางและสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ในอาเซียนตามนโยบายของแต่ละประเทศ และการคาดการณ์ประเภทของพลังงานหมุนเวียนที่จะมีบทบาทสำคัญในภูมิภาค รวมทั้งข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อให้อาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ - สถานะของการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนของอาเซียน โดยในปี 2563 สัดส่วนพลังงานทดแทนเมื่อเทียบกับปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ผลิตได้ของอาเซียนอยู่ที่ร้อยละ 14.2 ซึ่งอาเซียนตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 23 ในปี 2568 และสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเมื่อเทียบกับปริมาณกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าทั้งหมดที่ร้อยละ 33.5 ซึ่งอาเซียนตั้งเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 35 ในปี 2568(6) นโยบายและแผนพลังงานของภูมิภาคการขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายและการวางแผนด้านพลังงานของอาเซียน การวิเคราะห์ข้อมูล การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรระหว่างประเทศและประเทศคู่เจรจา การส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนการดำเนินการและติดตามการปฏิบัติงานของแต่ละสาขาความร่วมมือด้านพลังงานของอาเซียน ทั้งนี้ ในปี 2565 ได้มีการหารือข้อริเริ่มความร่วมมือระหว่างอาเซียนในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสกับองค์กรระหว่างประเทศได้แก่ สหภาพยุโรปและธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในอาเซียนอย่างยั่งยืนและพัฒนาทางการเงิน(7) พลังงานนิวเคลียร์เพื่อประชาชนมุ่งเน้นความร่วมมือในระดับภูมิภาคและนานาชาติ การเสริมสร้างศักยภาพบนกรอบกฎหมายและกฎระเบียบข้อบังคับด้านนิวเคลียร์และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ และความร่วมมือในการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ประชาชนและการเสริมสร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ โดยมีการดำเนินการที่สำคัญ เช่น การสนับสนุนทุนการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์และเทคโนโลยีแก่ประเทศสมาชิกอาเซียนจากมหาวิทยาลัยซิงหัว สาธารณรัฐประชาชนจีน 2. การประชุมอื่น ๆ และการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง 2.1 การประชุมรัฐนตรีพลังานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 19 มุ่งเน้นความร่วมมือด้านความมั่นคงทางพลังงาน ตลาดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ พลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานสะอาด และการแลกเปลี่ยนด้านเทคโนโลยีใหม่เกี่ยวกับพลังงานผ่านโครงการต่าง ๆ โดยในปี 2565 ได้มีการประชุมที่สำคัญ เช่น การประชุมเวทีหารือความมั่นคงทางพลังงานครั้งที่ 19 การประชุมเวทีพลังานหมุนเวียน ประสิทธิภาพพลังงาน และการอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 16 และการประชุมโต๊ะกลมพลังงานสะอาดอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 5 ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับรองถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 19 ด้วยแล้ว 2.2 การประชุมรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 16 รับทราบความคืบหน้าของกิจกรรมภายใต้ 3 แผนงาน ได้แก่ แผนงานด้านประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานด้านเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อการขนส่งและวัตถุประสงค์อื่น ๆ และแผนงานด้านการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทน รวมทั้งได้หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาพลังงานเพื่อความมั่นคงทางพลังงานเละการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้นำเสนอแนวทางการจัดทำแผนพลังงานชาติเพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ใน ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ใน ค.ศ. 2065 รวมทั้งได้แสดงวิสัยทัศน์ในการส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนและประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออกเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานและการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงานในภูมิภาคร่วมกันในสภาวะวิกฤตทางพลังงานปัจจุบัน ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับรองถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 16 ด้วยแล้ว 2.3 การประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ ครั้งที่ 8 ทบวงการพลังงานระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า การลงทุนด้านพลังงานจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 อยู่ที่ระดับ 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานพลังงานหมุนเวียน การเสริมสร้างประสิทธิภาพพลังงาน และยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังไม่เร็วพอที่จะก้าวข้ามผ่านวิกฤตพลังงานในปัจจุบัน นอกจากนี้ การเติบโตอย่างรวดเร็วของความต้องการใช้พลังงานสะอาดจะเป็นการสร้างโอกาสที่สำคัญแก่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีแหล่งแร่สำคัญและมีความสามารถในการผลิตเพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต 2.4 การประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนกับทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ ครั้งที่ 6 การจัดทำรายงานทิศทางของพลังงานหมุนเวียนในอาเซียน ฉบับที่ 2 พบว่า อาเซียนจะเพิ่มความพยายามเพื่อมุ่งไปสู่การลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานใน ค.ศ. 2050 ลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับการดำเนินการตามแผนพลังงานตามปกติในปัจจุบันและจะมีการใช้พลังงานชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมเพิ่มขึ้น อีกทั้งเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจะมีบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรม 2.5 การประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนกับสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาได้ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดและเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน โดยกำหนดเป้าหมายที่จะให้มีการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าทั่วประเทศให้ได้ร้อยละ 50 ภายใน ค.ศ. 2030 และผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้ได้ร้อยละ 100 ภายใน ค.ศ. 2035 เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายใน ค.ศ. 2050 ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาได้นำเสนอโครงการ Southeast Asia Smart Power Program ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการด้านพลังงานสะอาดในภูมิภาคและยกระดับการเชื่อมโยงทางพลังงานและส่งเสริมการค้าพลังงานแบบพหุภาคีในภูมิภาคอีกด้วย 2.6 การประชุมระดับรัฐมนตรีพลังงานของการประชุมโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป. ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ครั้งที่ 3 รัฐมนตรีพลังงานทั้ง 4 ประเทศได้ให้การรับรองถ้อยแถลงร่วมของการประชุมโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าฯ โดยริเริ่มการซื้อ-ขายไฟฟ้าพหุภาคีข้ามพรมแดนที่ใช้การเชื่อมต่อโครงข่ายที่มีอยู่ของแต่ละประเทศเป็นระยะเวลา 2 ปี ระหว่างปี 2565 - 2566 เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค 2.7 การประกาศผลรางวัลดีเด่นด้านพลังงานอาเซียน ประจำปี 2565 ไทยมีผู้รับรางวัลทั้งสิ้น 23 รางวัล ใน 4 ประเกท ดังนี้ (1) ประเภทการบริหารจัดการพลังงานในอาคารและภาคอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม จำนวน 3 รางวัล (2) ประเภทอาคารอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 5 รางวัล (3) ประเภทโครงการด้านพลังงานหมุนเวียน 12 รางวัล และ (4) รางวัลประกาศเกียรติคุณบุคคลดีเด่นด้านพลังงานในอาเซียน ประจำปี 2565 จำนวน 3 รางวัล 3. บทบาทของไทยและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการประชุม ไทยได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานในปัจจุบันว่า อาเซียนต้องคำนึงถึงความสำคัญในการจัดหาพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการ การมีเสถียรภาพ มีราคาที่หาซื้อได้และยั่งยืน และมุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลสู่พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น โดยไทยยินดีให้การสนับสนุนในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ รวมถึงกรอบความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาและองค์กรระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ไทยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านพลังงานในภูมิภาคกับประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศคู่เจรจา และองค์การระหว่างประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาภาคพลังงานของไทยต่อไป 20. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers: AEM) ครั้งที่ 54 และ การประชุมที่เกี่ยวข้อง - รับรองแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังโควิด - รับทราบข้อริเริ่มอาเซียน-จีนในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์อาเซียน-อินเดียเห็นชอบเอกสารขอบเขตการทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย และประกาศจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย เพื่อเป็นกลไกการทบทวนความตกลงฯ โดยมุ่งหวังให้มีการเปิดตลาดเพิ่มเติม และปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้า และเอื้อต่อการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์รับทราบความคืบหน้าการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ซึ่งมีความคืบหน้าร้อยละ 80 และยืนยัน การประกาศสรุปผลการเจรจายกระดับความตกลงฯ อย่างมีนัยสำคัญภายในปีนี้อาเซียน-เกาหลีใต้รับทราบความคืบหน้าการศึกษาร่วมเพื่อยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลีใต้อาเซียน-แคนาดารับทราบความคืบหน้าการเจรจาความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดารอบแรก ซึ่งได้หารือขอบเขตโครงสร้างข้อบทและประเด็นเจรจาต่าง ๆ เช่น การค้าสินค้าและบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการแข่งขันทางการค้า นอกจากนี้ จะเร่งหารือประเด็นการค้าใหม่ ๆ เช่น แรงานและสิ่งแวดล้อมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP)รับทราบสถานะล่าสุดของการมีผลใช้บังคับความตกลง RCEP โดยฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียอยู่ระหว่างดำเนินการภายในเพื่อให้สัตยาบันความตกลงฯ นอกจากนี้ ให้จัดตั้งสำนักเลขาธิการ RCEP ในระยะแรกในรูปแบบหน่วยงานพิศษภายใต้สำนักงานเลขาธิการอาเซียน และให้คณะกรรมการร่วม RCEP เร่งสรุปประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกลไกการสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2566 5. การหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน มีการแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นการเปลี่ยนผ่านอาเซียนสู่ความเป็นดิจิทัล การส่งเสริมความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาทักษะและเสริมทักษะใหม่ ๆ และการพัฒนาขีดความสามารถของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro, Small & Medium Enterprises: MSMEs) 6. การหารือของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างอาเซียนและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization: WIPO) ให้ครอบคลุมการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อขยายธุรกิจ Startups และ MSMEs และเห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและ WIPO เพื่อเป็นกรอบส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ร่วมกัน 7. การหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้การหารือสาระสำคัญไทย-ติมอร์-เลสเตติมอร์-เลสเตขอรับการสนับสนุนการสมัครเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนและองค์การการค้าโลก นอกจากนี้ ผลการพิจารณาบันทึกความตกลงว่าด้วยการค้าข้าวรัฐต่อรัฐระหว่างไทยกับติมอร์-เลสเต อยู่ระหว่างการพิจารณาในขั้นตอนสุดท้ายไทย-นิวซีแลนด์นิวซีแลนด์ขอบคุณไทยสำหรับการปรับปรุงเงื่อนไขการนำเข้าหอมหัวใหญ่ซึ่งทำให้สามารถส่งออกมายังไทยได้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 และขอให้ไทยสนับสนุนการเปิดปรับปรุงข้อบทการระงับข้อพิพาทด้านการลงทุนระหว่างรัฐภาคีกับนักลงทุน (Investor-State Dispute Settlement: ISDS) ภายใต้ความตกลงเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (Agreement Establishing the ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Area: AANZFTA) เพื่อให้สมาชิกสามารถเลือกผูกพัน ISDS ได้ตามความสมัครใจ นอกจากนี้ ไทยขอให้นิวซีแลนด์สนับสนุนการลงคะแนนเสียงให้ไทยในการสมัครเป็นเจ้าภาพจัดงานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ ในปี 2571 ด้วยไทย-ออสเตรเลียอสเตรเลียขอให้ไทยสนับสนุนการเปิดปรับปรุง ISDS เช่นเดียวกับนิวซีแลด์ และเพิ่มเรื่องการคัดกรองและการระงับข้อพิพาทโดยไม่อยู่ภายใต้กลไกการระงับข้อพิพาทภายใต้ความตกลง AANZFTA และการสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าแบบเต็มส่วน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นควรมีการลงนามเอกสารยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในการประชุมรัฐมนตรีเอเปค เดือนพฤศจิกายน 2565 ณ กรุงเทพมหานครไทย-รัสเซียผลักดันให้การค้าทั้งสองฝ่ายขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเน้นสินค้าเกษตรและอาหาร พลังงาน ปุ๊ย และยางพารา เป็นต้นไทย-คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Commission: EEC)EEC เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทย-EEC ครั้งที่ 3 ระหว่างเดือนตุลาคม 2565 -มกราคม 2566 ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ไทย-ฮ่องกงหารือแนวทางความร่วมมือด้านธุรกิจบริการดิจิทัลคอนเทนต์และสื่อภาพยนตร์ และฮ่องกงขอให้ไทยสนับสนุนการเป็นสมาชิก RCEP ซึ่งฮ่องกงได้ยื่นหนังสือแจ้งความประสงค์ต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนแล้ว 8. ความเห็นและข้อสังเกต ในช่วงที่ผ่านมาอาเซียนดำเนินการเกี่ยวกับการตอบสนองต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมของอาเซียนไปสู่ยุคดิจิทัลและการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต เช่น การจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจดิจิทัลและกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนของอาเซียน รวมทั้งให้ความสำคัญเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการสร้างแนวทางใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน เช่น ด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี ทรัพยากรมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ตระหนักถึงแนวโน้มการค้ายุคใหม่ โดยมีการผนวกประเด็นการค้าใหม่ ๆ ในการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีของอาเซียนและอาเซียนกับคู่เจรจา เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง แรงงาน สิ่งแวดล้อม การค้าดิจิทัล และเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีให้มากขึ้นเพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 และรักษาสถานะการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานโลกของอาเซียนได้ 21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง นายพงศธร ศิริอ่อน วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ กรมชลประทาน ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านสำรวจและหรือออกแบบ) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเกทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) 25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี 26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน) 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง นายสัมพันธ์ เย็นสำราญ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป 29. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 306/2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการ แทนนายกรัฐมนตรี และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 306/2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนายกรัฐมนตรี และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 237/2563 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 มาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จึงให้ยกเลิกความในส่วนที่ 3 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 237/2563 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ส่วนที่ 3 นายกรัฐมนตรีมอบหมายและมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทน กรณีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง 1. ในกรณีที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ) ปฏิบัติราชการแทน 2. ในกรณีที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ) ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) ปฏิบัติราชการแทน” ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป 30.เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 307/2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 307/2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 238/2563 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 นั้น เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสม อาศัยอำนาจ ตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 (2) และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 238/2563 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ดังนี้ 1. ให้ยกเลิกข้อ 7.1.1 และข้อ 7.2 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 238/2563 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 2. มอบหมายและมอบอำนาจให้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ) ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 2.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 2.2 การมอบหมายให้กำกับรัฐวิสาหกิจ ดังนี้ - บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป 31. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 308/2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 308/2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 239/2563 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 239/2563 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ดังนี้ 1. ให้ยกเลิกข้อ 2.2.1 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 239/2563 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 2. มอบหมายและมอบอำนาจให้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป 32. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 309 /2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 309 /2565 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 240/2563 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 นั้น เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสม อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 240/2563 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ดังนี้ ข้อ 1 ให้ยกเลิกข้อ 7.2.3 ข้อ 7.2.6 ข้อ 7.4.1 ข้อ 7.4.3 ข้อ 7.4.6 ข้อ 7.4.7 และข้อ 7.4.9 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 240/2563 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2563 ข้อ 2 มอบหมายให้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายธนกร วังบุญคงชนะ) ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 2.1 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้ 2.1.1 กรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัด 2.1.2 กรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 2.2 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ |