นาฏศิลป์ไทย มีประโยชน์ต่อตนเองอย่างไร

คุณค่าของนาฏศิลป์ไทย

5.1 เพื่อการสื่อสาร นาฏศิลป์ได้พัฒนาจากรูปลักษณ์ที่ง่าย และเป็นส่วนประกอบของคำพูดหรือวรรณศิลป์ ไปสู่การสร้างภาษาของตนเองขึ้นที่เรียกว่า “ภาษาท่า” โดยกำหนดกันในกลุ่มชนที่ใช้นาฏศิลป์นั้นๆ ว่าท่าใดมีความหมายอย่างไร

นาฏศิลป์ไทย มีประโยชน์ต่อตนเองอย่างไร

ภาพแสดงท่าทางโศกเศร้าเสียใจ  ( ณิชชา ชันแสง 2548 )

5.2 เพื่องานพิธีกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การฟ้อนรำเพื่อบูชาหรือบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การรำแก้บน การฟ้อนรำอีกลักษณะหนึ่งเป็นการฟ้อนรำบูชาครู ไม่ได้แก้บนใด ๆ แต่เป็นการฟ้อนบูชาครู หรือเป็นพุทธบูชา เช่น การรำถวายมือในพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ไทย

นาฏศิลป์ไทย มีประโยชน์ต่อตนเองอย่างไร

การรำในพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ไทย (ณิชชา ชันแสง 2548)

5.3 เพื่องานพิธีการต่าง ๆ ได้แก่ พิธีการต้อนรับแขกเมืองสำคัญ พิธีแห่เทวรูปที่เคารพประจำปี เพื่อเป็นสิริมงคล พิธีฉลองงานสำคัญ เช่น งานวันเกิด งานวันครบรอบ

5.4 เพื่อความบันเทิงและการสังสรรค์ นาฏศิลป์ให้ความบันเทิง
แก่ผู้มาร่วมงานต่าง ๆ เช่น การรำอวยพรในวันเกิด ในงานรื่นเริงต่าง ๆ

5.5 เพื่อการออกกำลังกายและพัฒนาบุคลิกภาพ การฝึกหัดรำไทยต้องอาศัยกำลังในการฝึกซ้อมและ ในการแสดงอย่างมากเหมือนกับได้ออกกำลังกายอยู่ตลอดเวลา เป็นการกระตุ้นหรือบำบัดส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ทำให้กระฉับกระเฉง ไม่เครียด เป็นการสร้างเสริมบุคลิกภาพและมีการทรงตัวที่สง่างามด้วย

5.6 เพื่อการอนุรักษ์และเผยแพร่ นาฏศิลป์เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชุมชน ในชุมชนหนึ่ง ๆ มักมีการสืบทอด และอนุรักษ์วัฒนธรรมทางนาฎศิลป์ของตนเอาไว้มิให้สูญหาย มีการสอนมีการแสดง และเผยแพร่นาฏศิลป์ไทยให้ท้องถิ่นอื่น หรือนำไปเผยแพร่ในต่างแดน

“นาฏศิลป์” หมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายดัวยท่าทางที่ประดิษฐ์คิดค้นออกมาเป็นแบบแผนงดงาม โดยอาศัยการขับร้องและการบรรเลงดนตรีร่วมด้วย เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ชมมีอารมณ์คล้อยตาม ซึ่งนาฏศิลป์ของไทยเรา ได้แก่ 1.ฟ้อนรำ ระบำ 2.ละคร 3.โขน 4.การแสดงพื้นเมือง

การเรียนนาฏศิลป์มีประโยชน์ต่อเด็กอย่างไร

1.การเรียนนาฏศิลป์ช่วยพัฒนาด้านร่างกาย ธรรมชาติของเด็กนั้นไม่ชอบอยู่นิ่ง แต่ชอบการเคลื่อนไหวร่างกายในการเดิน วิ่ง กระโดด ยักย้ายร่างกายไปมา ดังนั้น การที่เด็กได้ร่ายรำ ทำให้เด็กได้เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายทั้งกล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อใหญ่ให้สอดคล้องกับทำนอง จังหวะและเสียงดนตรี ซึ่งเป็นเหมือนการออกกำลังกายไปในตัว ส่งผลให้เด็กมีร่างกายที่แข็งแรงสมส่วน คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง

2.การเรียนนาฏศิลป์ช่วยพัฒนาด้านอารมณ์ ขณะที่เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายในการฟ้อนรำหรือเต้นระบำประกอบเพลงนั้น เด็กจะมีความสนุกสนาน ได้ปลดปล่อยความเครียด ส่งผลให้เด็กๆมีอารมณ์เบิกบานแจ่มใส กล้าแสดงออก มีความมั่นใจในตัวเอง

3.การเรียนนาฏศิลป์ช่วยพัฒนาด้านสังคม กิจกรรมนาฏศิลป์เป็นสื่อหนึ่งที่ทำให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี เพราะการที่เด็กๆ ได้ร่ายรำ เล่นละคร แสดงการละเล่นพื้นเมืองร่วมกับเพื่อน เป็นการที่เด็กๆ ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นในการเป็นผู้นำผู้ตาม และการทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายประกอบท่าทางที่พรัอมเพรียงไปกับเพื่อนๆ นั้น ก็เป็นการหล่อหลอมความสามัคคีให้เกิดขึ้นในตัวของเด็กอีกด้วย

4.การเรียนนาฏศิลป์ช่วยพัฒนาด้านสติปัญญา เช่น ในการฝึกให้เด็กๆ ฟ้อนรำนั้น เด็กๆ ต้องจดจำและแยกแยะท่าทางการรำแบบไทยให้ถูกตัอง เช่น ท่าจีบหงาย จีบคว่ำ ตั้งวง ตีไหล่ อีกทั้งต้องจดจำท่าทางต่างๆ ให้เข้ากับเนื้อร้องและจังหวะของเพลงอย่างถูกต้องแม่นยำและพรัอมเพรียงกับผู้อื่น จึงเป็นการช่วยพัฒนาทางด้านสติปัญญาในเรื่องของความจำและการคิดวิเคราะห์โดยตรง

ในปัจจุบันสำนักงานพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ร่างหลักสูตรการศึกษาพื้นฐานฉบับใหม่ โดยลดหมวดหมู่วิชาเรียนจาก 8 หมวด คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพละศึกษา ศิลปะ การงานอาซีพและเทคโนโลยีและภาษาต่างประเทศ เหลือเพียง 6 หมวด โดยยกเลิกหมวดศิลปะ/ดนตรี/นาฏศิลป์ โดยเอาวิชาเหล่านี้ไปรวมอยู่ในหมวดสังคมและความเป็นมนุษย์

ซึ่งตามความคิดเห็นของผู้เขียนเห็นว่า การจัดหมวดหมู่ของสาระวิชาเรียนใหม่อาจไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญเท่ากับการที่ “ยังคง” จัดให้เด็กๆ ได้เรียนวิชานาฏศิลป์อยู่ในโรงเรียนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษา เพราะนอกจากการเรียนนาฏศิลป์จะมีประโยชน์ต่อเด็กๆในการช่วยพัฒนาในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญาดังที่กล่าวในข้างต้นแล้ว วิชานาฏศิลป์ยังช่วยให้เด็กๆ ได้สัมผัสถึงความเป็นไทยที่นับวันจะหาได้ยากมากขึ้นผ่านการเรียนนาฏศิลป์ อันได้แก่ การร่ายรำทำจังหวะแบบไทยเดิม การขับร้องแบบไทย การบรรเลงดนตรีไทย การแต่งกายแบบไทย ซึ่งคือสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจที่ควรอนุรักษ์ให้ดำรงอยู่คู่กับประเทศชาติของเราสืบไป

เพลง “รำไทย” (2548) คำร้อง/ทำนอง ดร.แพง ชินพงศ์

เกิดมาบนแผ่นดินนี้ พวกเราน้องพี่ล้วนเป็นคนไทย
มีท่ารำไม่เหมือนชาติใด เป็นแบบไทยๆ ของเรานานมา
มาซิมาฟ้อนรำ มาซิมาฟ้อนเรา
พวกเราคนไทยชอบรำไทยเอย
รำไทยไม่ใช่เรื่องยาก
จีบหงาย จีบคว่ำ เอาละวา
ตั้งวง ตีไหล่ ยักซ้าย ย้ายขวา
ยกเท้าออกไปข้างหน้า
เชิญเพื่อนหญิงชายรำไทยด้วยกัน

ข้อมูลอ้างอิง: เพลง “รำไทย” ดร.แพง ชินพงศ์, ร้องเล่นเต้นสนุก, บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์, 2548
 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นาฏศิลป์ไทย มีประโยชน์ต่อตนเองอย่างไร

“ตรี-นันทรัตน์” ฉุนจัด! สพฐ.ถอดนาฎศิลป์ !

ทำเอาดาราสาว “ตรี-นันทรัตน์ ชาวราษฎร์” หรือ ผีนางรำ ในละคร “วิวาห์ป่าช้าแตก” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ในเครืออาร์เอส ฉุนหนักเมื่อได้ยินข่าวมาว่า สพฐ.มีนโยบายจะถอดวิชานาฎศิลป์ไทยออกจากระบบการศึกษา งานนี้สาวตรีขอเป็นแกนนำอีกหนึ่งคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะเชื่อว่าที่ตนได้ดีและเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ก็เพราะรำไทย ถ้าไม่รักษาไว้ต่อไปวัฒนธรรมของไทยคงสูญพันธุ์

ประโยชน์ของนาฏศิลป์มีอะไรบ้าง

การเรียนนาฏศิลป์ไทยไม่ใช่แค่การรักษาวัฒนธรรมของชาติเพียงแค่นั้น แต่มีประโยชน์อีกมากมาย หลายด้าน ช่วยพัฒนาด้านร่างกาย พัฒนาด้านอารมณ์ ด้านสติปัญญา ยังเป็นการบริหารร่างกายให้มีสุขภาพ สมบูรณ์ โดยเฉพาะวิชานาฏศิลป์นั้นขณะฝึกหัดยังนับว่าเป็นการออกกำาลังกายอย่างดีเยี่ยม ได้บริหารร่างกาย ทั่วทุกส่วน และช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพให้ ...

นาฏศิลป์มีประโยชน์ต่อตัวนักเรียนอย่างไร

1. เพื่อเป็นการปลูกฝังและส่งเสริมนิสัยทางศิลปะแก่ผู้เรียน 2. เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจยิ่งขึ้น 3. เพื่อเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่สืบไป 4. เพื่อเป็นการฝึกให้รู้จักกล้าแสดงออก

วิชานาฏศิลป์มีประโยชน์ในชีวิตประจำวันอย่างไร

ความสาคัญของนาฏศิลป์ และการละคร - เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อจิตใจของมนุษย์ - เป็นเครื่องโน้มน้าวอารมณ์โดยเฉพาะการแสดง ละครเป็นสิ่งที่ช่วยในการกล่อมเกลาจิตใจ - ให้แง่คิดและให้กาลังใจในการที่จะสร้างความ เจริญรุ่งเรืองในชาติสืบต่อไป แสดงถึงความเป็นอารยประเทศ

นาฏศิลป์มีส่วนช่วยพัฒนาสังคมได้อย่างไร

การเรียนนาฏศิลป์ช่วยพัฒนาด้านสติปัญญา เพื่อเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่สืบไป เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและเยาวชนมีความรู้ความเข้าใจในด้านนาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และคีตศิลป์ ตลอดจนศิลปะพื้นเมืองที่ถูกต้อง และเกิดความรักความหวงแหนศิลปวัฒนธรรมประจำชาติ