อ่านเร็วๆ Show
เริ่มฤดูกาลใหม่พร้อมกับกฎหมายจราจรใหม่เพื่อช่วยกันลดการเกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ ที่เป็นสาเหตุอันดับที่ 1 ของการเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ในบ้านเรา และเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2560 นี้แล้วนะครับโดยเฉพาะเรื่องปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่ปรับลงเหลือ 50 mg% แล้ว จึงอยากให้เพื่อนๆ รู้ก่อนว่ากฎหมายใหม่ที่ว่านี้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง? และถ้าเรามีความจำเป็นต้องดื่มก่อนขับรถจริง ปริมาณการดื่มเท่าไหร่ที่เป็นปริมาณที่เหมาะสม หรือการดื่มมาตราฐานนั้นอยู่ที่ปริมาณเท่าไหร่? ใช้เวลาขับออกนานเท่าไหร่กัน? พรบ.จราจรทางบกฉบับใหม่และโทษปรับมีการปรับลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดลงเหลือ 50 mg% ซึ่งก็คือ “ความเมา” ตามคำจำกัดความของกฎหมายที่ว่าและมีความผิดตามกฎหมายจราจรใหม่ คือ 1.มีโทษจำคุก
1 ปี แต่ถ้าขับรถด้วยความเมาทำให้เกิดเหตุจนทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายทางร่างกายและจิตใจ 1.มีโทษจำคุก 1-5 ปี และถ้าขับรถด้วยความเมาจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายอย่างสาหัส 1.มีโทษจำคุก 2-6 ปี และถ้าเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วยอาการมึนเมาในขณะขับขี่แล้วล่ะก็ 1.มีโทษจำคุก 3-10 ปี แต่มีข้อยกเว้นสำหรับต่อไปนี้ ในกรณีที่ตรวจแอลกอฮอล์พบเกิน 20 mg% ก็ถือว่าเป็นผิดเมาขณะขับรถด้วยเช่นกันครับ -ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ํากว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ ปริมาณแอลกอฮอล์ที่เราดื่มได้ถ้าขับรถก่อนอื่นต้องรู้จักคำว่า “1 ดื่มมาตราฐาน” กันก่อนว่ามันคืออะไร? เจ้าหน่วยที่ว่านี้หมายถึงปริมาณวัดหน่วยการดื่มที่เราใช้ในการเปรียบเทียบในเครื่องดื่มแต่ละชนิดที่มีความแรงของแอลกอฮอล์ที่ต่างกันและในปริมาณที่แตกต่างกัน เพื่อป้องกันเราดื่มมากเกินไปจนทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์มีมากเกินไปจนถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อร่ายกายและการตัดสินใจในขณะขับขี่รถ เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับเกิดขึ้นนั่นเองครับ 1 ดื่มมาตราฐาน เป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกใช้กันมานานอย่างแพร่หลายครับ เทียบเท่ากับเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 10 กรัมหรือประมาณ 12.5 มิลลิลิตร และร่างกายสามารถขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายได้ใน 1 ชั่วโมง (สำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง) และปริมาณที่เราดื่มได้ตามเกณฑ์ คือ
อีกเรื่องที่อยากให้เพื่อนๆ ระวังไว้หน่อย คือ สารพัดบทความที่แชร์เรื่องเครื่องดื่มที่ช่วยให้สร่างเมานั้นไม่เป็นความจริงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เลยครับ การสร่างเมานั้นจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขับแอลกอฮอล์ออกมาจากร่างการด้วยตับของเราตามเวลาที่ทิ้งช่วงไว้เท่านั้น ส่วนการดื่มนมเปรี้ยวไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับการที่ร่างกายขับแอลกอฮอล์ การดื่มกาแฟหรือแม้แต่การอาบน้ำเย็นจัดนั้นช่วยแค่ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวแต่แอลกอฮอล์ยังอยู่ปริมาณเท่าเดิมนะฮะ เจอด่านเป่าก็เรียบร้อยเหมือนเดิม แต่เราป้องกันไม่ให้เมาเร็วหรือร่างกายดูดซึมแอลกอฮอล์อย่างรวดเร็วได้ครับ โดยการ - กินอาหารมื้อใหญ่ก่อนดื่ม โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง ความคุ้มครองของประกันรถยนต์เป็นไปตามกฎหมายจราจรใหม่ที่ประกาศเลยครับ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2560 นี้เลยโดยเฉพาะสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ ถ้าตรวจพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดมากกว่า 50 mg% จะไม่ได้รับความคุ้มครองนะครับถ้าคุณจะดื่มก็อย่าขับรถเองเลยฮะ นอกจากจะได้รับบทลงโทษตามกฎหมายแล้วโดนยึดรถไปอีก 7 วัน นั่งแท๊กซี่กลับหรือให้เพื่อนที่ไม่เมาขับมาส่งดีกว่าครับ ส่วนคนที่ประสบเหตุซึ่งก็คือคนที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ครับยังคงได้รับความคุ้มครองจากประกันรถยนต์ภาคบังคับและภาคสมัครใจตามความคุ้มครองปกติ ร่วมรณรงค์ เมาไม่ขับ กลับแท็กซี่ ดีกว่าเยอะครับ Credit: http://www.oic.or.th, http://sciblogs.co.nz, http://witsava.com, http://www.1000tipsit.com, http://www.whiskygroup.netเมาแล้วขับแอลกอฮอล์กี่เปอร์เซ็นต์ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
ผู้ขับขี่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์ /ผู้ขับขี่ที่มีใบอนุญาตขับรถชั่วคราว (ใบอนุญาตแบบ 2 ปี) ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 21 พ.ศ. 2550.
แอลกอฮอล์ 5% เมาไหม0.05 BAC – สนุกขึ้นไปอีกระดับ พูดเยอะ เสียงดัง พร้อมกับประสิทธิภาพในการตัดสินใจที่เริ่มถดถอย เป็นเหตุผลที่ว่าใครดื่มแล้วซ่าไปขับรถ หากเจอด่านโดนเป่าแล้วพบค่า BAC 0.05 หรือ 50 mg% ขึ้นไป จะถือว่าเมาแล้วขับ เตรียมเข้าซังเต จ่ายค่าปรับ บำเพ็ญประโยชน์กันไปยาว ๆ
มีแอลกอฮอล์กี่เปอร์เซ็นต์ ถึงโดนจับซึ่งตามกฎหมายแล้วนั้น การเมาแล้วขับ คือการที่ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ หากตรวจพบก็จะมีโทษรุนแรง นั่นคือจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ไปจนถึงเพิกถอนใบอนุญาตกันเลยทีเดียว
แอลกอฮอล์กี่เปอร์เซ็นต์ถึงแรง4เมาแล้วขับ โดนจับแน่!
"ผู้ขับขี่ขณะเมาแล้วขับ ซึ่งทางกฏหมายจะถือว่าผู้ที่มีแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์คือผู้ขับขี่ขณะเมาสุรา แต่สำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือไม่มีใบอนุญาตขับขี่หากมีปริมาณแอลกอฮอล์มากกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นผู้ขับขี่ขณะเมาสุรา"
|