ช่วงนี้ Facebook มีนโนบายให้ทำ Facebook Protect กับบัญชีของเรา หลายคนติดปัญหาการยืนยันตัวตนสองชั้น ซึ่งคนที่เลือกการยืนยันแบบ SMS จากเบอร์โทรมือถือ แต่ sms ดันไม่ส่งมา ไม่มีข้อความยืนยันส่งมา ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเกิดจากอะไร และต้องแก้ไขเบื้องต้นอย่างไรได้บ้าง มาดูวิธีการแก้ไขที่พอคิดออกกัน Show ในกรณีที่ส่งไม่ได้ อาจมีปัญหาอยู่ 3 อย่างใหญ่ๆด้วยกันไดแก่ คุณส่งคำขอส่งข้อความด้วยเบอร์โทรศัพท์ที่ผิดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ใส่เบอร์โทรศัพท์การยืนยันตนตัวของ Facebook ถูกต้องรูปแบบเบอร์โทรหรือไม่ รูปแบบหากใส่เต็มๆเบอร์ของเราแล้ว อาทิเช่น 0811234567 แต่ไม่ได้ ให้ลองตัด 0 ออกไป และให้ใส่แค่ 811234567 เพราะตอนเพิ่มเบอร์มันมีรหัสของประเทศอยู่แล้ว เพราะถ้าเป็นรูปแบบเบอร์สากลจะเป็นแบบ +66811234567 ประมาณนี้ การใส่แบบตัด 0 ออกไปจึงถือว่าเป็นแบบสากลที่สุด แต่ส่วนใหญ่ใส่เต็มรูปแบบก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้ให้ลองใส่แบบสากลดู กดส่งรหัสบ่อยเกินไปหากมีการส่งคำขอให้ส่ง sms ถี่เกินไปทางเฟสบุ๊คอาจมองว่าเราเป็นสแปม อาจทำให้เราโดนปิดกั้นช่วงขณะหนึ่ง ให้รอสักระยะแล้วส่งใหม่ภายหลัง อาจมีการปิดกันการส่ง sms ด้วยเบอร์โทรนี้เอาไว้หลายคนติดปัญหานี้กันเยอะว่า มันไม่ส่งมาเพราะเหมือนว่าจะมีการปิดกั้นเอาไว้ไม่ให้ facebook ส่งข้อความหาเราได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร อาจทำการแก้ไขด้วยการ ลองสมัครบริการ sms รับข่าวสารจากทางเฟสบุ๊ค (จะมีค่าบริการ) ต้องบอกก่อนว่าวิธีนี้อาจเสียค่าบริการ เพราะมันเป็นบริการรับข่าวสารจากทาง Facebook มันมีให้ทดลองใช้ ไม่รู้ว่าจะอยู่ในช่วงให้ทดลองหรือเปล่า แต่หลายคนลองเปิดใช้บริการนี้แล้ว sms ของ facebook อื่นๆจะส่งมาหาเราได้ปกติ เปิดใช้งานแล้วสามารถปิดได้ ใครอยากลองให้ลองได้ที่
หรือให้ลองติดต่อผู้ให้บริการเบอร์มือถือของคุณดูว่าสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้หรือไม่ บอกไปประมาณว่าไม่ได้รับ การยืนยัน sms จากทาง Facebook เพราะมีผู้ใช้หลายท่านติดต่อศูนย์บริการแล้วสามารถแก้ไขได้ ก่อนอื่นให้เรา login facebook ตามปกติ แต่ให้เราเลือก Need another way to authenticate? เพราะเราไม่มี code 6 หลัก ที่เจนจาก google authenticator ใส่ email ที่สมัครfacebookไว้ กด Send จากนั้นจะมี code ส่งไปที่email เอาcodeที่ได้มากรอกแล้วกด Send จากนั้นให้เลือกวิธีการยืนยันตัวตน แนะนำให้เลือก ยืนยันโดยใช้บัตรประชาชน จากนั้นให้ทำการอัพโหลดรูป ในขั้นตอนอัพโหลดรูปไม่มีให้ดูนะครับ แค่อัพโหลดรูปให้เสร็จ เมื่ออัพโหลดรูปเสร็จก็เป็นอันเรียบร้อย หลังจากนั้นก็รอลุ้นกันว่าเฟสจะส่งรหัสกู้เฟสให้ หรือโดนรีเจค
Facebook Comments Box The short URL of the present article is: https://mistercheckman.com/Oe33d เจ็บคอ (Sore Throat) เป็นอาการเจ็บ คัน หรือระคายเคืองที่ลำคอ และอาจส่งผลให้ยากต่อการกลืนอาหารหรือดื่มน้ำ บางรายอาจพบอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คอแห้ง เสียงแหบ หรือกลืนลำบาก ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคอ ส่วนใหญ่แล้วอาการมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายได้เองในเวลาไม่กี่วันหากไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน แม้อาการเจ็บคอมักไม่ค่อยรุนแรง แต่หากเจ็บคอนานเกิน 1 สัปดาห์หรือพบอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น เสียงแหบนานเกิน 2 สัปดาห์ หายใจลำบาก น้ำลายหรือเสมหะปนเลือด ปวดตามข้อ เจ็บหู มีผื่นขึ้น มีไข้ขึ้นสูง พบก้อนที่คอ หรือมีอาการบวมบริเวณลำคอและใบหน้า ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม สาเหตุของอาการเจ็บคออาการเจ็บคอเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อไวรัสอาการเจ็บคออาจเป็นผลมาจากการป่วยเป็นโรคติดเชื้อไวรัสบางชนิด โดยโรคที่พบได้บ่อย เช่น
การติดเชื้อแบคทีเรียอาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียอาจบ่งบอกถึงโรคต่าง ๆ ได้ดังนี้
อาการเจ็บคอที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อนอกจากการติดเชื้อ อาการเจ็บคอยังอาจเป็นผลมาจากสาเหตุอื่น ๆ ได้เช่นกัน โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย เช่น
การวินิจฉัยอาการเจ็บคอแพทย์จะสอบถามอาการและใช้ไฟฉายส่องดูบริเวณลำคอ หู และโพรงจมูก เพื่อตรวจหาสัญญาณที่บ่งบอกถึงอาการคออักเสบ เช่น แผลอักเสบ จุดแดง จุดขาวในคอหรือช่องปาก และอาจสัมผัสบริเวณคอเพื่อตรวจดูว่ามีก้อนที่คอหรือไม่ รวมถึงตรวจฟังเสียงการหายใจผู้ป่วยด้วยหูฟังทางการแพทย์ (Stethoscope) หลังการตรวจในเบื้องต้น แพทย์อาจมีการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม โดยเก็บสารคัดหลั่งจากลำคอของผู้ป่วยเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย บางรายอาจต้องส่งตรวจด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เพื่อหาสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคออย่างแน่ชัด เช่น ส่งตรวจกับแพทย์เฉพาะทางด้านหู คอ จมูก การรักษาอาการเจ็บคอแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาผู้ป่วยแต่ละคนแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการเจ็บคอ อาการเจ็บคอจากการติดเชื้อหากอาการเจ็บคอมาจากการติดเชื้อไวรัส แพทย์จะไม่ให้ผู้ป่วยรับประทานยาฆ่าเชื้อ เนื่องจากยาฆ่าเชื้อมักจะใช้รักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น และผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักค่อย ๆ ดีขึ้นและหายได้เองภายใน 5–7 วัน หรือแพทย์เพียงแนะนำให้รับประทานยาตามอาการเท่านั้น เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดอย่างยาพาราเซตามอล อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินกับทารก เด็กเล็ก และเด็กวัยรุ่น เพราะเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการราย (Reye’s Syndrome) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่อาจส่งผลเสียต่อตับและสมองของเด็กได้ ในกรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาอะม็อกซี่ซิลลิน (Amoxicillin) ยาคลินดามัยซิน (Clindamycin) ยาเซฟาเลกซิน (Cephalexin) ซึ่งชนิดของยาจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา ผู้ป่วยควรรับประทานยาปฏิชีวนะตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัดแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว เนื่องจากการหยุดยาก่อนกำหนดอาจทำให้อาการแย่ลง หรือเชื้อแบคทีเรียยังหลงเหลืออยู่จนแพร่กระจายไปยังอวัยวะบริเวณอื่นได้ อาการเจ็บคอจากปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่การติดเชื้อแพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาตามสาเหตุหรือโรคที่เป็นอยู่ เช่น การใช้ยาต้านฮีสทามีนร่วมกับหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ การใช้ยายับยั้งการหลั่งกรดในผู้ป่วยที่เป็นกรดไหลย้อน หรือแพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัด การทำเคมีบำบัด หรือรังสีรักษา เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีเนื้องอกบริเวณคอ การดูแลตนเองเมื่อมีอาการเจ็บคอนอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว ผู้ป่วยยังสามารถบรรเทาอาการเจ็บคอด้วยตัวเองที่บ้านได้ดังนี้ ใช้น้ำเกลืออมกลั้วคอและบ้วนปากเด็กอายุมากกว่า 6 ปีและผู้ใหญ่อาจกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ เพื่อให้น้ำเกลือช่วยล้างสิ่งสกปรกและขับเสมหะ โดยสามารถใช้ผลิตภัณฑ์น้ำเกลือสำเร็จรูปที่สะอาด ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน ไม่มีวัตถุกันเสีย ไพโรเจน และสารเติมแต่ง เพื่อป้องกันเนื้อเยื่อในช่องปากเกิดความเสียหาย รวมถึงมีความเข้มข้นเป็นไอโซโทนิก (Isotonic) หรือมีส่วนผสมของโซเดียมคลอไรด์ 0.9% เพื่อความสมดุลกับน้ำในเซลล์ของร่างกาย ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์น้ำเกลือ ควรเลือกน้ำเกลือที่บรรจุในขวดใส ซึ่งจะช่วยให้สังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมที่อาจปะปนเข้าไปในขวดได้ง่ายขึ้นทั้งก่อนและหลังเปิดใช้งาน บรรจุภัณฑ์มีฝาเกลียวล็อกปิดสนิทป้องกันการปนเปื้อนก่อนเปิด มีวันผลิตและวันหมดอายุแสดงบนผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงปริมาณการใช้งานให้เหมาะสม หากใช้น้ำเกลือในปริมาณไม่มากแต่ละครั้งอาจจะเลือกขวดขนาดเล็ก แต่หากต้องใช้น้ำเกลืออย่างต่อเนื่องอาจจะเลือกเป็นขนาดใหญ่ขึ้นมา เพื่อคงคุณภาพของน้ำเกลือไว้ ดื่มน้ำให้เพียงพอการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในลำคอ และป้องกันภาวะขาดน้ำ แต่ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เนื่องจากส่วนผสมเหล่านี้อาจส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำได้ วิธีอื่น ๆ
ภาวะแทรกซ้อนของอาการเจ็บคออาการเจ็บคอที่เกิดจากติดเชื้อแบคทีเรียหรือคออักเสบที่ไม่ได้รับการรักษาโดยยาปฏิชีวนะ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น การแพร่กระจายของเชื้อไปสู่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายอย่างหูชั้นกลางหรือโพรงจมูกต่อไป การป้องกันอาการเจ็บคอในการป้องกันอาการเจ็บคอในเบื้องต้น อาจทำได้โดยการป้องกันตนเองจากเชื้อโรค และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการเจ็บคอได้ เช่น
|