4.บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 เกี่ยวกับมนุษยชน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2492จนถึงพ.ศ.2534 ได้นำเนื้อความแห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติมาบัญญัติรวมไว้ แต่มิได้มีมีการบัญญัติคำว่า “สิทธิมนุษยชน” ไว้เลยสิทธิมนุษยชนเพิ่งจะถูกนำมาบัญญิติไว้เป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในหมวดที่6 รัฐสภา ส่วนที่ 8 ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาตรา 199 ถึงมาตรา 200 จนกระทั่งมาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ก็ได้ให้ความคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่เป็นรูปธรรมมีความชัดเจนมากกว่าฉบับอื่นๆที่ผ่านมาโดยมีการบัญญิติไว้ในหมวด3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยและบัญญัติเกี่ยวกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไว้ในหมวด11 องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ส่วนที่2 ว่าด้วยองค์กรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และ257 โดยมีรายละเอียดดังนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชาติ ประกอบด้วยประธานกรรมการหนึ่งคน และกรรมการอื่นอีกหกคน ซึ่งพนะหมากษัตริย์ตรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้แทนจากองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนด้วย คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การสรรหา การเลือก กาดถอดถอน และการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีวาระการดำรงตำแหน่งหกปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นหน่วยงานที่เป็นอิสระการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น ทั้งนี้ตามกฎหมายบัญญัติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ 1.ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกรำทำ อันเป็นการละเมืดสิทธิมนุษยชน หรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตราการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำดังกล่าว เพื่อดำเนินการในกรณีที่ปรากฏที่ว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนิการต่อไป 2.เสนอเรื่องงพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่เห็นชอบตามที่ได้มีผู้ร้องเรียนว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษบชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 3.เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง ในกรณีที่เห็นชอบตามผู้ร้องเรียนว่ากฎ คำสั่ง หรือกระทำการใดในทางปกครองกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปํญญาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย 4.ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหายเมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควร เพื่อแก้ไขปํญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม ทั้งนี้เป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ 5.เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมายต่อรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 6.ส่งเสริมการศึกษาการวิจัย และการเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน 7.ส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยราชการ องค์กรเอกชนและองค์อื่นในด้านสิทธิมนุษยชน 8.จัดทำรายงานประจำปีเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชภายในด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศและเสนอต่อรัฐสภา 9.อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ในการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชนประกอบด้วย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคล หรือเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ รวมทั้งมีอำนาจอื่นเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ |