เมื่อคุณทดสอบผลิตภัณฑ์ออกใหม่ที่สำคัญ บางครั้งคุณอาจประหลาดใจกับข้อผิดพลาดใหม่ๆ ในสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน เพราะเหตุใด เกิดปัญหาอะไรขึ้น สภาพแวดล้อมในการทดสอบอาจไม่ใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมในการผลิตจริงอย่างที่คุณคิด การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานสามารถเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมได้โดยไม่มีระบุมาเป็นเอกสาร ทำให้สภาพแวดล้อมค่อยๆ เริ่มแตกต่างออกไป Show
การแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องใช้เวลานานมาก การเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาให้เร็วขึ้นถือเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดที่คุณทำได้ในฐานะนักพัฒนาซอฟต์แวร์ การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาคืออะไรการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา (RCA) คือเทคนิคพิเศษที่คุณนำไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะ เทคนิคนี้ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ปัญหาที่พบเจอได้โดยใช้ขั้นตอนที่กำหนดมาโดยเฉพาะต่างๆ เพื่อค้นหาสาเหตุหลักของปัญหา RCA ยึดหลักการว่า การสนใจแต่ปลายเหตุโดยเพิกเฉยต่อสาเหตุของปัญหานั้นไม่มีประโยชน์ การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหามีประโยชน์อย่างไรการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา (RCA) คือเทคนิคพิเศษที่คุณนำไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะ เทคนิคนี้ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ปัญหาที่พบเจอได้โดยใช้ขั้นตอนที่กำหนดมาโดยเฉพาะต่างๆ เพื่อค้นหาสาเหตุหลักของปัญหา RCA ยึดหลักการว่า การสนใจแต่ปลายเหตุโดยเพิกเฉยต่อสาเหตุของปัญหานั้นไม่มีประโยชน์ ฉันจะเริ่มต้นทำการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาได้อย่างไรอธิบายปัญหาใช้ การอธิบายปัญหาอย่างง่ายๆ ให้กับน้องเป็ดยาง(Rubber-Duck Debugging) ในการอธิบายอะไรก็ตาม คุณถูกบังคับให้ต้องเรียงลำดับความคิดของคุณ Jeff Atwood ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ถามตอบยอดนิยมอย่าง Stack Overflow
เล่าให้ฟังว่ากี่ครั้งแล้วที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์บอกเขาเกี่ยวกับการเขียนคำถามใหม่ไปยังเว็บไซต์ การค้นหาคำตอบด้วยตนเอง แต่ไม่เคยส่งคำถามจริงๆ ลองใช้วิธีต่อไปนี้เพื่อช่วยให้คุณระบุปัญหาได้ง่ายๆ
รวบรวมข้อมูลบันทึก (และค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ)
ลำดับต่อไปคือรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาและหาข้อมูลเชิงลึก การบันทึกและการติดตามตรวจสอบอาจช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นบันทึกการทำงานล้มเหลว บันทึกแอปพลิเคชันและเซิร์ฟเวอร์ และอื่นๆ คุณต้องรวบรวมหลักฐานว่าปัญหาเกิดขึ้นจริง และหากเป็นไปได้ ให้หาด้วยว่าปัญหาเกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้วและเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ภายในข้อมูลทั้งหมดนั้น คุณต้องค้นหาจุดข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงอย่างรวดเร็ว เครื่องมือสามารถช่วยคุณค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลบันทึกที่คุณได้รวบรวม และเปลี่ยนเป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ใช้เทคนิค 5 Whyต่อไปก็ระบุปัจจัยเชิงสาเหตุ หรือสาเหตุโดยตรงของปัญหาที่เผชิญอยู่ ไม่ควรระบุปัจจัยเชิงสาเหตุแค่ประการเดียวแล้วก็จบ คุณต้องทำต่อด้วยการใช้เทคนิค 5 Why ถาม “ทำไม” ซ้ำๆ จนกว่าจะถึงต้นตอของปัญหา ตัวอย่างเช่น
เว็บไซต์ของคุณแสดงข้อผิดพลาด 500
แน่นอน คุณอาจจะเจอสาเหตุของปัญหาได้เร็วกว่านั้น หรือบางทีคุณก็อาจต้องถามเพิ่ม ให้ผู้อื่นช่วยเช่นเดียวกับการตรวจสอบโค้ด ให้คนอื่นที่เป็นกลางช่วยดูโค้ดของคุณ เมื่อเวลาผ่านไป ความคาดหมายจากการตรวจสอบจะช่วยคุณปรับแต่งกระบวนการของคุณ หรือยิ่งดีไปกว่านั้น จับคู่ปัญหากับการแก้ไขปัญหา AWS นำเสนออะไรสำหรับการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาของ Amazon OpenSearch Service ไปที่หน้าราคา AWS จะสิ้นสุดการรองรับ Internet Explorer ในวันที่ 07/31/2022 เบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome, Firefox, Edge และ Safari เรียนรู้เพิ่มเติม » นิยามการแก้ปัญหาหรือพัฒนาชิ้นงาน
วิธีการหรือนวัตกรรม โดยใช้ความคิดที่แปลกใหม่หรือพัฒนาต่อยอด
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking : HOT-CTC)ความหมายของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ คือ การคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างมีเหตุผลที่มีจุดประสงค์เพื่อตัดสินว่า ความสำคัญของการคิดอย่างมีวิจารณญาณต่อวิทยาศาสตร์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) เป็นกระบวนการคิดที่มีความซับซ้อน มีการพินิจพิจารณา วิเคราะห์ ประเมินค่า และไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล รอบคอบรอบด้าน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการคิดแก้ปัญหา การตั้งสมมติฐาน การวิเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผล (Gorge, 1968) ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องใช้ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณทั้งสิ้น หรือกล่าวได้ว่านักเรียนจะสามารถพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ดีนั้น นักเรียนจะต้องใช้ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณมาช่วยให้การคิดเป็นเหตุเป็นผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถึงแม้ว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะนำไปสู่การสรุปบนหลักของเหตุผล การมีหลักฐานพิสูจน์อย่างหนาแน่น
ซึ่งเป็นกระบวนการที่เชื่อมั่นได้มากที่สุด แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจจะตอบได้ทุกเรื่อง เช่น คำถามที่เกี่ยวกับการพิจารณาในเชิงคุณค่า ซึ่งเป็นคำถามที่เชื่อมโยงบรรทัดฐานของคนกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดและการให้น้ำหนักในเรื่องหนึ่ง ๆ มากน้อยต่างไปจากคนอีกกลุ่มหนึ่งทั้งในเรื่องของความดี ความเลว เรื่องความถูกผิด ความงดงาม ความน่าเกลียด หรือสิ่งที่ต้องการและไม่ต้องการ การสอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
การสอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการจัดห้องเรียนให้เป็นแหล่งที่สามารถยอมรับมุมมองที่หลากหลาย อภิปรายโดยอิสระ ห้องเรียนควรเน้นไปที่การให้เหตุผลของความคิดมากกว่า การคิดเชิงระบบ (System Thinking)ความหมายของการคิดเชิงระบบ การคิดเชิงระบบ (System Thinking: HOT-STM) หมายถึง
การคิดที่แสดงให้เห็นโครงสร้างทั้งหมด การคิดในระดับสถานการณ์ (Events) เป็นการคิดตามเหตุการณ์หรือสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น โดยไม่สนใจว่าสภาพการณ์หรือสถานการณ์นั้นมีรูปแบบการเกิดสถานการณ์นั้นได้อย่างไร หรือเพราะเหตุใด
ขั้นของกระบวนการคิดเชิงระบบ การคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking: HOT-CRT)ความหมายการคิดสร้างสรรค์ การคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking: HOT-CRT) หมายถึง
การคิดในการเสนอ (Generate) ความคิดที่หลากหลาย ริเริ่ม ประเมิน ปรับปรุง และพัฒนาต่อยอดความคิด เพื่อการแก้ปัญหาหรือสร้างทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ การสร้างความก้าวหน้าในความรู้ หรือการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ โดยอาศัยจินตนาการและทักษะพื้นฐานด้านการคิดริเริ่ม คิดคล่อง คิดยืดหยุ่น คิดละเอียดลออ คิดหลากหลาย ข้อมูลพื้นฐานซึ่งเป็นที่มาของการกำหนดนิยามและพฤติกรรมบ่งชี้การคิดสร้างสรรค์ โดยทั่วไป ในการนิยามหรือกำหนดองค์ประกอบของการคิดสร้างสรรค์มักนิยามตามกรอบแนวคิด
นอกจากนี้ PISA 2021 (ข้อมูลจาก สสวท. อยู่ระหว่างการดำเนินงาน ห้ามเผยแพร่อ้างอิง) ได้เสนอมิติในการวัด (Facets for measurement purpose) ความคิดสร้างสรรค์ที่พิจารณาใน 3 มิติ ซึ่งจะแสดงออกได้ทั้ง Written และ Visual ทั้งในบริบททางสังคม (Social) และบริบททางวิทยาศาสตร์ (Scientific) ได้แก่ 1) การเสนอความคิดที่หลากหลาย (Generate Diverse Ideas) เป็นความสามารถในการคิดยืดหยุ่นหลากหลาย
ซึ่งการประเมินความยืดหยุ่นหลากหลายในที่นี้ขึ้นอยู่ลักษณะของงานที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น การเสนอทางแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลายแตกต่าง การนำเสนอแนวความคิดด้วยวิธีที่แตกต่าง 2) การเสนอความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (generate creative ideas) เป็นความสามารถในการเสนอแนวความคิดที่ริเริ่มและเหมาะสม เช่น การเสนอทางแก้ปัญหาที่ริเริ่ม การมีแนวทางที่แปลกใหม่ในการสื่อสารความคิดผ่านภาพ ทั้งนี้ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เน้นการพิจารณาจาก “ความใหม่” และ “เป็นประโยชน์” โดยระดับของความใหม่ ต้องพิจารณาว่าใหม่สำหรับผู้คิดหรือสังคม สำหรับ PISA 2021 พิจารณาความใหม่ในเชิงสถิติว่าเมื่อเทียบกับประชากรกลุ่มนั้น ๆ มีผู้เสนอความคิดในลักษณะเดียวกันนี้มากน้อยเพียงใด และในการกำหนดค่าน้ำหนักของ “ความใหม่” และ “เป็นประโยชน์” นั้น จะแตกต่างกันไปตามความเฉพาะของงาน เช่น ในทางวิทยาศาสตร์ให้ความสำคัญกับมิติเป็นประโยชน์มากกว่าทางศิลปะ ในทางกลับกัน สำหรับงานศิลปะ มิติเป็นประโยชน์ก็ได้รับการให้ความสำคัญน้อยกว่า ซึ่งการแสดงออกนี้มีฐานมาจาก คิดริเริ่ม ตามองค์ประกอบเดิมของ Torrance ทั้งนี้ มิติที่ 1) และ 2) เป็น Divergent Cognitive Process of CRT ส่วนมิติที่ 3) ให้ความสำคัญกับการประเมินและพัฒนาต่อยอด 3) การประเมินและพัฒนาต่อยอดความคิด (Evaluate and Improve Ideas) เป็นการประเมินความคิดผู้อื่น พัฒนาต่อยอด และให้ข้อเสนอแนะที่ริเริ่มแตกต่างจากความคิดนั้นได้ ** เมื่อเทียบมิติทั้ง 3 มิติกับองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบเดิมของ Torrance พบว่าแต่ละมิติมีทั้ง 4 องค์ประกอบอย่างครบถ้วน แต่มุ่งเน้นหรือให้ความสำคัญกับแต่ละองค์ประกอบต่างกัน PISA 2021 ได้ระบุถึง Achievement & Progress of CRTว่าประกอบด้วย การแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ (Creative Expression) การสร้างสรรค์ความรู้ (Knowledge Creation) และการแก้ปัญหา (Problem Solving) โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ (1) ปัจจัยภายในตัวบุคคล เช่น ความพร้อม/พื้นฐาน ในประเด็นที่คิด ความเชื่อและเป้าหมายในการคิด ทักษะทางปัญญา การเปิดใจกว้าง แรงจูงใจของงาน ความสามารถในการร่วมมือกับผู้อื่น และ (2) ปัจจัยภายนอก เช่น ความคาดหวังและบรรทัดฐานของสังคม ทั้งนี้ ในแง่ของความใหม่ของผลผลิตของการคิดสร้างสรรค์ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับคำว่านวัตกรรม จึงได้ดำเนินการสังเคราะห์นิยามของ “นวัตกรรม” จากหลายแหล่งข้อมูล อาทิ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติว่าด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ.2551
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และพิจารณาร่วมกับความเป็นไปได้สำหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สรุปได้ว่า “นวัตกรรม” (สำหรับนักเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน) หมายถึง สิ่งประดิษฐ์ แนวคิด วิธีการ หรือกระบวนการใหม่ที่ได้พัฒนาขึ้นตามแนวคิดหรือหลักการต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นหรือสภาพปัญหาในบริบทหนึ่ง ๆ จากข้อมูลข้างต้น เพื่อพิจารณาในแง่ของการกำหนดนิยามของทักษะการคิดขั้นสูงในส่วนของการคิดสร้างสรรค์นี้ให้มีลักษณะเป็นสมรรถนะที่มุ่งเน้นที่การกระทำหรือการแสดงออกในสถานการณ์ต่าง ๆ จึงได้สังเคราะห์และเรียบเรียงตามลำดับคือ การแสดงออก (Action) à จุดมุ่งหมาย/ ผลการคิดà โดยอาศัยทักษะการคิดพื้นฐานและลักษณะการคิดที่จำเป็น à ผลผลิต ดังนี้ การคิดสร้างสรรค์ เป็นกระบวนการคิด/ การคิด (เลี่ยงการใช้คำวิชาการ เช่น กระบวนการทางปัญญา พฤติกรรมทางสมอง) ……. ที่มีการแสดงออก จุดมุ่งหมาย ทักษะการคิดพื้นฐานและลักษณะการคิดที่จำเป็นและผลผลิต ดังนี้ การแสดงออก (Action) ….. ในการ (1) เสนอความคิดที่หลากหลาย (generate diverse ideas) จุดมุ่งหมาย….. เพื่อ 1) การแก้ปัญหา (Problem Solving) หรือสร้างทางเลือกที่ริเริ่มและมีประสิทธิภาพ 2) การสร้างสรรค์ความรู้ (Knowledge Creation) สร้างความก้าวหน้าในความรู้ หรือ 3) การแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ (Creative Expression) หรือการแสดงออกซึ่งจินตนาการได้อย่างทรงพลัง ทักษะการคิดพื้นฐานและลักษณะการคิดที่จำเป็นตามทฤษฎี ….. โดยอาศัยจินตนาการและทักษะพื้นฐานด้านการคิดริเริ่ม คิดคล่อง คิดยืดหยุ่น คิดละเอียดลออ คิดหลากหลาย คิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ ผลผลิต………. เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ที่ดีกว่า แตกต่างไปจากเดิม มีประโยชน์ และมีคุณค่าต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคมมากกว่าเดิม ซึ่งสิ่งใหม่ในที่นี้อาจเป็นการปรับหรือประยุกต์สิ่งเดิมให้อยู่ในรูปแบบใหม่ หรือเป็นการต่อยอดจากสิ่งเดิม หรือเป็นการริเริ่มสิ่งใหม่ขึ้นมาทั้งหมด ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของนิยามที่ได้เสนอไว้ข้างต้น และเป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดพฤติกรรมบ่งชี้ต่อไป การคิดแก้ปัญหา (Problem Solving Thinking : HOT-PRB)ความหมายการคิดแก้ปัญหา
การคิดแก้ปัญหา หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการระบุปัญหา นิยามปัญหา รวบรวมข้อมูล ลักษณะของการคิดแก้ปัญหา ลักษณะของการคิดแก้ปัญหา มีดังนี้ (จุฑามาศ, 2562, หน้า 269; Aurelio Villa Sanchez & Manuel Poblete Ruiz, 2008, p.142)
กระบวนการคิดแก้ปัญหา ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ดังนี้
ระดับของการเรียนรู้ (Levels of Mastery)
ความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการเรียนรู้ ตัวบ่งชี้ และคำอธิบายของการคิดแก้ปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการเรียนรู้ ตัวบ่งชี้ และคำอธิบายของการคิดแก้ปัญหา แสดงดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการเรียนรู้ ตัวบ่งชี้ และคำอธิบาย
ตารางที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการเรียนรู้ ตัวบ่งชี้ และคำอธิบาย (ต่อ)
ตารางที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการเรียนรู้ ตัวบ่งชี้ และคำอธิบาย (ต่อ)
ตารางที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการเรียนรู้ ตัวบ่งชี้ และคำอธิบาย (ต่อ)
ตารางที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการเรียนรู้ ตัวบ่งชี้ และคำอธิบาย (ต่อ)
ตารางที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการเรียนรู้ ตัวบ่งชี้ และคำอธิบาย (ต่อ)
ตารางที่ 2 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการเรียนรู้และตัวบ่งชี้ (ต่อ)
ตารางที่ 2 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับของการเรียนรู้และตัวบ่งชี้ (ต่อ)
ความสัมพันธ์ระหว่างการคิดแก้ปัญหากับการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
|