คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดมีความยาวคลื่นสั่นที่สุด

��ѧ�ҹ�ͧ���� �Ԩ�ó��繤�������ͧ���ѧ�ҹ ���Ϳ�ѡ��ͧ������ѧ�� (��˹����� ��ѧ�ҹ���˹������ҵ��˹��¾�鹷�� = Joule s-1 m-2 = watt m-2) ����Ҩ�Ѵ�ҡ��������������͡�� (radiance) ���ͤ��������赡��з� (irradiance)

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดมีความยาวคลื่นสั่นที่สุด
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดมีความยาวคลื่นสั่นที่สุด

�ҡ�Ҿ�繡���ʴ���ǧ������Ǥ��蹢ͧ�����������俿�� �������ͧ����Ѵ (Sensor) �ͧ������������ػ�ó��Ǩ�Ѵ���͡Ẻ�������������Ѻ��ǧ������Ǣͧ�����������俿��㹪�ǧ���蹵�ҧ�ѹ ��

  • ��ǧ�ѧ������ (gamma ray : l < 0.1 nm) ��Ъ�ǧ�ѧ����硫� (x-ray : 0.1 nm < l < 300 nm) �繪�ǧ����վ�ѧ�ҹ�٧ ���ѧ�ըҡ��ԡ����ҹ�������� ���ͨҡ��á���ѹ��ѧ��
  • ��ǧ��ŵ�������ŵ �繪�ǧ����վ�ѧ�ҹ�٧ ���ѹ���µ��������ժ��Ե
  • ��ǧ�����ʧ �繪�ǧ���蹷����������Ѻ����� ��Сͺ�����ʧ����ǧ ���ŧ�Ҩ��֧�ʧ��ᴧ
  • ��ǧ�Թ����ô �繪�ǧ���蹷���վ�ѧ�ҹ��� ���������ͧ������ ��ṡ�͡�� �Թ����ô������� ����Թ����ô���蹤�����͹
    • Near Infrared (NIR) ������Ǥ��蹨�����㹪�ǧ�����ҧ 0.7 �֧ 1.5 µm.
    • Short Wavelength Infrared (SWIR) ������Ǥ��蹨�����㹪�ǧ�����ҧ 1.5 �֧ 3 µm.
    • Mid Wavelength Infrared (MWIR) ������Ǥ��蹨�����㹪�ǧ�����ҧ 3 �֧ 8 µm.
    • Long Wavelength Infrared (LWIR) ������Ǥ��蹨�����㹪�ǧ�����ҧ 8 �֧ 15 µm.
    • Far Infrared (FIR) ������Ǥ��蹨��ҡ���� 15 µm.
  • ��ǧ�����Է�� (radio wave) �繪�ǧ���蹷���Դ�ҡ�����蹢ͧ��֡���ͧ�ҡ���Ѻʹ��俿�� �����Դ�ҡ�����Ѻ����俿�� ����Ѻ㹪�ǧ�����ǿ �ա��������੾�� ��
    • P band �����������㹪�ǧ 0.3 - 1 GHz (30 - 100 cm)
    • L band �����������㹪�ǧ 1 - 2 GHz (15 - 30 cm)
    • S band �����������㹪�ǧ 2 - 4 GHz (7.5 - 15 cm)
    • C band �����������㹪�ǧ 4 - 8 GHz (3.8 - 7.5 cm)
    • X band �����������㹪�ǧ 8 - 12.5 GHz (2.4 - 3.8 cm)
    • Ku band �����������㹪�ǧ 12.5 - 18 GHz (1.7 - 2.4 cm)
    • K band �����������㹪�ǧ 18 - 26.5 GHz (1.1 - 1.7 cm)
    • Ka band �����������㹪�ǧ 26.5 - 40 GHz (0.75 - 1.1 cm
������Ǫ�ǧ������Ф�������ͧ�����������俿�� �������Ѻ�س����Ԣͧ���觡��Դ�����������俿�� �� �ǧ�ҷԵ�� ���س����� 6,000 K �����ѧ�ҹ㹪�ǧ�����ʧ�ҡ����ش �ѵ�ص�ҧ� ������š��ǹ�ҡ�����س����Ի���ҳ 300 K �����ѧ�ҹ㹪�ǧ�Թ����ô������͹�ҡ����ش �����������俿��������Թ�ҧ��ҹ��鹺���ҡ�� �ж١���š���ҡ�� ��н�����ͧ��ҡ�ȴٴ��׹ ��Т�ҧ���������蹡���ԧ�����͡� ������ǹ����з��١�ѵ�ب��з�͹��Ѻ ����Թ�ҧ��ҹ��鹺���ҡ���ҵ�����ػ�ó��Ѵ����
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดมีความยาวคลื่นสั่นที่สุด
���ͧ�ҡ�ѵ�ص�ҧ� �դس���ѵԡ���з�͹�����������俿�ҷ���ǧ���蹵�ҧ� �������͹�ѹ �ѧ�����Ҩ֧����ö������������俿��㹡�����Ǩ�ҡ�������� �ٻ���仹���ʴ��ѡɳС���з�͹�ʧ���º��º�����ҧ�ѵ�ص�ҧ��Դ�ѹ����ǧ���蹵�ҧ� �ѹ ��������ö㹡���з�͹�ʧ�ͧ�ѵ�ص�ҧ� ������š����ö��ػ��ѧ���
  • ����з�͹�ʧ㹪�ǧ�ʧ�չ���Թ��� ��дٴ��׹����㹪�ǧ���� �������ѧࡵ��ҹ�Өдٴ��׹���� IR ��ǧ 0.91 mm 㹪�ǧ�������ҡ
  • �Թ�з�͹�ʧ㹪�ǧ�����ʧ��շء��
  • �ת�з�͹�ʧ��ǧ��������� ����з�͹��ǧ�Թ����ô��ա��ҹ����дԹ�ҡ

โดยปกติคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เราเคยรู้จักกันนั้น จะแบ่งตามความถี่หรือความยาวคลื่น ซึ่งสามารถแสดงได้ดังภาพ

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดมีความยาวคลื่นสั่นที่สุด

รูปที่ 1 แสดงสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่ต่าง ๆ

โดยในแต่ละช่วงความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นที่รู้จักและถูกนำไปใช้ประโยชน์มากมาย ดังนี้

- คลื่นวิทยุ (Radio wave) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่น้อยที่สุด หรือมีความยาวคลื่นมากที่สุด ถูกนำไปใช้ในการสื่อสาร โทรคมนาคม เนื่องจากคลื่นวิทยุสามารถเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศได้ดี

- ไมโครเวฟ (Microwave) มีความถี่อยู่ในช่วง 108-1012 Hz หรือมีความยาวคลื่น 1 mm – 10 cm ใช้สำหรับโทรคมนาคมระยะไกล เนื่องจากสามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศไปนอกโลก โดยจะมีสถานีส่งสัญญาณไปยังดาวเทียม แล้วดาวเทียมจะส่งสัญญาณกลับไปยังสถานีรับสัญญาณอีกสถานีหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลออกไป และใช้เป็นสัญญาณเรดาห์ เนื่องจากไมโครเวฟสามารถสะท้อนโลหะได้ดี นอกจากนี้ยังนำมาสร้างพลังงานความร้อนในเตาไมโครเวฟได้อีกด้วย โดยทำให้โมเลกุลสั่น

- อินฟราเรด (Infrared) รังสีอินฟราเรด มีความถี่อยู่ในช่วง 1011-1014 Hz หรือมีความยาวคลื่นประมาณ 10-3-10-6 m มีความถี่คาบเกี่ยวกับไมโครเวฟ ใช้ในการจับภาพในที่มืด หรือใช้ถ่ายรูปในช่วงที่มีเมฆ หมอก นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้กับรีโมทควบคุมโทรทัศน์อีกด้วย

- แสงที่มองเห็นได้ (Visible light) มีความถี่ประมาณ 1014 Hz หรือมีความยาวคลื่นประมาณ 400 - 700 nm แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ประสาทตาของมนุษย์สามารถรับรู้ได้ แสงที่มองเห็นแยกเป็นสเปกตรัมได้เป็น แสงสีม่วง น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแสงสีแดง

- รังสีอัลตร้าไวโอเลต (Ultraviolet) มีความถี่อยู่ในช่วง 1015-1018 Hz ส่วนใหญ่เกิดจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ ช่วยในการสร้างวิตามินดีให้แก่ผิวหนัง แต่ถ้าได้รับ UV มากเกินไป จะก่อให้เกิดอันตรายกับผิวหนังได้เช่นกัน และสามารถนำไปใช้ในการฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ หรือทำความสะอาดเครื่องมือแพทย์ได้

- รังสีเอกซ์ (X-rays) มีความถี่อยู่ในช่วง 1018-1022 Hz หรือมีความยาวคลื่นประมาณ 0.01 – 1 nm เนื่องจากเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูง จึงสามารถทะลุผ่านสิ่งกีดขวางหนา ๆ ได้ ส่วนใหญ่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น การตรวจดูความผิดปกติของอวัยวะภายในร่างกาย หรือใช้ในทางอุตสาหกรรม เช่น การตรวจรอยร้าวภายในชิ้นส่วนโลหะขนาดใหญ่ เป็นต้น แต่ถ้าร่างกายได้รับรังสีเอกซ์มากเกินไป จะก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้

- รังสีแกมมา (Gamma-rays) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงที่สุด และเป็นอันตรายมากที่สุด เนื่องจากโฟตอนของรังสีแกมมามีพลังงานมากที่สุด จึงสามารถทะลุทะลวงได้มากที่สุด แต่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น รังสีแกมมาที่ได้จากการสลายของโคบอลต์-60 สามารถนำมารักษาโรคมะเร็งได้ หรือนำมาตรวจสอบรอยรั่วภายในชิ้นส่วนโลหะ ใช้ในการศึกษาการดูดซึมแร่ธาตุของพืช และใช้ในการเปลี่ยนแปลงพันธุ์พืชได้ เป็นต้น

ต่อจากนี้เราจะมากล่าวถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอีกช่วงคลื่นหนึ่งซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากนักวิจัย นั่นก็คือ คลื่นเทระเฮิรตซ์ (Terahertz wave)

คลื่นเทระเฮิรตซ์ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ในช่วง 1012 เฮิรตซ์ เขียนเป็นสัญลักษณ์ได้เป็น THz (เรียกว่า เทระเฮิรตซ์ เนื่องจาก เทระ (Tera) มีค่าเป็น 1012) โดยมีความถี่ประมาณ 0.3 -3.0 THz ซึ่งตรงกับความยาวคลื่นประมาณ 1.0 – 0.1 mm หรือเรียกตามความยาวคลื่นได้อีกอย่าง Submillimeter wave คลื่นเทระเฮิรตซ์เป็นช่วงคลื่นที่อยู่ตรงกลางระหว่างคลื่นไมโครเวฟและอินฟราเรด โดยช่วงความถี่นี้ในทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) ถือว่าเป็นความถี่ที่สูงมาก แต่ในทางทัศนศาสตร์ (Photonics) ถือว่าเป็นความถี่ที่ต่ำมาก

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดมีความยาวคลื่นสั่นที่สุด

รูปที่ 2 แสดงสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

และที่ผ่านมาช่วงความถี่นี้ไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนัก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีคลื่นเทระเฮิรตซ์ เริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้นในวงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ วงการดาราศาสตร์ หรือด้านชีวโมเลกุล

เนื่องจากช่วงคลื่นเทระเฮิรตซ์มีสมบัติเป็นทั้งคลื่นวิทยุและเป็นแสง ดังนั้นการควบคุมช่วงคลื่นนี้จึงทำได้โดยใช้ท่อนำแสง (waveguide) เสาอากาศ กระจก และเลนส์

ก่อนที่จะไปดูการประโยชน์หรือการนำคลื่นเทระเฮิรตซ์ไปประยุกต์ใช้งานในด้านต่าง ๆ เราจะมาดูการตรวจวัดคลื่นเทระเฮิรตซ์กันก่อน


การตรวจวัดคลื่นเทระเฮิรตซ์ (THz sensing)

นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะสามารถตรวจวัดคลื่นนี้ได้ เนื่องจากคลื่นนี้มีความถี่สูงเกินไปที่จะใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการตรวจสอบ แต่คลื่นนี้ก็มีพลังงานโฟตอนต่ำกว่าแสงที่มองเห็นได้ ดังนั้นการตรวจวัดคลื่นเทระเฮิรตซ์ จึงต้องคิดอุปกรณ์ใหม่ที่สามารถตรวจวัดช่วงคลื่นนี้ได้ แนวทางการตรวจวัดคลื่นเทระเฮิรตซ์ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

- การตรวจวัดแบบความร้อน (Bolometric (thermal) detection) เมื่อคลื่นเทระเฮิตรซ์ผ่านอุปกรณ์ตรวจจับคลื่นในช่วง THz จะมีการดูดกลื่นพลังงานของคลื่นไว้ ทำให้อุปกรณ์มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น

- การตรวจวัดแบบคลื่น (Wave detection) การตรวจวัดวิธีนี้ จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ตรวจวัด (detector) ที่มีความเร็วสูงในการตรวจวัดด้วยเวลาคงตัวในหน่วยนาโนวินาที (ns) และต้องวัดที่อุณหภูมิห้อง

- การตรวจวัดแบบควอนตัม (Quantum detection) หรือการตรวจวัดอนุภาค โดยจะตรวจจับโฟตอนของคลื่นเทระเฮิรตซ์นั่นเอง

เมื่อเราทราบวิธีตรวจวัดคลื่นเทระเฮิรตซ์กันแล้ว ต่อมาเราจะมาดูเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นนี้กัน

เทคโนโลยีทางภาพ (THz imaging)

เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีสมบัติทวิภาคของคลื่น คือสามารถเป็นได้ทั้งอนุภาคและคลื่น ซึ่งอนุภาคของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เรียกว่า โฟตอน โดยพลังงานโฟตอนของคลื่นเทระเฮิรตซ์อยู่ในช่วง 1 – 100 meV(1 eV = 1.6 x 10-19 J) โดยช่วงพลังงานนี้สามารถใช้ได้กับโมเลกุลและวัสดุหลายประเภท สมบัตินี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีทางภาพ (เช่นเดียวกับฟิล์ม X - ray) การฉายคลื่นนี้ผ่านไปยังวัตถุ แล้วจับภาพของการกระจายของคลื่นแสง เปรียบเทียบกับการถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซ์ ปรากฏว่าคลื่นมีอันตรายน้อยกว่า และไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อวัตถุหรือโมเลกุลมากนัก เนื่องจากพลังงานโฟตอนของคลื่นเทระเฮิรตซ์ น้อยกว่าพลังงานโฟตอนของรังสีเอกซ์ ประโยชน์ในส่วนนี้ของคลื่นเทระเฮิรตซ์สามารถนำไปใช้ในการวินิจฉัยทางการแพทย์ การตรวจสอบความปลอดภัย การจับภาพทางดาราศาสตร์ และการวิเคราะห์วัสดุหรือโมเลกุลชีวภาพต่าง ๆ โดยไม่ทำลายโมเลกุลเหล่านั้น

อย่างไรก็ตามการใช้คลื่นเทระเฮิรตซ์ในเทคโนโลยีทางภาพก็มีปัญหาที่ยังต้องพัฒนาและปรับปรุงต่อไป นั่นก็คือความละเอียดของภาพที่ได้ยังต่ำ เนื่องจากความละเอียดของการจับภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าถูกจำกัดด้วยความยาวคลื่นในการเลี้ยวเบนของคลื่น (ความยาวคลื่นของคลื่นเทระเฮิรตซ์สั้นมากเมื่อเทียบกับ Visible light และ Ultra violet) ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงต้องพัฒนาการจับภาพให้มีความละเอียดสูง โดยเทคนิคที่ใช้พัฒนาการจับภาพทางด้านนี้ ได้แก่ การฝังตัวของเลนส์ในของแข็ง (Solid immersion THz lens) กล้องเทระเฮิรตซ์ (THz camera) และการจับภาพเทระเฮิรตซ์แบบสนามใกล้ (Near-field THz imaging)

เทระเฮิรตซ์สเปกโทรสโกปี (THz spectroscopy)

เนื่องจากพลังงานโฟตอนและคาบของคลื่นเทระเฮิรตซ์ความถี่ 1 THz มีค่าเป็น 4 meV และ 1 ps ตามลำดับ ซึ่งสมบัติของวัสดุที่สำคัญหลาย ๆ อย่าง ก็อยู่ในช่วงพลังงานและคาบนี้เช่นกัน เช่น ช่องว่างพลังงานของตัวนำยิ่งยวด (energy gap of superconductor) ระดับพลังงานของสารเจือปนในสารกึ่งตัวนำ (impurity level of semiconductor) พลังงานโฟนอน (phonon energy) ระดับระยะห่างของ Landau (Landau level separation) และระยะห่างของระดับพลังงานของอิเล็กตรอนที่ถูกจำกัดในสารกึ่งตัวนำมิติน้อย

นอกจากนี้ การวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเทระเฮิรตซ์ ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกด้วย เช่น การวิเคราะห์ความถี่จำเพาะของโพลิเมอร์ และโมเลกุลชีวภาพ รวมถึงการแผ่รังสีคลื่นเทระเฮิรตซ์จากเคหวัตถุ ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจในเอกภพ ฉะนั้น เทระเฮิรตซ์สเปกโทรสโกปี จึงได้ถูกประยุกต์ในหลายสาขา ได้แก่ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และดาราศาสตร์