อาการ หมด ไฟ ใน การ ทํา งาน

  1. หน้าหลัก
  2. บทความสุขภาพ
  3. Burnout Syndrome ภาวะหมดไฟในการทำงาน

อาการ หมด ไฟ ใน การ ทํา งาน

HIGHLIGHTS:

  • Burnout Syndrome ไม่ใช่โรคซึมเศร้า แต่เป็นอาการหดหู่ รู้สึกเครียด และไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน
  • ปัจจัยของงานคือ ปัจจัยหลักในการสร้างความเครียดสะสมภายใน แต่สิ่งที่ทำให้เราหมดไฟได้ง่ายคือ การตั้งรับปัญหาและมุมมองต่อสิ่งที่เข้ามาจากงานนั้นๆ
  • ความสมดุลในชีวิต เราสร้างได้เพียงแต่ต้องหาทางออกให้เจอหรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้

เมื่อใครสักคนมีท่าทางหดหู่ ปลีกตัว หรือนิ่งเฉย เรามักนึกถึงโรคซึมเศร้าเป็นอันดับแรก คงมีไม่กี่คนจะคิดว่าใครคนนั้น อาจเป็นเพียงภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) ซึ่งไม่ใช่โรคซึมเศร้า เขาเพียงแต่รู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงาน ไม่มีใจ หมดแรง และหมดไฟที่จะทำงานต่อไป

อาการของผู้มีภาวะหมดไฟในการทำงาน

ปัจจุบันยังไม่มีการจำกัดอาการหรือระบุแน่ชัดถึงอาการ เนื่องจากผู้อยู่ในภาวะหมดไฟในการทำงานส่วนใหญ่ มีอาการคล้ายเป็นโรคซึมเศร้า เช่น มีความหดหู่ รู้สึกเครียด และไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน ในบางรายอาจมีอารมณ์ก้าวร้าว หรือหงุดหงิดเมื่อทำงานไม่ได้ดังใจอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตามผู้มีอาการหมดไฟในการทำงานอาจมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเสมอไป

สาเหตุและความเสี่ยง

ผู้มีภาวะหมดไฟในการทำงาน มีตัวกระตุ้นหรือปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน แบ่งเป็น 3 สิ่งเกี่ยวข้องดังนี้

1. ปัจจัยเกี่ยวกับการทำงาน

  • มีความรับผิดชอบในงานสูงมากเกินไป โดยอาจมีผลเสียมากมายรออยู่ หากงานไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เกิดความวิตกกังวล
  • อยู่ในสิ่งแวดล้อม รวมถึงการงานที่ทำมีความกดดันและความเครียดอยู่ตลอดเวลา
  • ฝืนใจทำงานที่ตนเองไม่ถนัด ไม่ได้อยากทำ หรือไม่มีความรักในงานนั้นๆ
  • ทำงานด้วยความเบื่อหน่าย อาจด้วยตัวงานเองหรือมาจากเพื่อนร่วมงาน
  • ถูกละเลย ไม่ได้รับการยอมรับ หรือได้รับค่าตอบแทนน้อยเกินไป
  • ต้องทำงานที่มีปริมาณมาก งานหนักเกินไป รวมถึงขาดแคลนเครื่องอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์จำเป็นในการทำงาน
  • องค์กรไม่มีความชัดเจน หรือขาดความมั่นคง
  • ระยะเวลาในการทำงานนานเกินไป เช่น มากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน

2. ปัจจัยเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่

  • ทำงานหนักเกินไป กระทั่งไม่มีเวลาพักผ่อน
  • เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือต้องดูแลพ่อแม่ที่สูงอายุตามลำพัง

3. ปัจจัยเกี่ยวกับบุคลิกส่วนตัว

  • เป็นคนเครียด นิยมความสมบูรณ์แบบ หรือคาดหวังในการทำงานสูงมากเกินไป
  • เก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับคนในที่ทำงาน หรืออาจเป็นคนไม่ยืดหยุ่น ต้องการให้ทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของตนเอง

ทั้งนี้ภาวะหมดไฟในการทำงานยังส่งผลถึงร่างกายด้วยเช่นกัน เช่น นอนไม่หลับ กังวลใจทุกครั้งที่ต้องไปทำงาน รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน รวมถึงปวดเมื่อยร่างกาย และประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

ในบางรายอาจมีอารมณ์แปรปรวน รู้สึกสิ้นหวัง ล้มเหลวในการทำงาน หงุดหงิดจนแสดงออกด้วยการทะเลาะเบาะแว้งในที่ทำงาน หากเป็นมากขึ้นอาจปิดกั้นตนเองจากเพื่อนร่วมงาน พูดน้อยลง ขาดสมาธิและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ หรือหาทางออกโดยการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวเตร่ มาทำงานสาย และกลับบ้านดึก

รู้ก่อนป้องกันได้

หากสังเกตพบว่าอยู่ในข่ายภาวะหมดไฟในการทำงาน ควรเริ่มปรับสมดุลให้ชีวิตดังนี้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงสิ่งกระต้น เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ รวมถึงการดื่มกาแฟที่มากเกินไป
  • หากมีเวลา ลาพักร้อน เพื่อห่างไกลจากงานสักพัก
  • สร้างความสมดุลให้ชีวิตและการทำงาน จัดระเบียบการทำงานให้ลุล่วงตามลำดับความสำคัญ
  • กำหนดเวลาการทำงานให้เหมาะสมในแต่ละวัน ไม่เสียเวลาจัดการงานที่ทำไม่ได้หรือติดขัดนานเกินไป จนส่งผลให้ทำงานไม่สำเร็จสักชิ้นเดียว
  • ขอความเห็น ความช่วยเหลือ แม้กระทั่งการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเพื่อคลายความเครียด
  • ไม่ควรนำงานกลับมาทำต่อที่บ้าน
  • หากิจกรรมผ่อนคลายทำในช่วงวันหยุด
  • ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ลดการสื่อสารในโลกโซเชียลลง เพราะนอกจากจะเบียดบังเวลาแล้ว การท่องโลกไซเบอร์มากๆ ส่งผลให้เกิดความเครียดจากการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกคนจะสามารถปรับตัวในสิ่งที่เคยเป็นมาตลอดชีวิต หรือสามารถสร้างสมดุลและระเบียบให้ตัวเอง รวมถึงหลากหลายปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ หากรู้สึกว่ามีอาการรุนแรงจนส่งผลถึงร่างกายและจิตใจอย่างมากตลอดจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขได้ ควรปรึกษาและรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หรือพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที อย่ามองว่าเป็นเรื่องเล็กจนปล่อยปละละเลยเป็นเวลานาน ความเบื่อหน่ายการงานและภาวะหมดไฟในการทำงานอาจกลายเป็นภาวะซึมเศร้า ที่รักษายากและซับซ้อนขึ้นก็เป็นได้

นพ. โยธิน วิเชษฐวิชัย

สาขาจิตเวชศาสตร์

ดูประวัติ

อาการ หมด ไฟ ใน การ ทํา งาน

สุขภาพ

Share:

Burnout หรือที่ใครหลายคนเข้าใจว่าเป็นอาการหมดไฟและหมดแรงจูงใจในการทำงาน อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียดจากงาน ทำงานหนักเกินไป หรือทำงานที่ไม่ตรงกับแนวทางของตนเอง เป็นต้น ซึ่งอาจรับมือได้ด้วยการออกกำลังกาย จัดการกับความเครียด หรือปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน แต่หากอาการ Burnout เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยอย่างโรคซึมเศร้าหรืออาการอื่น ๆ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมตามแต่กรณี

อาการ หมด ไฟ ใน การ ทํา งาน

Burnout คือ อะไร ?

Burnout เกิดจากความเหน็ดเหนื่อยที่มักเป็นผลมาจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ โดยอาจทำให้อ่อนเพลีย เฉยชาต่อทุกสิ่ง รู้สึกล้มเหลว และขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ผู้เชี่ยวชาญบางรายคาดว่า Burnout อาจเป็นอาการของภาวะเจ็บป่วยต่าง ๆ เช่น โรคซึมเศร้า และโรควิตกกังวล เป็นต้น หรืออาจเกิดจากการใช้ชีวิตแบบเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาจนทำให้รู้สึกกดดันมาก เหนื่อยหมดแรง ว่างเปล่า และหมดไฟไปในที่สุด

อย่างไรก็ตาม อาการต่าง ๆ ที่แสดงออกมาอาจใกล้เคียงกับอาการของภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ อย่างภาวะซึมเศร้าได้ แต่อาจต่างกันตรงที่ภาวะซึมเศร้าอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่น ๆ ร่วมด้วย ไม่ใช่จากการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่าเป็น Burnout และหากวินิจฉัยไม่รอบคอบถ้วนถี่ก็อาจทำให้รักษาผิดทางได้

สาเหตุของ Burnout 

Burnout อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • มีปัญหาการจัดการ ไม่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งสำคัญในการทำงานได้ เช่น ไม่สามารถกำหนดตารางงานของตนเองได้ หรือไม่สามารถรับผิดชอบงานของตนให้สำเร็จลุล่วงได้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนนำไปสู่การ Burnout ได้
  • ภาระงานและสิ่งที่ถูกคาดหวังไม่ชัดเจน หากสิ่งที่ถูกคาดหวังจากเจ้านาย หัวหน้างาน หรือเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ นั้นไม่ชัดเจนเพียงพอ อาจทำให้รู้สึกอึดอัดใจขณะทำงานได้
  • งานที่ทำไม่เหมาะกับตนเอง หากงานที่ทำไม่เหมาะกับความสามารถและความสนใจของตนเอง อาจทำให้รู้สึกเครียดตลอดเวลาได้
  • งานที่ทำต้องใช้ความกระตือรือร้นอย่างมาก หากการทำงานค่อนข้างวุ่นวายจนต้องใช้พลังงานที่มีทั้งหมดมุ่งไปที่งานตลอดเวลา อาจทำให้ยิ่งเหนื่อยล้าและหมดไฟได้ในที่สุด
  • ขาดแรงสนับสนุนทางสังคม หากต้องอยู่โดดเดี่ยวในที่ทำงานหรือในชีวิตจริง อาจส่งผลให้ยิ่งเครียดมากขึ้นได้
  • ขาดสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตกับการทำงาน หากงานที่ทำนั้นต้องอาศัยทั้งเวลาและแรงกายเป็นอย่างมาก หรืองานกินเวลาส่วนตัวไปด้วย อาจทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอไปเข้าสังคมหรือสังสรรค์กับเพื่อนและครอบครัว จนปรากฏอาการหมดไฟเร็วขึ้นได้

สังเกตตนเองอย่างไรว่ามีอาการ Burnout ?

ภาวะ Burnout อาจมีสัญญาณบอกอาการ ดังนี้

  • หมดแรง สูญสิ้นพลังงานในการทำทุกอย่าง
  • ทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานเริ่มทำให้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ
  • เริ่มบ่นหรือวิจารณ์งานที่ทำ
  • รู้สึกท้อแท้กับงานที่ทำอยู่
  • ไม่พึงพอใจในความสำเร็จที่ทำได้
  • นึกถึงปัญหาเรื่องงานตลอดเวลา แม้ตอนกำลังรับประทานอาหารหรือตอนนอน
  • มีปัญหาในการนอนและการรับประทานอาหาร
  • เริ่มหงุดหงิดใจร้อนกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้า
  • ชีวิตยุ่งเหยิง ขาดความสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตกับการทำงาน
  • ต้องพยายามกระตุ้นให้ตัวเองมาทำงาน และมีปัญหาในการเริ่มทำงานเมื่อมาถึงที่ทำงานอีกด้วย
  • พึ่งยาแอลกอฮอล์หรืออาหารอื่น ๆ เพื่อทำให้ตนรู้สึกดีขึ้น

รับมือกับปัญหา Burnout อย่างไรดี ?

หากพบว่าตนเองมีสัญญาณของอาการ Burnout อาจเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต เพื่อไม่ให้สุขภาพร่างกายและจิตใจทรุดโทรมไปมากกว่าเดิม โดยวิธีการรับมือกับปัญหา Burnout มีดังนี้

ดูแลสุขภาพ เมื่อทำงานหนักเกินไปหรือมีภาระงานมาก อาจทำให้ไม่มีเวลารับประทานอาหารกลางวัน ไม่ได้ออกกำลังกาย นอนน้อย หรือนอนดึก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้สภาพร่างกายเสื่อมโทรมลงและทำให้รู้สึกหมดไฟเร็วขึ้น การดูแลสุขภาพจึงอาจช่วยให้รับมือกับปัญหา Burnout ได้ ซึ่งการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมง/วัน อาจช่วยเสริมสุขภาพร่างกายและการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น และควรทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงกายหรือออกกำลังกายเป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง/สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ เพราะอาจช่วยคลายความเครียด และช่วยให้สมองได้พักจากการคิดเรื่องงานไปสนใจสิ่งอื่นแทน

นอกจากนี้ การรับประทานอาหารครบทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ และเลือกรับประทานแต่สิ่งที่มีประโยชน์ โดยเน้นอาหารที่มีไขมันดีและโปรตีนอาจช่วยให้ร่างกายสงบลงได้ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงกาแฟและน้ำตาล เพราะอาจมีฤทธิ์เพิ่มความเครียดจนทำให้มีอาการแย่ลงได้

ทำงานแต่พอดี อย่าพยายามคิดว่าตนเองเป็นยอดมนุษย์ที่ทำได้ทุกอย่าง แม้ในบางครั้งหัวหน้างานอาจคิดเช่นนั้นก็ตามจึงมักเร่งให้ทำงานที่ต้องใช้เวลามากแต่กำหนดให้แล้วเสร็จในเวลาอันสั้น ซึ่งหลายคนอาจอยากรับผิดชอบให้งานสำเร็จเรียบร้อยเพื่อสร้างความประทับใจ แต่อย่าลืมว่าร่างกายของมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ และไม่อาจแก้ปัญหาของบริษัทด้วยตัวคนเดียวได้ อีกทั้งการกระทำดังกล่าวอาจทำให้รู้สึกกดดันและเพิ่มความวิตกกังวลขึ้นได้ด้วย ดังนั้น จึงควรปรึกษากับหัวหน้างานเพื่อหาทางออกที่ดีร่วมกัน เพราะหากไม่หาทางแก้ ปัญหาอาจคงอยู่อย่างเรื้อรัง จนส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจและร่างกายในด้านอื่น ๆ เพิ่มขึ้น

หาทางออกเพื่อจัดการกับความเครียด ความเครียดอาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะ Burnout ได้ ให้ลองนึกว่าอะไรบ้างที่ทำให้รู้สึกเครียดหรือทำให้เริ่มหมดไฟ แล้วรีบจัดการและหาวิธีแก้ไขในส่วนดังกล่าว ซึ่งอาจลองปรึกษาหัวหน้างานเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็น หาวิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกัน หรืออาจหาที่ปรึกษาและผู้ที่อาจให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ได้ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือคนรัก เป็นต้น เพื่อให้ช่วยร่วมกันคิดและช่วยให้คำแนะนำในการตัดสินใจ

ประเมินตนเองและงานที่ทำอยู่ เพื่อให้ทราบว่าตนเองเหมาะกับงานที่ทำอยู่แล้วหรือไม่ โดยอาจเริ่มจากถามตัวเอง หรือสังเกตตัวเองเกี่ยวกับงานและองค์กรในมุมมองต่าง ๆ เช่น องค์กรมีทางเลือกหรือให้สิทธิในการเสนอแนวทางต่าง ๆ ร่วมกันหรือไม่ การปรับเวลาของตนเองกับองค์กรและการทำงานนอกออฟฟิศเป็นอย่างไร องค์กรมีทางเลือกสำหรับการศึกษาต่อหรือการพัฒนาสู่การเป็นมืออาชีพหรือไม่ แท้จริงแล้วตนถนัดด้านไหนเป็นพิเศษ หรือชอบและรักที่จะทำอะไร เป็นต้น จากนั้นจึงนำคำตอบที่ได้มาประเมินว่าตนเองเหมาะสมกับงานที่ทำอยู่หรือไม่ และควรทำอย่างไร

อย่างไรก็ตาม แม้คำแนะนำข้างต้นอาจทำให้อาการ Burnout ที่เกิดจากความเหนื่อยล้าในการทำงานดีขึ้นได้ แต่หากอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า หรือสังเกตเห็นได้ว่าอาการทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาทางจิตวิทยาหรือใช้ยาตามดุลยพินิจของแพทย์ต่อไป เพราะหากไม่รีบรักษา อาการ Burnout อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ขึ้นได้ เช่น ปัญหาเครียดสะสม ภาวะนอนไม่หลับ โรคซึมเศร้า โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดในสมอง เป็นต้น

Share:

หัวข้อสนนทนาที่เกี่ยวข้อง