ความหมาย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]อำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ(รัฐ) ทำให้รัฐมีอำนาจในการดำเนินกิจการภายในรัฐ และกิจการระหว่างประเทศได้อย่างเต็มที่ ทำให้รัฐมีอำนาจบังคับและทำให้รัฐสามารถใช้กำลังเพื่อให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายข้อบังคับที่รัฐกำหนดขึ้น อำนาจอธิปไตย จึงแสดงออก (Manifesto) มาทางรัฐบาล โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลได้แยกอำนาจอธิปไตยตามลักษณะหน้าที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ Show
1. อำนาจนิติบัญญัติ คือ อำนาจในการออกกฎหมาย รัฐสภา (ส.ส.และ ส.ว.) ทำหน้าที่แทนปวงชนในการออกกฎหมาย เพื่อรักษาความสงบภายในและนำมาซึ่งความกินดีอยู่ดีและความมั่นคงของรัฐ 2. อำนาจบริหาร คือ อำนาจซึ่งคณะรัฐมนตรี และข้าราชการทั้งหลายใช้ในการบริหารปกครองประเทศตามกฎหมายซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติได้ตราออกมา 3. อำนาจตุลาการ คือ อำนาจศาล มีอำนาจตัดสินคดี ข้อขัดแย้งต่าง ๆ ระหว่างบุคคลกับบุคคลหรือบุคคลกับรัฐตามกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติตราออกมา ข้อจำกัดการใช้อำนาจอธิปไตย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ในทางทฤษฎีอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดเด็ดขาดและไม่มีข้อจำกัดการใช้ก็จริง แต่ในทางปฏิบัติมีข้อจำกัด 1. จำกัดโดยขนบประเพณีและศีลธรรม 2. จำกัดโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ 3. จำกัดโดยสนธิสัญญาหรือกฎหมายระหว่างประเทศ การควบคุมรัฐ ไม่มีรัฐใดในโลกที่มีเอกราชสมบูรณ์ จะถูกควบคุมไม่มากก็น้อย โดยวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังต่อไปนี้ 1. Capitulation สิทธิสภาพนอกอาณาเขต 2. Colonies อาณานิคม 3. Satellite ประเทศบริวาร 4. Deterrence นโยบายป้องปราบ 5. Good Will/ Popularity การแสวงหาคะแนนนิยม วิวัฒนาการของความคิดเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]- Aristotle ว่าในรัฐรัฐหนึ่งต้องมีอำนาจสูงสุด - นักกฎหมายโรมัน นักรัฐศาสตร์สมัยกลางว่าในรัฐรัฐหนึ่งจะต้องมีอำนาจสูงสุด - นักปราชญ์ในยุคแรก ๆ มีความเห็นว่า อำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน แต่ไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวกษัตริย์กับพระ - ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ในยุคแรก เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก และเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย - พระเจ้ามอบให้สันตะปาปาเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย - ต่อมามีอำนาจสามารถดึงอำนาจจากสันตะปาปา จึงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย - “อำนาจอธิปไตย” ใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1516 โดยนักรัฐศาสตร์ชื่อ Bodin ชาวฝรั่งเศส เป็นผุ้พยายามเพิ่มอำนาจให้กษัตริย์ และลดอำนาจของ Pope - ศ.16-17 Thomas Hobbes ชาวอังกฤษ เป็นผู้สนับสนุนพระเจ้าชาร์ลที่ 1 Hobbes อ้างว่า การใช้อำนาจอธิปไตยนี้ไม่ต้องอยู่ใต้กฎเกณฑ์ ข้อบังคับใด ๆ และกษัตริย์เป็นผู้ใช้เจตนารมณ์ของพระองค์ในการปกครองประเทศนั้น เท่ากับเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้ผู้ใด - Locke ว่าไม่ควรอยู่กับกษัตริย์ แต่ควรอยู่กับผู้แทนของปวงชน - Rousseau ว่าอำนาจอธิปไตยอยู่ที่เจตนารมณ์ของปวงชน อำนาจอธิปไตยในปัจจุบัน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]- ในประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน - ในประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการ ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของผู้เผด็จการ ผู้เผด็จการจะใช้อำนาจอธิปไตยนี้ไปในทางใด ๆ ก็ได้ ลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]1. มีความสมบูรณ์ (Absoluteness) คือ จะไม่มีอำนาจอื่นภายในรัฐเหนือกว่าและจะไม่มีอำนาจอื่นที่มาจำกัดอำนาจการออกกฎหมายของรัฐ 2. มีลักษณะเป็นการทั่วไป (Universality) อำนาจอธิปไตยของรัฐที่มีอยู่เหนือคนทุกคน และทุกองค์การที่อยู่ภายในรัฐ ใช้ได้เป็นการทั่วไป ยกเว้นผู้แทนทางการฑูต 3. มีความถาวร (Permanence) อำนาจอธิปไตยของรัฐยังคงมีอยู่ตราบเท่าที่รัฐยังมีชีวิตอยู่ ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา เมื่อรัฐถูกทำลายเท่านั้น อธิปไตยจึงจะสูญสลายไปจากรัฐ 4. แบ่งแยกมิได้ (Indivisibility) ในรัฐหนึ่ง ๆ จะต้องมีอธิปไตยเพียงหน่วยเดียวเท่านั้น ถ้ามีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยก็เท่ากับเป็นการทำลายอำนาจอธิปไตย ประเภทของอำนาจอธิปไตย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]นักวิชาการแบ่งประเภทของอำนาจอธิปไตยเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้ 1. อำนาจอธิปไตยทางกฎหมาย (Legal Sovereignty) คือ อำนาจสูงสุดในการออกกฎหมายและอำนาจที่จะแสดงออกในรูปของกฎหมาย ซึ่งเป็นบทบัญญัติสูงสุดของรัฐ 2. อำนาจอธิปไตยทางการเมือง (Political Sovereignty) คือ ความเห็นหรือเจตนารมย์ของประชาชนที่จะแสดงออกในฐานะผู้ใช้อำนาจอธิปไตยทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง ส.ส. , ส.ว. การออกกฎหมาย 3. อำนาจอธิปไตยโดยนิตินัย (De Jure Sovereignty) คือ อำนาจอธิปไตยตามกฎหมาย อำนาจอธิปไตยจะตกอยู่กับรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย คือ รัฐบาลที่เกิดตามวิถีทางการเมือง หรือการได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน 4. อำนาจอธิปไตยโดยพฤตินัย (De Facto Sovereignty) คือ อำนาจอธิปไตยที่ตกอยู่กับรัฐบาลที่ทำการปฏิวัติรัฐประหารซึ่งผิดกฎหมายที่มีอยู่ แต่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดอันเกิดจากการปฏิวัติรัฐประหาร 5. อำนาจอธิปไตยภายใน (Internal Sovereignty) คือ อำนาจอธิปไตยซึ่งรัฐบาลสามารถใช้ในการปกครองประเทศได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากการควบคุมจากผู้อื่น 6. อำนาจอธิปไตยภายนอก (External Sovereignty) คือ ความเป็นเอกราชของรัฐ ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากการควบคุมจากผู้อื่น 7. อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Popular Sovereignty) ประชาชนสามารถแสดงออกโดยการเลือกตั้ง การแสดงมติมหาชน การตัดสินปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง เจ้าของอำนาจอธิปไตย[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]1. กษัตริย์เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ศ.16 นักปราชญ์เชื่อว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของกษัตริย์ เพราะกษัตริย์ เพราะกษัตริย์เป็นผู้สถาปนาเอกราชให้รัฐ ทรงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ 2. ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ศ.16-17 นักปราชญ์สนับสนุนให้มีการยอมรับอำนาจอธิปไตยของปวงชน - Popular Sovereignty อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ซึ่งเป็นรากฐานการปกครองแบบประชาธิปไตย 3. อำนาจที่บัญญัติรัฐธรรมนูญเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย กล่าวคือรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอำนาจเขียนรัฐธรรมนูญจึงมีลักษณะผู้มีอำนาจสูงสุด 4. องค์การนิติบัญญัติเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ทฤษฎีนี้เชื่อว่าองค์การนิติบัญญัติมีหน้าที่ออกกฎหมายมาใช้ในการปกครองรัฐ ได้รับส่วนแบ่งในการใช้อำนาจอธิปไตยมากกว่าองค์การอื่น คือฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ เพราะฉะนั้น ทฤษฎีนี้จึงเชื่อว่าองค์การนิติบัญญัติเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของปวงชน[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]ปวงชนสามารถแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยได้ดังต่อไปนี้ 1. การออกเสียงเลือกตั้ง (Election) เป็นการแสดงออกเลือกรัฐบาล การเลือกตั้งจะต้องยุติธรรม โดยยึดหลัก One Man, Ona Vote 2. การออกเสียงประชามติ (Referendum) เป็นการใช้ประชาชนแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ของปวงชนในการตัดสินปัญหาที่สำคัญ ๆ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การรวมรัฐ เป็นต้น 3. ประชาพินิจ (Plebiscite) วิธีการให้ประชาชนตัดสินปัญหาต่าง ๆ เมื่อรัฐบาลไม่สามารถตัดสินปัญหาได้มักจะเป็นเรื่องของเทศบาล สุขาภิบาล หรือเรื่องของท้องถิ่น 4. ปวงชนมีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย (Initiative) ปกติการออกกฎหมายเป็นหน้าที่ของรับสภา แต่บางประเทศ เช่น ไทย สวิส สหรัฐอเมริกา ประชาชนมีสิทธิเสนอร่างกฎหมายได้ 5. การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ (Recall) เป็นวิธีการให้ประชาชนเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ได้โดยเฉพาะตำแหน่งที่ได้มาโดยการเลือกตั้ง 6. การแสดงประชามติ (Public Opinion) เป็นมติมหาชนที่แสดงออกโดยไม่ใช่เป็นการออกเสียง เป็นปฏิกิริยาที่แสดงความพอใจหรือไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อการกระทำบางอย่างของรัฐบาล 7. การประชาพิจารณ์ (Public Hearing) รัฐจะทำโครงการใหญ่ที่มีผลกระทบถึงสาธารณะต้องให้ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้แสดงความเห็นและประชาพิจารณ์ 8. การระงับยับยั้งการออกกฎหมายหรือโครงการของรัฐ (Veto) ดูเพิ่ม[แก้ไข | แก้ไขต้นฉบับ]
อํานาจอธิปไตยมาจากไหนอำนาจอธิปไตยของปวงชน (อังกฤษ: popular sovereignty) หมายถึงแนวคิดที่ว่าแหล่งที่มาของอำนาจสูงสุดของรัฐ หรือ อำนาจอธิปไตยมีที่มาจากพลเมืองทุกคนภายในรัฐ
ใครเป็นผู้ใช้อํานาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่คณะปฏิวัติ คสช.ยกร่างขึ้นมา ได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 3 ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” และได้บัญญัติไว้ในวรรคสองอีกว่า “รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ...
อํานาจอธิปไตยมีหน้าที่อะไรบ้าง อำนาจบริหาร อำนาจในการบริหารนั้นคือ อำนาจของผู้บริหาร ตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ผู้ซึ่งใช้อำนาจนั้น ในการบริหารและการจัดการให้บ้านเมืองดำเนินไปอย่างสงบสุข. อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจนิติบัญญัตินั้นคือ อำนาจของรัฐสภา ผู้ใช้อำนาจนี้ในการออกกฎหมาย และมีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร. อำนาจตุลาการ. ข้อใด คือ การแบ่งอำนาจอธิปไตยกล่าวโดยสรุป หลักการแบ่งแยกอำนาจตามแนวคิดของมองเตสกีเยอ คือการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ส่วน คืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ เพื่อป้องกันมิให้อำนาจใดอำนาจหนึ่งรวมอยู่ที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลเดียวอันอาจจะนำมาสู่การใช้อำนาจอย่างเกินขอบเขตได้ และให้อำนาจแต่ละอำนาจนั้นหยุดยั้งหรือคานอีกอำนาจหนึ่งมิให้มีการ ...
|