1. Cyclosis เป็นการไหลเวียนภายในเซลล์ของโครงสร้างใด
ข. ไมโทคอนเดรีย ค. ไซโทพลาซึม ง. ผลึกต่าง ๆ 2. โครงสร้างใดมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับ Amoeboid Movement และการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อ
ข. Microtubule ค. Microfilament ง. Microfiber 3. จะพบการเคลื่อนไหวแบบอะมีบาได้ในเซลล์ชนิดใด ก. ราเมือก พอลเลนทิวบ์ 4. การเคลื่อนไหวแบบ Amoeboid Movement นอกจากพบในอะมีบาแล้วพบได้ในเซลล์พวกใด ก. เซลล์เม็ดเลือดแดง 5. การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของ Sol กับ Gel เป็นการทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของโพรโทซัวชนิดใด ก. ยูกลีนา 6. Flagella นอกจากจะพบในพวกยูกลีนาแล้วยังพบได้ในเซลล์ชนิดใด ก. เซลล์แบคทีเรีย 7. การที่ Cilia ทำงานประสานกันได้เพราะมีการติดต่อโดยทางใด ก. Nerve net 8. การจัดตัวของ Microtubules ใน Cilia และ Flagella เป็นแบบใด ก. 9 + 0 9. การเคลื่อนที่ของพารามีเซียมโดยอาศัยการโบกพัดของโคนซีเลียจะหยุดเมื่อตัดสิ่งใดออก ก. Basal body 10. การเคลื่อนไหวแบบที่เกิดจากการไหลของเอนโดพลาสซึมเรียกการเคลื่อนที่แบบนี้ว่าอะไร ก. การเคลื่อนไหวแบบอะมีบา (Amoeboid Movement ) บทที่ 1 การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต amoeboid movement และ pseudopoda คือ keyword สำคัญ สำหรับการสอบ โดยจะถามว่าเซลล์ใดสามารถเคลื่อนที่เเบบนี้ได้บ้าง นัั้นคือ เซลล์เม็ดเลือดขาว อะมีบา เป็นต้น การเคลื่อนไหวโดยอาศัยแฟลเจลลัมหรือซิเลีย ซึ่งเป็นโครงสร้างเล็กๆ ที่ยื่นออกมาจากเซลล์สามารถโบกพัดไปมาได้ ทำให้สิ่งมีชีวิตเคลื่อนที่ไปได้ - มีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ ยื่นยาวออกจากเซลล์ของพืช หรือสัตว์เซลล์เดียว หรือเซลล์สืบพันธุ์ ใช้โบกพัดเพื่อให้เกิดการเคลื่อนที่ภายในน้ำหรือของเหลว พบในพารามีเซียม พลานาเรีย โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของ cilia และ flagellum จะเป็น microtubule ที่มีโครงสร้าง 9+0 และ 9+2 ตามงตำแแหน่งที่มีการจัดวาง การเคลื่อนที่ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 1. การเคลื่อนที่ของไส้เดือนเกิดจากการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อวงกลม และกล้ามเนื้อตามยาวหดตัวและคลายตัวเป็นระลอกคลื่นจากทางด้านหน้ามาทางด้านหลังทำให้เกิดการเคลื่อนที่ไปทางด้านหน้า ไส้เดือนมีกล้ามเนื้อ 2 ชุด คือ กล้ามเนื้อวงกลมรอบตัว อยู่ทางด้านนอก และกล้ามเนื้อตามยาว ตลอดลำตัวอยู่ทางด้านใน นอกจากนี้ไส้เดือนยังใช้เดือยซึ่งเป็นโครงสร้างเล็ก ๆ ที่ยื่นออกจากผนังลำตัวรอบปล้องช่วยในการเคลื่อนที่ด้วย 2. การเคลื่อนที่ของพลานาเรีย 4. การเคลื่อนที่ของหมึกหมึกเคลื่อนที่โดยการหดตัวของกล้ามเนื้อลำตัว พ่นน้ำออกมาจาก ไซฟอน ซึ่งอยู่ทางส่วนล่างของส่วนหัว ทำให้ตัวพุ่งไปข้างหน้าในทิศทางที่ตรงข้ามกับทิศทางของน้ำ นอกจากนี้ส่วนของไซฟอนยังสามารถเคลื่อนไหวได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางของน้ำที่พ่นออกมา และยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางของการเคลื่อนที่ด้วย ส่วนความเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับความแรงของการบีบตัวของกล้ามเนื้อลำตัว แล้วพ่นน้ำออกมา หมึกมีครีบอยู่ทางด้านข้างลำตัว ช่วยในการทรงตัวให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เหมาะสม 5. ดาวทะเล มีระบบการเคลื่อนที่ด้วยระบบท่อน้ำ ระบบท่อน้ำประกอบด้วย มาดรีโพไรต์สโตนแคเนล ริงแคแนล เรเดียลแคแนล ทิวบ์ฟีท แอมพูลลา ดาวทะเลเคลื่อนที่โดยน้ำเข้าสู่ระบบท่อน้ำดรีโพไรต์และไหลผ่านท่อวงแหวนรอบปากเข้าสู่ท่อเรเดียลแคแนลและทิวบ์ฟีท เมื่อกล้ามเนื้อที่แอมพูลลาหดตัวดันน้ำไปยังทิวบ์ฟีท ทิวบ์ฟีทจะยืดยาวออก ไปดันกับพื้นที่อยู่ด้านล่างทำให้เกิดการเคลื่อนที่ เมื่อเคลื่อนที่ไปแล้วกล้ามเนื้อของทิวบ์ฟีทจะหดตัวทำให้ทิวบ์ฟีทสั้นลง ดันน้ำกลับไปที่แอมพูลลาตามเดิม การยืดหดของทิวบ์ฟีท หลายๆ ครั้งต่อเนื่องกันทำให้ดาวทะเลเกิดการเคลื่อนที่ไปได้ 6. แมลง เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
แต่แมลงมีโครงร่างภายนอก ซึ่งเป็นสารพวกไคทินมีลักษณะเป็นโพรง เกาะกันด้วยข้อต่อซึ่งเป็นเยื่อที่งอได้ ข้อต่อข้อแรกของขากับลำตัวเป็นข้อต่อแบบ บอลแอนด์ซอกเก็ต ส่วนข้อต่อแบบอื่นๆ เป็นแบบบานพับ การเคลื่อนไหวเกิดจากทำงานสลับกันของ กล้ามเนื้อเฟล็กเซอร์ และเอ็กเทนเซอร์ ซึ่งเกาะอยู่โพรงไคทินนี้ โดย กล้ามเนื้อเฟล็กเซอร์ ทำหน้าที่ในการงอขา และกล้ามเนื้อเอ็กเทนเซอร์ ทำหน้าที่ในการเหยียดขาซึ่งการทำงานเป็นแบบแอนทาโกนิซึมเหมือนกับคนแมลงมีระบบกล้ามเนื้อเป็น 2 แบบ คือ การเคลื่อนที่ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง การเคลื่อนที่ของคน 1. ระบบโครงกระดูกและข้อต่อ 1. กล้ามเนื้อลาย ( skeletal
muscle ) เป็นกล้ามเนื้อชนิดเดียวที่ยึดเกาะกับกระดูก ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะเป็น ทรงกระบอกยาว เรียกว่า เส้นใยกล้ามเนื้อ ( muscle fiber ) ถ้าดูด้วยกล้องจุลทรรศน์จะมองเห็น เป็นแถบลาย สีเข้ม สีอ่อน สลับกันเห็นเป็นลายตามขวาง แต่ละเซลล์มีหลายนิวเคลียส การทำงานอยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจ ระบบประสาทโซมาติก (voluntary muscle) เช่น กล้ามเนื้อที่ แขน ขา หน้า ลำตัว เป็นต้น กล้ามเนื้อไบเซพ (biceps) และกล้ามเนื้อไตรเซพ (triceps)ปลายข้างหนึ่งของกล้ามเนื้อทั้งสองยึดติดกับกระดูกแขนท่อนบน ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งยึดติดอยู่กับกระดูกแขนท่อนล่าง เมื่อกล้ามเนื้อ ไบเซพหดตัว ทำให้แขนงอตรง บริเวณข้อศอก ขณะที่แขนงอ กล้ามเนื้อไตรเซพจะคลายตัว แต่ถ้ากล้ามเนื้อไบเซพคลายตัวจะทำให้แขนเหยียดตรงได้ ซึ่งขณะนั้นกล้ามเนื้อไตรเซพจะหดตัว ดังนั้นกล้ามเนื้อไบเซพจึงเป็นกล้ามเนื้อเฟล็กเซอร์ ส่วนกล้ามเนื้อไตรเซพ จะเป็นกล้ามเนื้อเอ็กซ์เทนเซอร์ วิดีโอ YouTubeวิดีโอ YouTubeบทที่ 2 ระบบประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก การรับรู้และการตอบสนอง โพรโทซัว เช่น พารามีเซียม ไม่มีเซลล์ประสาท แต่มีเส้นใยประสาทงานควบคุมการทำงานของซิเลีย ไฮดรา มีเซลล์ประสาทมาเชื่อมโยงกันเป็นร่างแหประสาท เมื่อถูกกระตุ้นที่จุดหนึ่ง กระแสประสาทจะแผ่ออกทุกทิศทาง พลานาเรีย มีระบบประสาทแบบชั้นบันได มีปมประสาท หรือสมอง 2 ปม มีเส้นประสาทใหญ่ 2 เส้น ทอดขนานตามความยาว 2 ข้างลำตัว และมีเส้นประสาทตามขวาง ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย และแมลง มีเส้นประสาทอยู่ทางด้านท้อง ตลอดลำตัว คนและสัตว์มีกระดูกสันหลัง มีสมอง และไขสันหลัง และมีเส้นประสาทอยู่ด้านหลังลำตัว โดยอยู่ในช่องของกระดูกสันหลัง ระบบประสาทประกอบด้วยเซลล์ประสาท หรือนิวรอน เซลล์ประสาท เซลล์ประสาทประกอบด้วยตัวเซลล์ และใยประสาท ตัวเซลล์เป็นส่วนของไซโทพลาซึมและนิวเคลียส ใยประสาทแบ่งเป็นเดนไดรต์กับแอกซอน เดนไดรต์เป็นใยประสาทนำกระแสประสาทเข้าตัวเซลล์ มีใยประสาทสั้นกว่า จำนวนมากกว่า แตกแขนงมากกว่า ส่วนแอกซอนนำกระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ มักมีใยประสาทเส้นเดียวและยาวมาก แอกซอนมีเยื่อไมอีลินที่สร้างจากเซลล์ชวันน์มาหุ้ม ถ้ามีเยื่อไมอีลินมาหุ้มหนาแน่นมาก เรียกว่า ใยประสาทที่มีเยื่อหุ้ม จะเห็นเป็นสีขาวเพราะเป็นสารไขมันและเป็นฉนวนไฟฟ้า การแบ่งชนิดของเซลล์ประสาท แบ่งตามโครงสร้าง 1. เซลล์ประสาทชั้นเดียว (unipolar neuron) มีแอกชอนออกจากตัวเซลล์เพียงเส้นเดียว พบในเซลล์ประสาทที่หลั่งฮอร์โมน และยังมีเซลล์ประสารทขั้วเดียวเทียม คือมีเส้นใยแยกจากตัวเซลล์เส้นเดียว แล้วจึงแยกเป็น 2 เส้นใย 2. เซลล์ประสาทสองขั้ว มีใยประสาท 2 เส้นออกจากตัวเซลล์ พบที่เรตินาของลูกตา เซลล์ประสาทรับเสียงที่หู เซลล์ประสาทรับกลิ่นที่จมูก 3. เซลล์ประสาทหลายขั้ว มีเดนไดรต์แยกออกจากตัวเซลล์มากมาย แต่มีแอกชอนเพียง 1 เส้นใย พบในเซลล์ประสาท ประสานงานและเซลล์ประสาทสั่งการที่สองและไขสันหลัง แบ่งตามหน้าที่การทำงาน 1. เซลล์ประสาทรับความรู้สึก รับความรู้สึกจากอวัยวะรับความรู้สึกส่งไปยังระบบประสาทส่วนกลาง และส่งมายังเซลล์ประสาทสั่งการ
อาจจะผ่านเซลล์ประสาทประสาทงานหรือไม่ก็ได้ เดนไดรต์อยู่ที่ผิวหนัง ตา หู จมูก ลิ้น ตัวเซลล์อยู่ที่ปมประสาทรากบนของไขสันหลัง ใยประสาทมีการลำเลียงประจุไฟฟ้า 2 แบบ คือ แบบ passive transport เป็นการแพร่ที่ไม่ใช่พลังงาน แพร่ผ่านช่องโปรตีนตัวพาที่เยื่อหุ้มเซลล์ประสาม ได้แก่ ช่องโซเดียว และ แบบ active transport เป็นการแพร่ผ่านช่องโปรตีนตัวพาที่ต้องใช้ ATP ผ่านช่อง sodium potassium pump ในสภาพที่ไม่มีกระแสประสาทเคลื่อนที่ ภายนอกเซลล์มีประจุไฟฟ้าบวก เนื่องจากมี Na+ จำนวนมากอยู่นอกเซลล์ ส่วนภายในเซลล์มีประจุลบเนื่องจากมี K+ จำนวนมาก และมีอินทรียสารพวกโปรตีนและกรดนิวคลีอีกต่าง ๆ ซึ่งมีประจุลบ การถ่ายทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาท เมื่อกระแสประสาทเคลื่อนมายังปลายแอกซอน ถุงบรรจุสารสื่อประสาทจเคลื่อนชิดเยื่อหุ้มเซลล์ที่เซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์ แล้วปล่อยสารสื่อประสาทออกมาเข้าช่องไซแนปส์ แล้วรวมกับหน่วยรับสารสื่อประสาทที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ ทำให้ช่องโซเดียมเปิดออก เกิดดีโพลาไรเซชันที่เยื่อหุ้มเซลล์ประสาท กระแสประสาทจึงวิ่งไปสู่เซลล์ถัดไป ศูนย์ควบคุมระบบประสาท คนและสัตว์ชั้นสูงมีศูนย์กลางของระบบประสาท ได้แก่ สมองและไขสันหลัง ซึ่งพัฒนามาจากเนื้อเยื่อชั้นนอกของเอ็มบริโอ แล้วพัฒนาเป็นหลอดประสาทหรือนิวรัลทิวบ์ เป็นท่อยาวไปอยู่ด้านหลังลำตัว ส่วนหน้าพองเป็นสมอง ส่วนท้ายเป็นไขสันหลังอยู่ในโพรงกระดูกสันหลัง สมอง สมองมีเซลล์ประสาทประสานงานจำนวนมาก สมองของสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นสูงมีเนื้อชั้นนอกเรียก เนื้อสีเทา เป็นที่รวมตัวเซลล์ประสาทและแอกซอนที่ไม่มีเยื่อไมอีลิน เนื้อชั้นในเรียก เนื้อสีขาว มีไขมันและใยประสาทที่มีเยื่อไมอีลินหุ้ม ซึ่งตรงกันข้ามกับไขสันหลังที่มีชั้นนอกเป็นเนื้อสีขาว และชั้นในเป็นเนื้อสีเทา สมองแบ่งเป็น สมองส่วนหน้า (fore brain หรือ prosencephalon) ประกอบด้วย – cerebrum เป็นสมองที่ใหญ่ที่สุด มีทั้งส่วนสั่งการที่ควบคุมการทำงานและส่วนรับความรู้สึก ในคนจะเห็นรอยหยักชัดเจนและมีมากกกว่าสัตว์ชั้นต่ำ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ – thalamus เป็นศูนย์รวมและแยกกระแสประสาทไปยังสมองส่วนต่าง ๆ และศูนย์รับรู้และตอบสนองความเจ็บปวด – hypothalamus สร้างฮอร์โมนหลายชนิดไปควบคุมการสร้างฮอร์โมนของต่อมใต้สมองส่วนหน้าและสร้างฮอร์โมนประสาท – olfactory bulb เป็นศูนย์กลางการดมกลิ่น แต่เจริญไม่ดีในคน สมองส่วนกลาง (mid brain หรือ mesencephalon) ประกอบด้วย – optic lobe เกี่ยวกับการมองเห็น การเคลื่อนไหวนัยน์ตา และรับความรู้สึกจากหู จมูก มีขนาดเล็กสุดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม สมองส่วนท้าย (hind brain หรือ rhombence[halon) ประกอบด้วย – pons เป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่าง cerebrum กับ cerebellum และระหว่าง cerebellum กับไขสันหลัง ควบคุมการเคลื่อนไหวการเคี้ยว การหลั่งน้ำลาย กล้ามเนื้อที่ใบหน้า การหายใจ – medulla oblongateta อยู่ท้ายสุดติดกับไขสันหลัง เป็นศูนย์ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ศูนย์ควบคุมการหายใจ การหมุนเวียนเลือด ความดันเลือด การเต้นของหัวใจ การกลืน – cerebellum สมองส่วนท้ายทอย ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายให้ต่อเนื่อง ตรงสมองส่วนกลาง พอนส์ และเมดัลลาออบลองกาตา 3 ส่วน รวมกันเรียกว่า ก้านสมอง ภายในก้านสมองพบกลุ่มเซลล์ประสาท และใบประสาทสมองซีกซ้ายควบคุมร่างกายซีกขวา ส่วนสมองซีกขวาควบคุมร่างกายซีกซ้าย เส้นประสาทสมอง คือ เส้นประสาทที่ออกจากสมองในปลา และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก มีเส้นประสาทสมอง 10 คู่ สัตว์เลื้อยคลาน นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมีเส้นประสาทสมอง12 คู่ เส้นประสาทสมองของคนมี 12 คู่ คู่ที่ 1, 2, 8 เป็น sensory nerve คู่ที่ 3, 4, 6, 11, 12 เป็น motor nerve คู่ที่ 5, 7, 9, 10 เป็น mixed nerve การทำงานของระบบประสาท ระบบประสาทโซมาติก ระบบประสาทโซมาติกทำงานตามคำสั่งของสมองส่วนซีรีบรัมและไขสันหลัง เกิดกับหน่วยปฏิบัติงานที่บังคับได้ คือ กล้ามเนื้อลายเป็นส่วนใหญ่ จึงมักอยู่ในอำนาจจิต แต่ก็อาจมีการตอบสนองของกล้ามเนื้อลายที่เป็นกิริยารีเฟล็กซ์ โดยไม่ผ่านสมอง เพียงแต่ รับกระแสประสาทเข้าไขสันหลัง แล้วส่งคำสั่งออกไปยังอวัยวะหรือกล้ามเนื้อ เช่น กิริยารีเฟล็กซ์ที่หัวเข่า อาศัยเซลล์ประสาทเพียง 2 เซลล์ คือ เซลล์ประสาทรับความรู้สึก และเซลล์ประสาทนำคำสั่ง ระบบประสาทอัตโนวัติ ระบบประสาทอัตโนวัติควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในที่บังคับไม่ได้ ได้แก่ กล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหัวใจ อวัยวะของทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบขับถ่าย ระบบต่อมไร้ท่อ แบ่งเป็นระบบซิมพาเทติกและระบบพาราซิมพาเทติกที่ทำงานตรงข้ามกัน การทำงานของระบบประสาทอัตโนวัติ ประกอบด้วยหน่วยรับความรู้สึก ส่วนใหญ่อยู่ที่อวัยวะภายในหรือผิวหนัง โดยมีเซลล์ประสาทรับความรู้สึกรับกระแสประสาทผ่านรากบนของเส้นประสาทไขสันหลังเข้าสู่ไขสันหลัง แล้วจึงมีเซลล์ประสาทออกจากไขสันหลังไปไซแนปส์กับเซลล์ประสาทนำคำสั่งที่ปมประสาทอัตโนวัติ เซลล์ประสาทที่ออกจากไขสันหลังมาที่ปมประสาทอัตโนวัติ เรียกว่า เซลล์ประสาทก่อนไซแนปส์และเซลล์ประสาทที่นำคำสั่งออกจากปมประสาทอัตโนวัติ เรียกว่า เซลล์ประสาทหลังไซแนปส์ วงจรการทำงานของระบบประสาทอัตโนวัติต่างกันกับการทำงานของระบบโซมาติกที่ระบบประสาทอัตโนวัติ ประกอบด้วยหน่วยรับความรู้สึก เซลล์ประสาทรับความรู้สึก เซลล์ประสาทสั่งการหรือนำคำสั่ง และหน่วยปฏิบัติงาน การนำกระแสประสาทเป็นวงจรรีเฟล็กซ์แอกชันเช่นเดียวกับระบบประสาทโซมาติกแตกต่างกันที่ระบบประสาทอัตโนวัติมีเซลล์ประสาทนำคำสั่ง 2 เซลล์เสมอ คือ นัยน์ตากับการมองเห็น ลูกนัยน์ตาประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ ชั้นสเคลอรา ชั้นคอรอยด์ และชั้นเรตินา - ชั้นสเคลอรา (sclera) หรือตาขาว อยู่นอกสุด ด้านหน้าโปร่งแสงและนูนออกมาเป็นกระจกตา การบริจาคดวงตาคือการบริจาคกระจกตา - ชั้นคอรอยด์ (choroid) มีหลอดเลือดและรงควัตถุจำนวนมาก ด้านหน้าเป็นม่านตา ที่มีสีต่างกันตามรงควัตถุ ตรงกลางม่านตาเป็นรูพิวพิล หรือรูม่านตา ให้แสงผ่านมากน้อยตามการหดตัวคลายตัวของม่านตา ถ้ามีแสงจ้าม่านตาจะคลายตัวในแนวรัศมี ทำให้รูพิวพิลปิดแคบ ถ้ามีแสงสลัวม่านตาจะหดตัวในแนวรัศมี ทำให้รูพิวพิลเปิดกว้าง ม่านตาเปรียบเหมือนไดอะแฟรมของกล้องถ่ายรูป - ชั้นเรตินา (retina) มีเซลล์รูปแท่ง รับภาพขาวดำแม้ในที่แสงสว่างน้อย และเซลล์รูปกรวย รับภาพสีต้องมีแสงสว่างมากที่กึ่งกลางเรตินามีจุดโฟเวียรับภาพชัดเจนที่สุด เพราะมีเซลล์รูปกรวยมากกว่าบริเวณอื่น กลไกการมองเห็น ภายในเซลล์รูปแท่งมีสารสีม่วงแดง เรียกว่า โรดอพซิน ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของเรตินาล ซึ่งเป็นรูปอัลลีไฮด์ของวิตามินเอกับโปรตีนออพซิน สเมื่อโรดอพซินถูกแสงสว่างเรตินาลจะเปลี่ยนโครงสร้างจาก 11-cis retinal เป็น trans-retinal แล้วแยกออกจากออพซิน หูกับการได้ยิน และรับความรู้สึกในการทรงตัว โครงสร้างหู แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ - หูชั้นนอก เริ่มจากใบหู รูหู จนถึงเยื่อแก้วหู ใบหูมีกระดูกอ่อนค้ำจุน ในรูหูมีต่อมสร้างขี้ผึ้งป้องกันแมลงและต้านการติดเชื้อ เยื่อแก้วหูรับคลื่นเสียงและขยายความแรงคลื่นเสียงได้ 17 เท่า - หูชั้นกลาง ถัดจากเยื่อแก้วหู เป็นโพรงมีกระดูกหู 3 ชิ้น คือ กระดูกค้อน กระดูกทั่ง กระดูกโกลน ยึดกันซึ่งไปต่อกับหูชั้นใน - หูชั้นใน รับคลื่นเสียงจากกระดูกหู 3 ชิ้น เข้าสู่อวัยวะรูปหอยโข่งหรือคอเคลีย เข้าทางหน้าต่างรูปไข่ เข้าทางท่อของคอเคลียเข้าเส้นประสาทสมองคู่ที่ 8 เข้าสู่สมอง ภายในหลอดคอเคลียแบ่งเป็น 3 ห้อง ซึ่งมีของเหลวบรรจุอยู่ แต่ในห้องสกาลามีเดีย หรือcochlear duct มี Organ of Corti (อวัยวะรับฟังเสียง) ที่มี hair cell เรียงเป็นแถว hair cell มีขนรับความรู้สึก ซึ่งจะสร้างความรู้สึกไปยัง cochlear nerve และส่งไปยังเส้นประสาทสมองคู่ที่ 8 ในสมอง อีกด้านของหูชั้นในมี semicircular canal รับการทรงตัว เป็นหลอดครึ่งวงกลม 3 อันตั้งฉากกัน ที่โคนหลอดพองโป่งเป็น ampulla ที่มีของเหลวและ hair cell อยู่ เมื่อเอียงศีรษะของเหลว จะดัน hair cell ให้เคลื่อนที่, ampulla ทุกอันไปยึดกับถุง utricle ที่มีของเหลวบรรจุอยู่และมีก้อนหินปูน otolith ซึ่งเคลื่อนที่ตามการเคลื่อนที่ของศีรษะจึงไปกระตุ้น hair cell ที่อยู่ใกล้, แล้ว utricle ไปต่อกับกกระเปาะ saccule ซึ่งภายในมีของเหลวและ hair cell ด้วย ดังนั้น hair cell จึงรับรู้การทรงตัวจากการเคลื่อนที่ของขน ทำให้เกิดดีโพลาไรเรซันและเกิดกระแสประสาทส่งไปสมอง จมูกกับการดมกลิ่น ในจมูกมีเซลล์รับกลิ่น รวมกันเป็น olfactory bulb ส่งกระแสประสาทเข้าเส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 ส่งกระแสประสาทเข้าสู่เซรีบรัมส่วนดมกลิ่น ลิ้นกับการรับรส ลิ้นมีตุ่มรับรส ที่ประกอบด้วยเซลล์รับรส อยู่บริเวณต่าง ๆ เพื่อรับรสหวาน เค็ม เปรี้ยว และขม แล้วแปลงเป็นกระแสประสาทส่งเข้าเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 และ 9 ไปยังศูนย์รับรสในเซรีบรัม (การศึกษาปัจจุบันพบว่า บริเวณรับรสหวาน เค็ม เปรี้ยว ขม ไม่ได้จำเพาะอยู่แต่ละบริเวณ เช่น ปลายลิ้น โคนลิ้น แต่กระจายอยู่ทั่วไปบนลิ้น) ผิวหนังและการรับความรู้สึก ผิวหนังรับความรู้สึก เช่น แรงกด ความร้อน ความเย็น ความเจ็บปวด โดยมีปลายประสาท ชนิดต่าง ๆ ปลายประสาทรับความเจ็บปวดและรับสัมผัสอยู่ใกล้หนังกำพร้า ส่วนปลายประสาทรับแรงกด ความร้อน ความเย็น อยู่ในชั้นหนังแท้ วิดีโอ YouTubeวิดีโอ YouTubeบทที่ 3 ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine system) ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ สร้างและหลั่งพวกฮอร์โมน (Hormones) แล้วส่งออกนอกตัวเซลล์โดยผ่านทางกระแสเลือด
หรือน้ำเหลืองไปยังเป้าหมาย คือ อวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ต่อมไร้ท่อบางชนิดสร้างฮอร์โมน ออกมาร่วมทำงาน หรือถูกควบคุมการหลั่งโดยระบบประสาท เรียกว่า neuroendocrine system เช่น ต่อมใต้สมอง (pituitary gland) เป็นต้น วิดีโอ YouTubeอ้างอิง |