Show สังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้ว่าจะต่อเนื่องมาจากสังคมสมัยสุโขทัย แต่ก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากสังคมสมัยสุโขทัยหลายด้าน ทั้งนี้ก็เพราะว่าสถาบันสูงสุดของการปกครองได้เปลี่ยนฐานะไป นั่นคือ พระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนฐานะจากมนุษยราชในสมัยสุโชทัยเป็นเทวราชขึ้นในสมัยอยุธยา เปลี่ยนจากฐานะความเป็น “พ่อขุน” มาเป็น “เจ้าชีวิต” ของประชาชนซึ่งเป็นผลให้ระบบและสถาบันทางการปกครองต่างๆ แตกต่างไปจากสังคมไทยสมัยสุโขทัยด้วย ที่มาภาพ : http://konchopkid.blogspot.com/2013/ 1. พระมหากษัตริย์ พระราชฐานะและอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในสมัยอยุธยา 2. พระบรมวงศานุวงศ์ หรือเจ้านาย คือเชื้อพระวงศ์ของพระมหากษัตริย์ มีฐานะรองจากพระมหากษัตริย์ อำนาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตำแหน่ง หน้าที่การงานกับความโปรดปรานของพระมหากษัตริย์ ยศของเจ้านายแบ่งได้เป็น 3. ขุนนาง มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือพระเจ้าแผ่นดิน ในการปกครองประเทศ โดยพระเจ้าแผ่นดินพระราชทานศักดินา ให้เป็นเครื่องตอบแทนอำนาจ และฐานะของขุนนาง มีดังนี้ https://www.gotoknow.org/posts/431413 ...ในปากประตูนั้นจะมีกระดิ่งแขวนไว้หนึ่งใบ ประชาชนที่อยู่ในบ้านเมืองมีความเดือนร้อน ก็จะนึกถึงพ่อขุน แล้วไปสั่นกระดิ่งที่ท่านแขวนไว้ เมื่อพ่อขุนรามคำแหงได้ยินก็จะเรียกไปไต่ถาม ประชาชนในเมืองสุโขทัยจึงมีความยกย่องและชื่นชมท่าน...“เพลงมันเหมือนค่อนข้างโหวกเหวกโวยวาย ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเข้ากับเด็กๆ แต่ว่าสุดท้ายกลายเป็นว่าเด็กๆ ชอบ วิเคราะห์แล้วคิดว่ามันเป็นเรื่องของเมโลดี้ เป็นเมโลดี้ง่ายๆ ย้ำอยู่สองสามท่อน เหมือนเพลงเด็กแบบกล่อมนอนอะไรนี้” กับอีกบางท่อนสนทนาที่กลายเป็นไวรัลบน ‘ติ๊กต็อก’ เมื่อเขาคุยกับแฟนคลับหน้าเวที และคอย “จับมือน้องๆ ไว้หน่อย ปลุกเค้าไว้ พอจบโชว์ปั๊บจะได้กินนม แปรงฟันก่อนเข้านอน” ที่กลายเป็นวลีฮิตเข้าไปอีก มีพวกคุณครูและหมอฟันกดไล้ค์กดแชร์กันกระหึ่ม ถึงแม้ชีวิตของพวกเขาบนเวทีและรายรอบเปลี่ยนไปแล้ว “เรื่องแนวเพลงคิดว่าจะไม่เปลี่ยนอะไรนัก แต่เวลาเล่นสดอาจจะมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับเด็กมากขึ้น เพลงเรายังคงเหมือนเดิมหละ แค่รู้สึกว่า เออเราเขียนเพลงไม่ค่อยมีคำหยาบโดยปกติอยู่แล้ว” ความคิดอ่านลึกซึ้ง มีความรับผิดชอบต่อสังคม สำคัญยิ่งนักที่ไม่ ‘ขี้ตู่’ ต่อคอมเม้นต์ของนักข่าวที่ว่า ตอนนี้ก็กลายเป็นต้นแบบของเด็กๆ ไปแล้วสิ เขาว่า “ผมเองอยู่ในวัยที่สามารถแยกแยะได้แล้ว บางเรื่องมันก็ไม่ได้ดีมาก บางเรื่องมีดีบ้าง ก็อาจจะวางตัวให้มันสุ่มเสี่ยงน้อยลง” ต่างกับคนที่ยังลุ่มหลงตัวเอง อ้างส่งเดช “เพื่อประชาชน” ทั้งที่กัดกินบนหลังพวกถูกอ้างจนคุณภาพชีวิตกร่อนไปจนเกือบไม่เหลือแก่นไว้เป็นตอ ‘ฮาย’ ธันวา เกตุสุวรรณ พูดตอนหนึ่งถึงการเขียนเพลงต่อไป “จะพยายามทำเพลงที่มันไม่มีคำหยาบ... ในวัยที่เขายังไม่สามารถแยกแยะได้อะไรได้ ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งผมว่ามันน่าจะดี...และเรื่องของวิธีคิดผมว่าสำคัญมาก เพราะเด็กเวลาฟังเพลงเรา ถ้าเผื่อให้วิธีคิดที่ไม่ดีไปมันจะแอบฝัง เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี” เขาว่าพยายามคืนกลับประโยชน์ให้แก่เด็กๆ “ในโลกของผมซึ่งมันเป็นโลกสีเทาๆ พอมันมีความสดใสเข้ามา มันเลยสะท้อนให้เราเห็นว่า เออเรารับอะไรเข้ามาแบบนี้แล้วมันทำให้เราดีขึ้น...เราไม่ได้ต้องการที่จะเป็นคนที่ดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรอก แต่คิดว่าบางมุมเราก็ต้องการพลังงานแบบสะอาดๆ” พ้องกับที่ ‘เซ็น’ นครินทร์ ขุนภักดี เสริม “ตอนที่น้องๆ เข้ามา มันเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์มาก” คำขวัญวันเด็กจากเขาทั้งสอง จึงเป็นพลังบวกสำหรับปีใหม่ได้อย่างลงล็อค “สร้างสรรค์ความคิด ผูกมิตรซื่อตรง ก้าวอย่างมั่นคง ฟัง ทรงอย่างแบ๊ด”
|