เมื่อร่างกายเกิดกระบวนการเผาผลาญพลังงาน ร่างกายมีเกิดของเสียส่วนเกินขึ้น กลไลของร่างกายจะขับของเสียเหล่านั้น ผ่านระบบ การขับถ่ายของเสีย ในรูปต่างๆระบบขับถ่ายของเสีย เป็นระบบที่ร่างกายขับถ่ายของเสียออกจากระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยขับของเสียออกในหลายรูปแบบ ได้แก่ ของเสียในรูปแก๊ส คือ ลมหายใจออก ของเหลว คือ เหงื่อและปัสสาวะ ของเสียในรูปของแข็ง คือ อุจจาระ Show
การขับถ่ายของเสียทางลำไส้ใหญ่ ภาพแสดงโครงสร้างของลำไส้ใหญ่การย่อยอาหารจะสิ้นสุดลงบริเวณรอยต่อระหว่างลำไส้เล็กกับลำไส้ใหญ่ เนื่องจากอาหารที่ลำไส้เล็กย่อยแล้วจะเป็นของเหลว หน้าที่ของลำไส้ใหญ่ส่วนต้น (Cecum) คือดูดซึมของเหลว น้ำ เกลือแร่ และน้ำตาลกลูโคส ที่ตกค้างอยู่ในกากอาหาร ส่วนลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Colon) จะเป็นที่พักกากอาหารซึ่งมีลักษณะกึ่งของแข็ง ลำไส้ใหญ่จะขับเมือกออกมาหล่อลื่นเพื่อให้อุจจาระเคลื่อนไปตามลำไส้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น ถ้าลำไส้ใหญ่ดูดน้ำมากเกินไป เนื่องจากกากอาหารตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่หลายวัน จะทำให้กากอาหารแข็งจนนำไปสู่อาการท้องผูก (อ่านเพิ่มเติม: ระบบทางเดินอาหาร) การขับถ่ายของเสียทางปอด ระบบทางเดินหายใจ ขยายให้เห็นหลอดเลือดฝอยในปอดและถุงลม พร้อมทั้งการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างถุงลมกับเม็ดเลือดแดงภาพ: สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ ปอดคืออวัยวะที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ น้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียจากการเผาผลาญพลังงานระดับเซลล์ โดยอาศัยหลักการแพร่เข้าสู่ในเส้นเลือดฝอย แล้วลำเลียงด้วยระบบหมุนเวียนโลหิตไปยังปอด เกิดการแพร่ของน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ถุงลมปอด แล้วเคลื่อนผ่านหลอดลมออกจากร่างกายทางจมูก อ่านเพิ่มเติม: ระบบทางเดินหายใจ การขับถ่ายของเสียทางผิวหนัง ภาพแสดงกายวิภาคของต่อมเหงื่อ และผิวหนังเหงื่อเป็นของเสียที่ถูกขับออกทางผิวหนังของมนุษย์ผ่านทางรูขุมขน เหงื่อที่ถูกขับออกมาทางต่อมเหงื่อประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 99 สารประกอบอื่นๆ อีกร้อยละ 1 ได่แก่ โซเดียมคลอไรด์ สารอินทรีย์พวกยูเรีย แอมโมเนีย กรดแล็กติก และกรดอะมิโนอีกเล็กน้อย อ่านเพิ่มเติม : ระบบผิวหนัง การขับถ่ายของเสียทางไต ไต (Kidney) ทำหน้าที่กำจัดของเสียในรูปของน้ำปัสสาวะ ไตมีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วดำ วางตัวอยู่ในช่องท้องสองข้างของกระดูกสันหลังระดับเอว ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น คือ เปลือกไตชั้นนอกกับเปลือกไตชั้นใน มีขนาดยาวประมาณ 10 เซนติเมตร กว้างประมาณ 6 เซนติเมตร และหนา 3 เซนติเมตร บริเวณตรงกลางของไตมีส่วนเว้าเป็นกรวยไต มีท่อไตต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ ไตแต่ละข้างประกอบด้วยหน่วยไตนับล้านหน่วย เป็นท่อที่ขดไปมาโดยมีปลายท่อข้างหนึ่งตัน เรียกปลายท่อที่ตันนี้ว่า โบว์แมนส์แคปซูล (Bowman’s Capsule) ซึ่งมีลักษณะเป็นแอ่งคล้ายถ้วย ภายในแอ่งจะมีกลุ่มหลอดเลือดฝอยพันกันเป็นกระจุก เรียกว่า โกลเมอรูลัส (Glomerulus) ซึ่งทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดที่ไหลผ่านไต ภาพแสดงส่วนประกอบของไตบริเวณของหน่วยไตมีการดูดซึมสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แร่ธาตุ น้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโน รวมทั้งน้ำ กลับคืนสู่หลอดเลือดฝอยและเข้าสู่หลอดเลือดดำ ส่วนของเสียอื่นๆ ที่เหลือก็คือ ปัสสาวะ จะถูกส่งมาตามท่อไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งมีความจุประมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่กระเพาะปัสสาวะสามารถที่จะหดตัวขับปัสสาวะออกมาได้ เมื่อมีปัสสาวะมาขังอยู่ประมาณ 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร ในแต่ละวันร่างกายจะขับปัสสาวะออกมาประมาณ 1-1.5 ลิตร เมื่อไตผิดปกติจะทำให้สารบางชนิดออกมาปนกับปัสสาวะ เช่น เม็ดเลือดแดง กรดแอมิโน น้ำตาลกลูโคส ปัจจุบันแพทย์มีการใช้ไตเทียมหรืออาจจะใช้การปลูกถ่ายไตให้กับผู้ป่วยที่ไตไม่สามารถทำงานปกติได้ เมื่อพูดถึงระบบขับถ่าย หลายคนมักนึกถึงการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ ความจริงแล้วระบบขับถ่ายเป็นระบบกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญของสิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วนที่ทำหน้าที่ขับของเสียในรูปแบบที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น การขับเหงื่อผ่านทางผิวหนัง การขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการหายใจออก การถ่ายปัสสาวะผ่านระบบขับถ่ายปัสสาวะ และการถ่ายอุจจาระผ่านระบบย่อยอาหาร โดยบทความนี้จะพูดถึงการทำงานของระบบขับถ่ายปัสสาวะและการขับถ่ายอุจจาระ และวิธีดูแลระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ ระบบขับถ่ายทำงานอย่างไรระบบขับถ่ายปัสสาวะทำหน้าที่กรองของเสียที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายออกจากเลือด และกำจัดน้ำ เกลือ และสารพิษในร่างกายในรูปปัสสาวะ ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ดังนี้
โดยโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะที่อาจพบได้ เช่น การติดเชื้อบริเวณไตและกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในไต ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และโรคไตเรื้อรัง ส่วนการขับถ่ายอุจจาระเกิดจากการที่ร่างกายย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว กากอาหารที่เหลือจากการย่อยอาหารจะถูกส่งไปสู่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่เรียกว่าไส้ตรง (Rectum) เพื่อรอขับถ่ายผ่านทางทวารหนักต่อไป คนที่ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติจะขับถ่ายวันละไม่น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และไม่บ่อยกว่า 3 ครั้งต่อวัน โดยความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายอุจจาระที่พบบ่อย เช่น ท้องผูกและท้องเสีย ดูแลระบบขับถ่ายให้มีสุขภาพดีการดูแลระบบขับถ่ายให้ทำงานตามปกติ มีดังนี้ ระบบขับถ่ายปัสสาวะการดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยขับแบคทีเรียออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ โดยในหนึ่งวันควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8–10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร โดยดื่มทีละน้อยและหลีกเลี่ยงการดื่มโซดาและกาแฟที่มีคาเฟอีน เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น อีกทั้งไม่ควรกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน โดยขณะปัสสาวะควรนั่งในท่าที่ผ่อนคลายเพื่อให้ปัสสาวะได้สุด การกลั้นปัสสาวะจะทำให้มีปัสสาวะเหลืออยู่ค้างอยู่ ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้ สำหรับผู้หญิง หลังขับถ่ายควรทำความสะอาดอวัยวะเพศให้ถูกวิธี โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด หรือการใช้สบู่ที่มีน้ำหอมและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องคลอด เพราะอาจเสี่ยงต่อการระคายเคือง นอกจากนี้ ควรปัสสาวะทั้งก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์เพื่อให้แบคทีเรียถูกขับออกจากร่างกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดสูบบุหรี่ และหมั่นบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Muscles) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ควบคุมการกลั้นปัสสาวะ เพราะอาจช่วยป้องกันภาวะปัสสาวะเล็ดได้ ระบบขับถ่ายอุจจาระเราควรดูแลระบบขับถ่ายอุจจาระไม่ให้ท้องผูก โดยรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ (Fiber) สูงให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่น ผักและผลไม้ โดยปริมาณไฟเบอร์ที่ควรได้รับต่อวันในผู้ใหญ่อายุ 20 ปีขึ้นไปจะอยู่ที่ประมาณ 25 กรัมต่อวัน และดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้อุจจาระไม่แข็งจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้ และฝึกวินัยในการขับถ่าย เช่น ไม่กลั้นอุจจาระ พยายามขับถ่ายให้เป็นเวลา และหากนั่งชักโครกควรนั่งงอเข่าหาลำตัวหรือหาเก้าอี้ตัวเตี้ย ๆ ไว้หน้าชักโครกสำหรับวางขาขณะนั่งขับถ่าย เพื่อช่วยให้ขับถ่ายง่ายขึ้น คนที่มีอาการท้องผูก ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาระบายมารับประทาน และหลีกเลี่ยงการใช้ยาระบายต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเสียสมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย หรือทำให้ลำไส้เกิดความเคยชินกับการใช้ยาจนทำให้ขับถ่ายเองได้ลำบาก หากจำเป็นต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ สำหรับการป้องกันอาการท้องเสียทำได้โดยรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์ล้างมือบ่อย ๆ ผู้ที่มีอาการท้องเสียควรงดรับประทานอาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์นม อาหารที่มีไฟเบอร์สูงและไขมันสูง รวมถึงไม่ลืมดื่มน้ำให้เพียงพอหรือผงเกลือแร่สำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสีย (Oral Rehydration Salts: ORS) เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายสูญเสียไป อย่างไรก็ตาม หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่าย เช่น ท้องเสียไม่หยุด ลักษณะและสีของอุจจาระเปลี่ยนไป รู้สึกแสบขัดขณะปัสสาวะ ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ หรือถ่ายเป็นเลือด ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ผิวหนังมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายในลักษณะใดผิวหนังนอกจากจะทำหน้าที่กำจัดของเสียในรูปของเหงื่อแล้วยังทำหน้าที่ช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายอีกด้วย โดยความร้อนที่ขับออกจากร่างกายทางผิวหนังมีประมาณร้อยละ 87.5 ของความร้อนทั้งหมด การกำจัดของเสียทางผิวหนัง กากอาหารที่เหลือกจากการย่อย จะถูกลำเลียงผ่านมาที่ลำไส้ใหญ่
หน้าที่ของระบบขับถ่ายมีอะไรบ้างระบบขับถ่าย ทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดจากเมตาบอลิซึมของเซลล์ออกไปจากร่างกาย และช่วยควบคุมปริมาณของน้ำในร่างกายให้สมดุล อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายมีดังนี้
ระบบขับถ่ายเหงื่อมีอะไรบ้างเหงื่อเป็นของเสียที่ถูกขับออกทางผิวหนังของมนุษย์ผ่านทางรูขุมขน เหงื่อที่ถูกขับออกมาทางต่อมเหงื่อประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 99 สารประกอบอื่นๆ อีกร้อยละ 1 ได่แก่ โซเดียมคลอไรด์ สารอินทรีย์พวกยูเรีย แอมโมเนีย กรดแล็กติก และกรดอะมิโนอีกเล็กน้อย
โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายมีโรคใดบ้างโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องผูก. โรคริดสีดวงทวาร โรคริดสีดวงทวาร คือ ภาวะที่เบาะรองเคลื่อนตัวห้อยลงมาต่ำกว่าปกติ โป่งพองไม่ยุบตัวลงเมื่อขับถ่ายเสร็จ และอาจทำให้มีเลือดออกเวลาถ่ายอุจจาระได้ หากเป็นมากๆ อาจทำให้ผู้ป่วยทรมาน จนต้องเข้ารับการผ่าตัดได้. โรคหัวใจและหลอดเลือด ... . โรคลำไส้อุดตัน ... . โรคกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง. |