โรคหลอดเลือดหัวใจเกิดจากเส้นเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตันจากไขมัน เส้นเลือดจึงต้องทำงานหนัก เพื่อนำเลือดไปเลี้ยงหัวใจให้ได้เพียงพอ Show อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ อาจจะรวมถึง
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อโรคนี้?ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ เช่น
แต่ปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ เมื่อท่านได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ควรหันมาใส่ใจและปรับเปลี่ยน โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคของหลอดเลือดหัวใจ, โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ หรือ โรคหลอดเลือดโคโรนารี (ภาษาอังกฤษ : Coronary artery disease : CAD หรือ Coronary heart disease : CHD) คือ โรคที่เกิดจากการเกาะของไขมันภายในผนังหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงหรืออุดตันจนปิดกั้นการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง หากเกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็จะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเพียงชั่วขณะ ซึ่งจะเป็น ๆ หาย ๆ เวลามีสาเหตุมากระตุ้นให้กำเริบ แต่ถ้าเกิดมีลิ่มเลือดไปอุดตันในหลอดเลือดหัวใจก็จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ซึ่งถือเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้อย่างกะทันหัน โรคหลอดเลือดหัวใจจัดเป็นโรคของผู้ใหญ่ที่พบได้ตั้งแต่คนวัยหนุ่มสาวไปจนถึงผู้สูงอายุ เป็นโรคที่มักพบได้มากขึ้นตามอายุ ส่วนมากจะมีอาการกำเริบเมื่อมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป (มักไม่พบในผู้ชายอายุต่ำกว่า 30 ปี หรือผู้หญิงอายุต่ำกว่า 40 ปี ที่ไม่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อน) ในช่วงวัยเจริญพันธุ์นี้จะพบโรคนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่หลังจากวัยหมดประจำเดือนไปแล้วทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะมีโอกาสเกิดโรคนี้ได้ใกล้เคียงกัน โรคนี้พบได้มากในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีอายุมาก สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ฯลฯ คนที่อยู่ดีกินดี คนที่มีอาชีพทำงานนั่งโต๊ะ และคนที่อาศัยอยู่ในเมืองจึงมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าคนยากจน คนที่มีอาชีพใช้แรงงาน และคนที่อาศัยอยู่ในชนบท หมายเหตุ : โรคหัวใจ (Heart disease) มีอยู่ด้วยกันหลายโรค แต่ที่พบได้บ่อยที่สุดและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้สูงติด 1 ใน 4 ของสาเหตุการเสียชีวิตของคนทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยคือ “โรคหลอดเลือดหัวใจ” ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงโรคหัวใจมักจะหมายถึงโรคนี้ สาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจโรคนี้มีสาเหตุมาจากผนังหลอดเลือดแดงแข็งและหนาตัวขึ้น (Atherosclerosis) ซึ่งเกิดเนื่องจากการมีไขมันไปเกาะอยู่ภายในผนังหลอดเลือด เรียกว่า “ตะกรันท่อหลอดเลือด” (Artherosclerotic plaque) ซึ่งจะค่อย ๆ พอกหนาตัวขึ้นทีละน้อยจนช่องทางเดินของเลือดตีบแคบลง เลือดจึงไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลง และในขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจต้องการออกซิเจนมากขึ้นในการเผาผลาญให้เกิดพลังงานเพื่อใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ (เช่น ในขณะที่ออกแรงมาก ๆ ในการทำงานหรือเคลื่อนไหวร่างกาย หรือเมื่อมีอารมณ์รุนแรงหรือมีความเครียดสูง) หรือในขณะที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจน้อยลง (เช่น หลอดลือดหดตัวในขณะที่สูบบุหรี่หรือจากการมีความเครียดสูง เลือดไปเลี้ยงกระเพาะอาหารจำนวนมากหลังรับประทานข้าวอิ่มจัด ๆ หรือเมื่อเสียเลือดหรือโลหิตจาง) ผู้ป่วยก็จะเกิดอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะ แต่เมื่อขจัดสาเหตุดังกล่าวออกไป (เช่น กำจัดความเครียด หยุดการใช้แรงและสูบบุหรี่) อาการเจ็บหน้าอกก็จะทุเลาไปเอง ซึ่งเราเรียกภาวะดังกล่าวนี้ว่า “โรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ” (Angina pectoris) หากปล่อยไว้นาน ๆ ตะกรันท่อหลอดเลือดที่เกาะอยู่ภายในผนังหลอดเลือดหัวใจจะเกิดการฉีกขาดหรือแตกออก เกล็ดเลือดก็จะจับตัวกันจนกลายเป็นลิ่มเลือดและอุดกั้นช่องทางเดินของเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอยู่เป็นเวลานานจนเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตาย ผู้ป่วยจึงเกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอกอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างเฉียบพลันได้ เรียกว่า “โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน” (Acute myocardial information) ในช่วงแรกที่ร่างกายยังสามารถปรับตัวได้ ตะกรันท่อหลอดเลือดที่ใหญ่ขึ้นนั้นจะยังไม่ทำให้เกิดอาการแต่อย่างใด เพราะหลอดเลือดของเรายังสามารถขยายออกทางด้านนอกได้ ซึ่งในระยะนี้การวินิจฉัยจะมีเพียงวิธีเดียวคือการตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงเพื่อดูความหนาตัวของผนังหลอดเลือด แต่เมื่อผ่านไปจนร่างกายของเราไม่สามารถปรับตัวหรือขยายออกทางด้านนอกได้แล้ว ตะกรันท่อหลอดเลือดที่ใหญ่ขึ้นก็จะขยายเข้าไปในท่อของหลอดเลือด เมื่อโตมากขึ้น ๆ จนรูของท่อหลอดเลือดเหลือน้อยกว่า 50% ก็จะทำให้ความเร็วของเลือดเพิ่มขึ้น เมื่อเลือดไหลเวียนอย่างรวดเร็วไปกระแทกผนังหลอดเลือดและตะกรัน ก็จะทำให้พังผืดที่หุ้มตะกรันเกิดการฉีกขาดหรือแตกออก เกิดเลือดออกในตะกรัน เมื่อเลือดออกเกิดแผลขึ้นก็จะเกิดเป็นก้อนเลือด ถ้าก้อนเลือดอยู่กับที่ไม่ไปไหนก็จะมีพังผืดมาหุ้มไว้ไม่หลุดไปไหน แต่ถ้าก้อนเลือดเกิดไหลไปอุดตันตามอวัยวะต่าง ๆ ก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ หรือถ้าโชคดีอาจยังไม่เกิดเรื่อง ตะกรันจะค่อย ๆ โตขึ้นเรื่อย ๆ จนไปทำให้ขนาดของท่อหลอดเลือดเล็กลงมากจนตันได้เช่นกัน สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดกระบวนการเหล่านี้ ได้แก่
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลอดเลือดหัวใจโรคหลอดเลือดหัวใจจัดเป็นโรครุนแรงและเรื้อรังที่เป็นสาเหตุให้เกิดความพิการและเสียชีวิตได้
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจในเบื้องต้นได้จากประวัติ (เช่น ประวัติการสูบบุหรี่ การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย โรคประจำตัว ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว) และอาการที่แสดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการปวดเค้นหรือจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่แล้วปวดร้าวไปที่คอ ไหล่ ขากรรไกร โดยมีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย (เช่น มีอายุมาก สูบบุหรี่ เครียด อ้วน มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง) เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ (มีอาการที่น่าสงสัย หรือถึงมีอาการไม่ชัดเจน หรือไม่มีอาการแสดง แต่มีปัจจัยเสี่ยงมาก เช่น เป็นผู้ที่สูบบุหรี่จัด มีอายุมาก และเป็นโรคเบาหวานร่วมด้วย) แพทย์จะทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ เช่น
การแยกโรค
การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจโรคหลอดเลือดหัวใจเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็มีวิธีจัดการเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะมีตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและดูแลรักษาควบคุมโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ดี, การรักษาด้วยการใช้ยา และการรักษาด้วยการผ่าตัดและกระบวนการทางการแพทย์ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและดุลยพินิจของแพทย์
สำหรับแนวทางในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจนั้น โดยทั่วไปจะเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ แล้วจึงค่อยตามด้วยการให้ยาขยายหลอดเลือดเพื่อป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก ให้ยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดกั้นหลอดเลือดหัวใจ ให้ยาควบคุมโรคประจำตัว (เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง) เป็นต้น หากการใช้ยาไม่ได้ผลหรือผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกบ่อย และแพทย์ตรวจพบว่ามีการอุดกั้นของหลอดเลือดหัวใจอย่างรุนแรงหรือหลายแห่ง ก็จะทำการแก้ไขโดยการขยายหลอดเลือดด้วยการทำบอลลูนหัวใจและใส่หลอดเลือดตาข่ายคาไว้ในหลอดเลือดบริเวณที่ตีบตันนั้น ส่วนในรายที่เป็นรุนแรงหรือการใช้ยาและทำบอลลูนหัวใจยังไม่ได้ผล แพทย์จะทำการผ่าตัดทำทางเบี่ยงของหลอดเลือดหัวใจ (บายพาสหัวใจ) โดยการนำหลอดเลือดดำที่ส่วนอื่น เช่น หลอดเลือดดำขา ไปเชื่อมต่อระหว่างหลอดเลือดหัวใจ (ข้ามส่วนที่ตีบตัน) เข้ากับหลอดเลือดแดงใหญ่ ส่วนในผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล พิจารณาฉีดยาละลายลิ่มเลือดเข้าทางหลอดเลือดดำ ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อให้ภายใน 6 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ หรือไม่ก็อาจทำบอลลูนหัวใจหรือทำบายพาสหัวใจแบบฉุกเฉิน และให้การดูแลรักษาจนกว่าผู้ป่วยจะปลอดภัย ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 5-7 วัน เมื่ออาการทุเลาลงแล้วแพทย์ก็จะให้ผู้ป่วยเริ่มทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูสภาพหัวใจให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก และงดการร่วมเพศประมาณ 4-5 สัปดาห์ ซึ่งผู้ป่วยจะสามารถกลับไปทำงานได้หลังมีอาการ 8-12 สัปดาห์ แต่ห้ามทำงานที่ต้องใช้แรงมาก แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาติดตามการรักษาเป็นประจำทุก 1-3 เดือน เพื่อตรวจร่างกายและปรับการใช้ยาให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจการดูแลตนเองที่สำคัญของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ มีดังนี้
การดำเนินโรคผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษามักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ส่วนในรายที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายก็อาจทำให้เสียชีวิตอย่างกะทันหันได้ ส่วนผู้ที่ได้รับการรักษานั้น ผลการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค สภาพผู้ป่วย โรคที่พบร่วม และวิธีรักษา ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะแบบเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง การรักษามักได้ผลที่ดี การใช้ยาแอสไพรินสามารถช่วยป้องกันไม่ให้กลายเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายและลดอัตราการเสียชีวิตได้ ส่วนการทำบอลลูนหัวใจและการทำบายพาสหัวใจจะช่วยให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงอยู่รอดปลอดภัยมากขึ้น สำหรับปัจจัยที่ทำให้ผลการรักษาไม่สู้ดีนั้น ได้แก่ ผู้ป่วยมีอายุมาก สูบบุหรี่ เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มีอาการรุนแรง มีภาวะแทรกซ้อน (เช่น หัวใจวาย) ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดแบบไม่คงที่ ถ้าเริ่มมีกล้ามเนื้อหัวใจตายบางส่วน หรือมีความล่าช้าในการถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจและการบำบัดที่เหมาะสม ผลการรักษาก็มักจะไม่สู้ดีนัก ส่วนในผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ถ้าเป็นรุนแรงหรือกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายไปมากก็มักจะเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็วหรือทันทีทันใด แต่ในรายที่หลังเกิดอาการแล้วยังสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ 2-3 วัน มักจะฟื้นตัวจนเป็นปกติได้ ซึ่งบางรายอาจกำเริบซ้ำและมักเสียชีวิตภายใน 3-4 เดือน ถึง 1 ปีต่อมา (ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักมีอาการอย่างต่อเนื่อง เช่น เจ็บหน้าอกเป็นครั้งคราว หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือเกิดภาวะหัวใจวาย) และมักพบอัตราการเสียชีวิตและการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูงในผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่นระรัวร่วมด้วย ส่วนในผู้ป่วยที่ได้รับการทำบอลลูนหรือทำบายพาสหัวใจ มักจะฟื้นสภาพได้ดี และมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวขึ้น แต่บางรายก็อาจมีหลอดเลือดหัวใจตีบตันซ้ำ ซึ่งอาจต้องทำบอลลูนหัวใจหรือทำบายพาสหัวใจซ้ำ การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจวิธีการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจที่ดีที่สุด คือ การปรับเปลี่ยนเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ดังนี้
เอกสารอ้างอิง
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทย เมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด Coronary artery disease มีโรคอะไรบ้างโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease: CAD or Coronary Heart Disease) เป็นกลุ่มอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ครอบคลุมโรค 3 กลุ่ม ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดส่วนปลาย ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของคนไทยเป็นอันดับ 3 รองจากโรคมะเร็งและอุบัติเหตุ จากสถิติผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจในประเทศไทยพบว่า ...
โรคหลอดเลือดหัวใจคืออะไรโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease: CAD/Coronary Heart Disease: CHD) เกิดจากการเกาะของคราบไขมัน (Plaque) ภายในผนังหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นการสะสมของคอเลสเตอรอลและสารต่าง ๆ ภายในหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและอุดตันจนปิดกั้นการไหลเวียนของกระแสเลือด ผู้ป่วยจึงมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจติดขัด หรือรุนแรงถึงขั้นหัวใจ ...
โรคหลอดเลือดหัวใจสาเหตุมาจากอะไรโรคหลอดเลือดหัวใจส่วนใหญ่เกิดจากไขมันและเนื้อเยื่อสะสมในผนังของหลอดเลือด ทำให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดชั้นในตำแหน่งนั้นหนาตัวขึ้น ทำให้หลอดเลือดมีการตีบแคบลง ทำให้เลือดซึ่งนำออกซิเจนไหลผ่านได้น้อยลง ส่งผลให้เลือดไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ จนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งจะทำให้มีอาการเจ็บหน้าอกเกิดขึ้น ...
โรคหลอดเลือดหัวใจมีลักษณะอาการอย่างไรอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ อาจจะรวมถึง. เจ็บหน้าอก. หายใจถี่. ปวดแน่นหน้าอก. ปวดขากรรไกร ปวดร้าวไปที่แขน. ปวดแสบปวดร้อนตรงลิ้นปี่หรือท้องส่วนบน. คลื่นไส้. อาเจียน. เหงื่อออกมาก. |