อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตคืออะไร

ดอกเบี้ยบัตรเครดิต คิดอย่างไร ?

  • Finance LifeStyle Shopping
  • อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตคืออะไร
    FinSpace
  • July 26, 2020
  • 7839

ดอกเบี้ยบัตรเครดิต คิดอย่างไร ? บัตรเครดิตถ้าใช้เป็นใช้ถูกวิธีก็เป็นตัวช่วยให้เราสะดวกสบายได้มากขึ้น ทว่าถ้ารูดแบบไม่ระวังใช้จ่ายเกินตัว

Show
อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตคืออะไร

วิธีคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต รู้ไว้ก่อนรูดเพลิน

บัตรเครดิตถ้าใช้เป็นใช้ถูกวิธีก็เป็นตัวช่วยให้เราสะดวกสบายได้มากขึ้น ทว่าถ้ารูดแบบไม่ระวังใช้จ่ายเกินตัว ก็ทำให้แผนการเงินของเราพังได้ง่าย ๆ เช่นกัน เพราะรู้ไหมว่า “ดอกเบี้ยบัตรเครดิต” นั้นแพงมาก ! ซึ่งธนาคารสามารถคิดดอกเบี้ยสูงสุดได้ถึง 18% ต่อปี

Advertisements

ดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะเกิดขึ้นใน 2 กรณี ได้แก่

  1. จ่ายไม่ครบหรือจ่ายแค่ขั้นต่ำ (ไม่รวมโปรฯ ผ่อนชำระ 0%)
  2. กดเงินสดออกมาใช้ล่วงหน้า

สูตรคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิต

อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตคืออะไร
สูตรคำนวณ ดอกเบี้ยบัตรเครดิต

ดอกเบี้ยบัตรเครดิต = (ยอดใช้จ่าย x อัตราดอกเบี้ย x จำนวนวัน) / 365

หากผิดเงื่อนไขจะคิดดอกเบี้ยยังไง ?

อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตคืออะไร
หากผิดเงื่อนไขจะคิดดอกเบี้ยยังไง ?

หากเราผิดเงื่อนไข จะโดนธนาคารคิดดอกเบี้ยทันทีสูงสุด 18% ต่อปี โดยนับย้อนหลังตั้งแต่วันที่รูดซื้อสินค้า จนถึงวันที่จ่ายยอดทั้งหมดครบ แบ่งเป็น 4 ช่วงในการคิดดอกเบี้ย ดังนี้

  • วันที่รูด จนถึง วันสรุปยอด
  • วันสรุปยอด จนถึง วันครบกำหนดชำระ
  • วันครบกำหนดชำระ จนถึง วันสรุปยอดงวดถัดไป
  • วันสรุปยอดงวดถัดไป จนถึง วันสรุปยอดงวดถัดไปงวดไป
  • ซึ่งหากยังไม่จ่ายเราก็ถูกคิดดอกเบี้ยตามจำนวนวันวนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆ

ตัวอย่างการคิดคำนวน

อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตคืออะไร
ตัวอย่างการคิดคำนวน ดอกเบี้ยบัตรเครดิต

ตัวอย่างเช่น
เรารูดบัตรเครดิตซื้อ iPhone ราคา 30,000 บาท (ไม่ได้ใช้โปรฯ 0%) แต่เลือกจ่ายขั้นต่ำ 3,000 บาท (10%) แปลว่างวดถัดไปจะถูกคิดดอกเบี้ย ดังนี้

1. ดอกเบี้ยเงินต้นส่วนแรก

คิดจากยอดใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในรอบบัญชี ตั้งแต่วันรูดสินค้า ถึงวันสรุปยอด

(30,000 x 18% x 21) / 365 = 310.68 บาท

2. ดอกเบี้ยเงินต้นส่วนที่สอง

คิดจากยอดใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในรอบบัญชี ตั้งแต่วันสรุปยอด ถึงวันครบกำหนดชำระ

(30,000 x 18% x 15) / 365 = 221.91 บาท

* หากเราจ่ายครบเต็มจำนวน ธนาคารจะไม่เรียกเก็บดอกเบี้ยในส่วนตัวข้างต้น แต่หากจ่ายไม่ครบจะโดนเรียกเก็บดอกเบี้ยเต็ม ๆ ทุกบาท ทุกสตางค์

Advertisements

3. ดอกเบี้ยค้างชำระส่วนแรก

คิดจากยอดค้างชำระตั้งแต่วันครบกำหนดชำระ ถึงวันสรุปยอดงวดถัดไป

(30,000 x 18% x 16) / 365 = 213.04บาท

4. ดอกเบี้ยค้างชำระส่วนที่สอง

คิดจากยอดค้างชำระตั้งแต่วันสรุปยอดงวดถัดไป ถึงวันครบกำหนดชำระงวดถัดไป

(30,000 x 18% x 14) / 365 = 186.41 บาท

สรุปต้องจ่ายดอกเบี้ยทั้งสิ้น 932.04 บาท

Advertisements

แม้เราจ่ายครบเต็มจำนวนในรอบบิลถัดไป ธนาคารก็จะยังคงเรียกเก็บดอกเบี้ยทั้งยอดใช้จ่ายและยอดค้างชำระทั้ง 4 ส่วนมารวมกัน ยิ่งถ้ายังไม่รีบนำเงินไปปิดหนี้บัตรเครดิต ก็จะทำให้ยอดค้างชำระนี้ยังอยู่และถูกคิดดอกเบี้ยวนไปเรื่อย ๆ นั่นเอง

รู้แบบนี้แล้ว ก่อนใช้บัตรเครดิตอย่าลืมวางแผนทางการใช้เงินดี ๆ กันด้วนนะ เพราะถ้ารูดแบบไม่คิด รับรองว่ามีหนี้ก้อนโตรอคุณอยู่แน่นอน

บัตรเครดิตเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ออกบัตร (Issuer) ซึ่งได้แก่ธนาคารพาณิชย์​ ​​และผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ออกให้แก่ลูกค้า (ผู้ถือบัตร หรือ Card Holder) ซึ่งประโยชน์ที่ผู้ถือบัตรจะได้รับมีหลายประการ เช่น​

  • ใช้แทนเงินสดเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการโดยยังไม่ต้องจ่ายเงินในทันที ณ ร้านค้าที่รับบัตร รวมถึงร้านค้าบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะสังเกตได้จากโลโก้ของเครือข่ายผู้ให้บริการบนบัตรและที่ร้านค้า ตัวอย่างเครือข่ายบัตรเครดิต เช่น VISA, Master Card, American Express, China Union Pay (CUP), Japan Credit Bureau (JCB)
  • เบิกถอนเงินสดจากเครื่อง ATM มาใช้ล่วงหน้าได้
  • รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามรายการส่งเสริมการขาย เช่น คะแนนสะสมเพื่อแลกของรางวัล ส่วนลดจากร้านค้า การผ่อนชำระสินค้าดอกเบี้ย 0 % เงินคืนจากการใช้จ่าย (cash back) ที่จอดรถ ห้องรับรองตามสถานที่ต่าง ๆ ความคุ้มครองเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ

แต่ผู้ถือบัตรก็ต้องรู้จักใช้อย่างมีวินัยและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการก่อหนี้โดยไม่จำเป็น เกิดภาระดอกเบี้ยและค่าบริการ หรือมีหนี้สินล้นพ้นตัว ถูกฟ้องร้อง ประวัติสินเชื่อเสียจนเป็นเหตุให้ขอสินเชื่ออื่นที่สำคัญกว่าไม่ได้​

 







อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตคืออะไร
 

 

 

​วงเงินบัตรเครดิต

กรณีที่พิจารณาจากรายได้ของผู้ขอบัตรเครดิต วงเงินที่ได้รับอนุมัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังนี้

 

รายได้ต่อเดือนวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 15,000 บาท แต่น้อยกว่า 30,000 บาท1.5 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 30,000 บาท แต่น้อยกว่า 50,000 บาท3 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป5 เท่าของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน

การคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม

ผู้ออกบัตรจะเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ (ในที่นี้ขอเรียกโดยย่อว่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม) รวมกันได้ไม่เกิน 16% ต่อปี โดยมีวิธีคำนวณ 2 แบบตามการใช้บัตรดังนี้ 
(1) การชำระค่าสินค้าและบริการไม่เต็มจำนวนภายในวันที่กำหนดหรือชำระล่าช้า ผู้ออกบัตรสามารถคิดดอกเบี้ยตามการใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ผู้ออกบัตรได้สำรองจ่ายให้ร้านค้า หรือตั้งแต่วันที่สรุปยอดรายการใช้จ่าย หรือตั้งแต่วันที่ครบกำหนดชำระก็ได้แต่โดยทั่วไปจะเริ่มคิดตั้งแต่วันที่ผู้ออกบัตรสำรองจ่ายเงินให้แก่ร้านค้า ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ คิดเต็มจำนวนจนถึงวันก่อนครบกำหนดชำระเงิน และคิดตามยอดคงค้าง (หักส่วนที่ชำระแล้วออก) นับจากวันที่ชำระจนถึงวันสรุปยอดถัดไป
(2) การเบิกถอนเงินสด จะเริ่มคำนวณตั้งแต่วันที่เบิกถอนเงินสดออกมา 

 

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต​​​

นอกจากนี้ อาจมีค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามข้อกำหนดของผู้ออกบัตรแต่ละแห่ง เช่น

​​​ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งเราสามารถต่อรองกับผู้ออกบัตร เพื่อขอยกเว้นการเรียกเก็บได้ค่าธรรมเนียมในการชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิต โดยผู้ออกบัตรเรียกเก็บค่าธรรมเนียมประเภทนี้ได้ไม่เกิน 3 % ของจำนวนเงินสดที่เบิกถอน และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งคิดจากยอดค่าธรรมเนียมการเบิกถอนด้วยค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินในการใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศ 2 - 2.5 % องอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าใช้จ่ายต่าง  ตามที่ได้จ่ายไปจริงและพอสมควรแก่เหตุ เช่น ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ (ซึ่งจะต้องมีการติดตามทวงถามแล้วจึงเรียกเก็บได้)

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ได้จาก website แบงก์​ชาติ หรือสอบถามข้อมูลจากผู้ออกบัตร 

การชำระหนี้บัตรเครดิต

ผู้ถือบัตรต้องชำระหนี้ขั้นต่ำในแต่ละงวดไม่น้อยกว่า 10 % ของยอดคงค้างทั้งสิ้น โดยอาจชำระผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น

​​​

สาขาของสถาบันผู้ออกบัตรเครดิต 

จุดบริการรับชำระเงินที่เป็นตัวแทนรับชำระ (บริการ Bill Payment​)  เช่น สาขาธนาคารอื่น Pay@Post เคาน์เตอร์เซอร์วิส  

ช่องทางต่าง ๆ ของธนาคาร เช่น เครื่องเอทีเอ็ม อินเทอร์เน็ต ข้อตกลงให้หักจากบัญชีเงินฝาก (Debit Transfer) 

 

 ทั้งนี้ การชำระเงินในแต่ละช่องทางอาจมีเงื่อนไขแตกต่างกันไป เช่น ค่าธรรมเนียม จำนวนเงินสูงสุดที่รับชำระ ดังนั้น ผู้ใช้บริการควรศึกษาค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขบริการก่อนใช้บริการ ตามที่ระบุในใบแจ้งยอดหนี้


FCCPageContent2

วิธีการเลือกสมัครบัตรเครดิต

ก่อนเลือกใช้บริการเราควรศึกษารายละเอียด สิทธิประโยชน์และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้ออกบัตรแต่ละแห่งกำหนด แล้วเลือกสมัครบัตรที่สอดคล้องกับรายได้และลักษณะการใช้จ่ายของเรามากที่สุด

ค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าธรรมเนียมรายปี และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เราต้องจ่ายให้ผู้ออกบัตร รวมถึงเงื่อนไขการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมรอบระยะเวลาบัญชี หรือระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยในแต่ละรอบบิล ก่อนจะเริ่มคิดดอกเบี้ยตามที่ได้กำหนดไว้การชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ความสะดวกรวดเร็ว ค่าใช้จ่ายในการชำระเงินสิทธิประโยชน์ต่าง ที่จะได้รับ โดยพิจารณาว่าตรงกับความต้องการหรือการใช้ชีวิตของเราหรือไม่

 


คำแนะนำในการใช้บัตรเครดิต

เลือกใช้ประเภทบัตรเครดิตให้เหมาะสมเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า เพราะอัตราค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่ให้รับสิทธิประโยชน์อื่นเพิ่มเติมมักจะแพงกว่ากรณีบัตรเครดิตทั่วไปเมื่อได้รับบัตรเครดิตแล้ว ต้องอ่านข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรให้เข้าใจก่อนแจ้งเปิดใช้บัตรเสมอ เพราะอาจมีเงื่อนไขสำคัญ เช่น การยินยอมให้สถาบันการเงินหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้ถือบัตรที่มีอยู่กับสถาบันการเงินนั้น มาชำระหนี้ของผู้ถือบัตรได้ทันที ซึ่งในกรณีนี้หากคุณเป็นหนี้บัตรเครดิตที่ค้างชำระ สถาบันการเงินก็มีสิทธิที่จะหักเงินฝากของคุณโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าลงลายมือชื่อเจ้าของบัตรทันทีที่ได้รับบัตรใหม่จดรายละเอียดต่าง ๆ ของบัตร เช่น หมายเลขบัตร วงเงิน ภาระหนี้ที่มีอยู่ วันครบกำหนดชำระเงิน เพื่อวางแผนการใช้บัตรเครดิตและการชำระหนี้ให้ตรงเวลา และจดจำหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ออกบัตร เพื่อสามารถติดต่อได้ทันทีในกรณีบัตร สูญหาย ถูกขโมย หรือสอบถามข้อสงสัย ตลอดจนเมื่อมีปัญหาจากการใช้บัตรเก็บรักษาบัตรเสมือนเป็นเงินสด เก็บไว้ในที่ปลอดภัย อย่าวางบัตรไว้ใกล้แหล่งที่เป็นแม่เหล็ก เพราะแถบแม่เหล็กด้านหลังบัตรอาจได้รับความเสียหาย ทำให้เครื่องไม่สามารถอ่านข้อมูลจากบัตรได้กำหนดรหัสถอนเงินให้ยากต่อการสุ่มเดา เช่น ไม่ใช้หมายเลขโทรศัพท์ บ้านเลขที่ วันเกิด ไม่เก็บรหัสไว้รวมกับบัตร รวมทั้งไม่เปิดเผยรหัสกับผู้อื่น จัดเก็บไว้ในที่ปลอดภัยและเป็นความลับ หรือหากจำรหัสได้แล้วก็ควรฉีกทิ้งทำลายไป และควรเปลี่ยนรหัสอยู่เสมอ ไม่ควรใช้รหัสเดียวกันสำหรับบัตรทุกใบควรให้บัตรอยู่ในสายตาตลอดเวลาเมื่อมีการชำระเงินให้แก่ร้านค้า เพื่อป้องกันการถูกนำบัตรไปคัดลอกข้อมูลด้วยเครื่อง Skimmer แล้วทำบัตรปลอมนำไปใช้ในอนาคต หรือป้องกันการแอบจดเลขที่บัตรเครดิต วันหมดอายุของบัตร และรหัส CVV (หมายเลข 3 หลัก ด้านหลังบัตร) เพื่อไปทำรายการซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต อีกทั้งตรวจสอบว่าบัตรที่ได้รับเป็นบัตรของเรา ไม่ได้สลับกับบัตรของผู้อื่น นอกจากนี้ พึงระวังว่าในการซื้อสินค้าและบริการแต่ละครั้ง หากมีการรูดบัตรเกินกว่า 1 ครั้ง ควรสอบถามเหตุผลและขอทำลาย Sale Slip ที่บันทึกข้อมูลผิดหรือรายการที่ยกเลิกแล้ว เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางทุจริตตรวจสอบจำนวนเงินให้ถูกต้องก่อนเซ็นชื่อบน Sales Slip ซึ่งร้านค้าจะเก็บไว้เป็นหลักฐานการรับชำระ และให้สำเนา Sales Slip อีกฉบับแก่ลูกค้า อย่าเซ็นชื่อลงในใบบันทึกรายการที่ยังมิได้เขียนจำนวนเงินไม่ว่าจะเป็นกรณีใดเก็บSales Slip ไว้เพื่อตรวจสอบกับใบแจ้งยอดประจำเดือน และตรวจสอบยอดเงินในบัญชีอย่างสม่ำเสมอ หากมีรายการเรียกเก็บเงินใดที่ไม่ถูกต้องให้แจ้งผู้ออกบัตรทันที เพราะหากแจ้งล่าช้า เกินระยะเวลาที่กำหนด จะถือว่าเรายอมรับค่าใช้จ่ายนั้น และหากไม่ได้รับใบเรียกเก็บเงินประจำเดือนตรงตามเวลา ให้สอบถามไปยังผู้ออกบัตรถึงสาเหตุที่ล่าช้าแจ้งธนาคารทันทีที่รู้ว่าบัตรหาย หรือมีรายการที่เจ้าของบัตรไม่ได้เป็นผู้ทำรายการเกิดขึ้นเลือกใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเฉพาะในเรื่องที่จำเป็นเพื่อไม่ให้มีภาระหนี้มากเกินความสามารถที่จะจ่าย เช่น ค่าน้ำมันเดินทางไปทำงาน ค่ารักษาพยาบาล ค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในซุปเปอร์มาร์เก็ตคิดให้ดีถ้าจะใช้บัตรเพื่อหาผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น รูดบัตรซื้อสินค้าหรือบริการแทนผู้อื่น โดยหวังแต้มสะสมหรือดอกเบี้ยจากบุคคลนั้น เพราะหากเขาไม่ชำระตามที่ตกลงกัน เราจะต้องเป็นคนรับผิดชอบภาระหนี้ทั้งหมดต่อสถาบันผู้ออกบัตรหากไม่มีความจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิต สามารถแจ้งขอยกเลิกใช้บัตรได้ โดยโทรติดต่อที่ Call Center หรือทำหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อยกเลิกบัตรแล้วอย่าลืมตัดทำลายบัตรทิ้ง โดยเฉพาะตรงแถบแม่เหล็กหรือชิพเพราะเป็นแหล่งเก็บข้อมูลส่วนตัวของเรา เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพนำข้อมูลไปทำบัตรปลอมได้อาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มหากมีการขอใช้บริการอื่น เช่น การขอสำเนา Sale Slip (ชุดที่ 2) การขอรหัสใหม่ทดแทนรหัสเดิม ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละสถาบันการเงินอย่าให้ข้อมูลส่วนตัว (เช่น หมายเลขบัตร หมายเลขโทรศัพท์มือถือ วันเดือนปีเกิด วงเงินบัตรเครดิต) ทางโทรศัพท์แก่ผู้ที่อ้างว่าเป็นสถาบันผู้ออกบัตร เนื่องจากสถาบันผู้ออกบัตรจะไม่มีการติดต่อลูกค้าเพื่อขอข้อมูล เว้นแต่ลูกค้าเป็นผู้โทรติดต่อ Call center เอง รวมไปถึงการไม่ตอบกลับข้อมูลดังกล่าวผ่านช่องทางอีเมลหรืออินเทอร์เน็ตการซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตควรพิจารณาเรื่องความปลอดภัยของทั้งร้านค้าออนไลน์และผู้ให้บริการชำระเงิน ร้านค้าออนไลน์ที่เชื่อถือได้จะได้รับใบรับรองดิจิตอล (Digital Certificate) ซึ่งส่วนใหญ่จะมีระบบความปลอดภัยของข้อมูลโดยการเข้ารหัสก่อนส่งทุกครั้ง โดยมีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยของการส่งผ่านข้อมูลแบบ SSL (Secure Socket Layer) ซึ่งแสดงว่าเว็บไซต์นี้ได้รับการรับรองความปลอดภัยในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างกัน หรือร้านค้าออนไลน์บางแห่งอาจมีการใช้ระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) ด้วย
อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตคืออะไร
การชำระเงินผ่านบัตรเครดิตที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น และสามารถลดความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งลูกค้าจำเป็นต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อใช้ Verified by Visa (VBV), Master Card Secure Code (MCSC) และ JCB J/Secure
อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตคืออะไร
 

 

2 ประเด็นควรใส่ใจ : ชำระไม่เต็มจำนวนและเบิกถอนเงินสด

ชำระไม่เต็มจำนวน ใครว่าเรื่องหยวน ๆ อยากชักชวนให้ตั้งใจและพยายามชำระเต็มจำนวนและภายในเวลาที่กำหนด เพื่อรักษาประวัติการชำระหนี้ ซึ่งสำคัญมากต่อการได้รับอนุมัติสินเชื่อประเภทอื่น หากชำระไม่เต็มจำนวน หรือหากชำระไม่ทันในเวลาที่กำหนด ก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ย ค่าบริการต่าง ๆ และเบี้ยปรับสูงสุดถึง 18 % ต่อปี และอย่าลืมว่าโดยทั่วไปผู้ออกบัตรจะต้องสำรองเงินเต็มจำนวนเพื่อจ่ายให้ร้านค้าแทนผู้ถือบัตร ดังนั้น ผู้ออกบัตรจึงมักเริ่มคำนวณตั้งแต่วันที่สำรองเงินจ่ายให้แก่ร้านค้าโดยคิดจากยอดเต็มจำนวนเช่นกัน ไม่ใช่แค่ยอดคงค้างที่เหลือหลังจากที่เราไปชำระเงินบางส่วนแล้ว

ดอกเบี้ยบัตรเครดิต คิดตอนไหน

ดอกเบี้ยบัตรเครดิต จะเกิดขึ้นเมื่อเราชำระค่าสินค้าและบริการไม่เต็มจำนวน ไม่ว่าจะเป็นการชำระขั้นต่ำหรือขาดไปแค่ 1 บาทก็ตาม ซึ่งการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะแยกคำนวณเป็น 2 ส่วน คือ 1. คิดจาก 'ยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมด' ตั้งแต่ วันบันทึกรายการ ถึง วันสรุปยอดค่าใช้จ่าย

ข้อใดคือเพดานของอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต

การคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม ผู้ออกบัตรจะเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ (ในที่นี้ขอเรียกโดยย่อว่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม) รวมกันได้ไม่เกิน 16% ต่อปี โดยมีวิธีคำนวณ 2 แบบตามการใช้บัตรดังนี้

ดอกเบี้ยบัตรกดเงินสด คิดยังไง

การคำนวณอัตราดอกเบี้ย กรณีเบิกถอนเงินสด เงินต้นคงเหลือ x ดอกเบี้ย15% x จำนวนวันในแต่ละรอบบัญชี* ÷ 365 วัน 2.วิธีคำนวณค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน เงินต้นคงเหลือ x ค่าธรรมเนียมฯ 10% x จำนวนวันในแต่ละรอบบัญชี* ÷ 365 วัน

Credit interest คืออะไร

ดอกเบี้ยบัตรเครดิต (Credit Card Interest) คือ อัตราดอกเบี้ยซึ่งเป็นเงินตอบแทนที่ผู้ออกบัตรเครดิต ซึ่งได้แก่ธนาคารพาณิชย์​ ​​และผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) คิดกับลูกค้าจากการใช้บริการสินเชื่อ