เอกสาร ประกอบ การสอนภาษาอังกฤษ doc

ลำดับชื่อเอกสารตัวเลือก
1Worksheet 1.1 ม.1 เปิด
2Worksheet 1.1 ม.2 เปิด
3Worksheet 1.1 ม.3 เปิด
4Worksheet 1.1 ม.4 เปิด
5Worksheet 1.1 ม.5 เปิด
6Worksheet 1.1 ม.6 เปิด
7ใบงาน ม.1 หน่วยที่ 1 เรื่องที่ 1 เปิด
8ใบงาน ม.1 หน่วยที่ 1 เรื่องที่ 2 เปิด
9ใบงาน ม.1 หน่วยที่ 3 เรื่องที่ 3-4 เปิด
10ใบงาน ม.2 หน่วยที่ 2 เรื่องที่ 1 เปิด
11ใบงาน ม.2 หน่วยที่ 1 เรื่องที่ 1 เปิด
12ใบงานที่ 1 ม.1 ภาษาอังกฤษพื้นฐาน เทอม 2-63 เปิด
13ใบงานที่ 2 ม.1 ภาษาอังกฤษพื้นฐาน เทอม 2-63 เปิด
14ใบงานที่ 1 ม.2 ภาษาอังกฤษพื้นฐาน เทอม 2-63 เปิด
15ใบงานที่ 2 ม.2 ภาษาอังกฤษพื้นฐาน เทอม 2-63 เปิด
16ใบงานที่ 1 ม.4 ภาษาอังกฤษพื้นฐาน เทอม 2-63 เปิด
17ใบงานที่ 2 ม.4 ภาษาอังกฤษพื้นฐาน เทอม 2-63 เปิด

เอกสารประกอบการเรยี น ปรบั พืนฐาน ชันมัธยมศกึ ษาปที 1 วิชา ภาษาอังกฤษ โดย นางสาวศศติ า รตั นมณุ ี (นักศกึ ษาฝกประสบการณ์) นางสาํ รวม แก้วคง (ครูพเี ลยี ง) Name ..................................................... Class ............... No. ..............

1 English alphabets (ตวั อักษรภาษาอังกฤษ) ตัวอักษรภาษาอังกฤษมที ้ังหมด 26 ตวั โดยแบ่งเป็นพยัญชนะ (Consonants) 21 ตัว ได้แก่ B C D F G H J K L M N P Q R S T V W X Y Z และสระ (Vowels) 5 ตัว ไดแ้ ก่ A E I O U (*Y เป็นได้ทง้ั พยญั ชนะ และสระ) โดยมีรปู แบบตัวอักษร ดงั นี้ 1. ตวั พมิ พ์ใหญ่ (Capital Letters) ใช้ข้ึนตน้ คำแรกของประโยคในภาษาอังกฤษ สรรพนาม “I” ชอ่ื คน ชอื่ สถานทเ่ี ฉพาะ วัน เดือน วันเทศกาลต่าง ๆ ตำแหนง่ ของบุคคล ชอ่ื วิชาต่าง ๆ ชอ่ื หนงั สอื บทความและภาพยนตร์ ช่อื ภาษา ศาสนา และสัญชาติ 2. ตวั พิมพเ์ ล็ก (Small Letters) เปน็ ตัวตาม ไม่สามารถข้นึ ตัวประโยคหรือชื่อเฉพาะได้ 3. ตวั เขียนใหญ่ภาษาองั กฤษ 4. ตัวเขียนเล็กภาษาอังกฤษ ตารางเทียบอกั ษรไทย-อังกฤษ อักษรไทย พยัญชนะตน้ อกั ษรโรมนั ก k พยญั ชนะสะกด k ข, ฃ, ค, ฅ, ฆ ง kh k จ, ฉ, ช, ฌ ng ng ซ, ศ, ษ, ส ch (จ = ch หรอื j ก็ได้) t ญ st yn

2 อกั ษรไทย พยัญชนะต้น อักษรโรมนั ด, ฎ d พยญั ชนะสะกด ต, ฏ t ฐ, ถ, ท, ธ, ฒ tt ฑ น, ณ th t บ d หรอื th t ป, ผ, พ ภ nn ฝ, ฟ ม bp ย ร pp ฤ, ฤๅ ล, ฬ ph p ฦ, ฦๅ ว fp ห, ฮ mm y– rn rue, ri, roe – ln lue – w– h–

3 ตารางเทียบสระภาษาไทย – องั กฤษ อกั ษรไทย อกั ษรโรมนั อักษรไทย อกั ษรโรมนั อะ, อ,ั รร (มีตวั อักษรอนื่ a อยุ ui an oi ตาม), อา am โอย, ออย oei รร (ไมม่ ีตวั อกั ษรตาม) i เอย ueai ue เออื ย uai อำ u อวย io e อวิ eo อ,ิ อี ae aeo เอว็ , เอว อ,ึ ออื o แอ็ว, แอว iao อ,ุ อู oe เอยี ว ia เอะ, เอ็, เอ uea การสะกดชอื่ ภาษาอังกฤษ ua แอะ, แอ ai Ex.1 ศศิตา (สะ-สิ-ตา) ao สะ = Sa, สิ = si, ตา = ta โอะ, – (โอะลดรปู ) โอ, ศศิตา = Sasita เอาะ, ออ Ex.2 ผกาวัลย์ (ผะ-กา-วนั ) เออะ, เอิ, เออ ผะ = Pa, กา = ka, วนั = wan ผกาวัลย์ = Pakawan เอียะ, เอยี เออื ะ, เอือ อัวะ, อวั -ว- (อัว ลดรปู ) ใอ, ไอ, อยั , ไอย, อาย เอา, อาว

4 Exercise 1 Directions: Write the names in English. 1. คฑาวุฒิ ………………………………………………... 6. ชื่อ-สกลุ ของนักเรยี น 2. ธารารัตน์ ………………………………………………. ……………………………………………………………… 3. ดวงกมล ……………………………………………….. ……………………………………………………………… 4. ไอรดา ...………………………………………………… 5. เรืองฤทธิ์ ………………………………………………. การเขยี นวันท่ีภาษาอังกฤษ วนั ในภาษาอังกฤษ โดยในหน่งึ สัปดาห์มี 7 วนั เขยี นเป็นภาษาองั กฤษ ดังนี้ Day วัน ตวั ย่อ Monday วนั จันทร์ Tuesday วันองั คาร Mon. Wednesday วนั พุธ Tue. Thursday วนั พฤหัสบดี Wed. Friday วนั ศกุ ร์ Thu. Saturday วันเสาร์ Fri. Sunday วันอาทติ ย์ Sat. Sun. วันทีใ่ นภาษาองั กฤษ จะใชเ้ ป็นลำดบั ที่ (Ordinal numbers) ดงั น้ี ตวั ย่อ วันทีภ่ าษาองั กฤษ ตวั ย่อ วันทภ่ี าษาองั กฤษ 1st the first 6th the sixth 2nd the second 7th the seventh 3rd the third 8th the eighth 4th the fourth 9th the ninth 5th the fifth 10th the tenth

5 ตวั ย่อ วันท่ภี าษาอังกฤษ ตวั ย่อ วนั ทภี่ าษาอังกฤษ 11th the eleventh 22nd the twenty-second 12th the twelfth 23rd the twenty-third 13th the thirteenth 24th the twenty-fourth 14th the fourteenth 25th the twenty-fifth 15th the fifteenth 26th the twenty-sixth 16th the sixteenth 27th the twenty-seventh 17th the seventeenth 28th the twenty-eighth 18th the eighteenth 29th the twenty-ninth 19th the nineteenth 30th the thirtieth 20th the twentieth 31st the thirty-first 21st the twenty-first เดอื นในภาษาอังกฤษ Month เดอื น ตวั ย่อ Month เดือน ตวั ย่อ Jan. 1. January มกราคม Feb. 7. July กรกฎาคม Jul. Mar. 2. February กมุ ภาพนั ธ์ Apr. 8. August สิงหาคม Aug. May 3. March มนี าคม Jun. 9. September กนั ยายน Sep. 4. April เมษายน 10. October ตลุ าคม Oct. 5. May พฤษภาคม 11. November พฤศจิกายน Nov. 6. June มิถุนายน 12. December ธันวาคม Dec.

6 การอา่ นปีในภาษาองั กฤษ (Era) 1. ปที ่ีตำ่ กวา่ หนึ่งพนั อา่ นแบบอ่านเลขปกติ เชน่ ปี 470 อา่ นวา่ four hundred and seventy 2. ปที ม่ี ากกวา่ หน่ึงพนั ขึน้ ไปจะอ่านออกเสียงแบบเปน็ คู่ ๆ คือ คู่แรกและคหู่ ลัง 2.1 ปที ลี่ งท้ายด้วย 01 - 09 จะอ่านเลข 0 วา่ oh (โอ) เช่น ปี 1506 อ่านวา่ fifteen oh six 2.2 ปที ลี่ งทา้ ยด้วย 00 อ่านว่า hundred เช่น ปี 1500 อ่านว่า fifteen hundred หรือ one thousand five hundred ก็ได้ 2.3 ช่วงก่อนปี 2000 อ่านตวั เลขเป็นคู่ เช่น - ปี 1569 (15/69) อา่ นวา่ fifteen sixty-nine - ปี 1975 (19/75) อ่านว่า nineteen seventy-five 2.4 หลงั จากปี 2000 ถงึ ปี 2009 อ่านว่า two thousand and ..... เชน่ - ปี 2001 อ่านวา่ two thousand and one - ปี 2009 อ่านว่า two thousand and nine 2.5 ตั้งแตป่ ี 2010 จนถงึ ปจั จบุ นั อา่ นได้สองแบบ คอื แบบ two thousand and ..... หรือ อ่านเปน็ คู่ก็ได้ เช่น - ปี 2011 อ่านว่า two thousand and eleven หรือ twenty eleven - ปี 2017 อา่ นว่า two thousand and seventeen หรอื twenty seventeen ตัวอย่างการเขียนวัน เดือน ปี เป็นภาษาองั กฤษ เช่น วนั ศุกร์ที่ 4 มถิ นุ ายน ค.ศ. 2021 → Friday 4th June 2021 (อ่านวา่ Friday the fourth of June, two thousand and twenty-one หรอื twenty twenty-one)

7 Exercise 2 Directions: Write the date in English. 0. วนั จนั ทร์ที่ 7 มถิ ุนายน 2021 → Monday 7th June 2021 1. วันพุธที่ 23 ธนั วาคม ค.ศ. 1998 ............................................................................................................................. ................................... 2. วันอังคารท่ี 13 เมษายน ค.ศ. 2021 ................................................................................................................................................................ 3. วนั พฤหัสบดที ี่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2020 .......................................................................................................................... ...................................... 4. วันเสารท์ ่ี 20 กมุ ภาพันธ์ ค.ศ. 1976 ............................................................................................................................. ................................... 5. วันเกดิ ของนกั เรยี น ภาษาไทย: ............................................................................................................................. ................. ภาษาองั กฤษ: …………………………………………………………………………………………………………………………. Punctuation เครื่องหมายวรรคตอน มีผูเ้ ปรียบเทียบเครื่องหมายวรรคตอนเปน็ เสมือนไฟจราจร ซ่ึงทำใหก้ ารเดินทางไปมาสะดวกและป้องกัน อบุ ตั ิเหตุในทำนองเดียวกัน เครอื่ งหมายวรรคตอนก็ช่วยใหก้ ารใช้คำราบรืน่ เป็นระเบียบ และทำให้การส่อื ความหมายงา่ ยขึ้น มคี วามหมายชัดเจนขึน้ วิธที จ่ี ะเรยี นรกู้ ารใช้เคร่ืองหมายวรรคตอนให้ง่ายขน้ึ คือ จำให้ได้วา่ เคร่อื งหมายวรรคตอนมีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. เครื่องหมายเม่ือจบประโยค (Terminal Punctuation) 2. เครือ่ งหมายในระหวา่ งประโยค (Internal Punctuation)

8 เคร่ืองหมายเมอื่ จบประโยค (Terminal Punctuation) ทส่ี ำคญั ได้แก่ 1. Full Stop หรือ Period เปน็ เครื่องหมายที่เราคนุ้ เคยกันทีส่ ดุ คอื เอาไว้ใช้เวลาจบประโยคท่ีไมใ่ ช่ เคร่ืองหมายคำถาม หรือเครอ่ื งหมายตกใจ ดังนัน้ ทกุ การข้ึนตน้ ประโยคใหมห่ ลัง Full Stop นน้ั เราจะตอ้ งใช้อกั ษร ตวั พิมพ์ใหญ่เสมอ เช่น We are discussing this issue. (เรากำลงั ถกปญั หา นก้ี ันอยู่) นอกจากน้ี เรายงั ใช้ . สำหรบั ตัวย่ออีกดว้ ย เช่น - I have an appointment at 10 a.m. (ฉันมีนดั ตอนสิบโมงเช้า) 2. Question Mark จะเอาไว้ใช้จบประโยคท่ีเราต้องการเขียน เพ่ือให้รู้วา่ ประโยคนีเ้ ปน็ ประโยคคำถาม แทน ตำแหนง่ ของ Full Stop เช่น Do you really want to go there? (เธอต้องการไปทนี่ ั่นจรงิ ๆ หรอื ) เครอ่ื งหมายในระหวา่ งประโยค (Internal Punctuation) ที่สำคญั ไดแ้ ก่ 1. Comma - เอาไวใ้ ชใ้ นการแบ่งวลีหรอื คำ เพอื่ ให้อ่านง่ายข้นึ เชน่ I love singing, dancing, and playing guitar. (ฉนั ชอบรอ้ งเพลง เต้น และเล่นกีตา้ ร์) - ใช้ในการคั่นอนปุ ระโยค (clauses) เชน่ If you were me, you would be upset too. (ถา้ เธอเปน็ ฉัน เธอกต็ ้องกลุ้มเหมือนกันแหละ) 2. Apostrophes Apostrophe หรอื เครื่องหมาย ’ ใช้เวลาลดรูปกรยิ าช่วยในภาษาอังกฤษ เช่น did not เปน็ didn’t / I will เป็น I’ll นอกจากน้ี ยงั ใช้เครื่องหมาย ’ ในการแสดงความเปน็ เจา้ ของโดยการใส่ ’s เขา้ ไป เช่น We will hang out at John’s place. (เราจะไปน่ังเลน่ ทบ่ี ้านของจอหน์ ) หรอื ถ้ามี s เป็นตัวสะกดอยู่ แล้ว กใ็ สแ่ ค่ ’ เช่น The princess’ dress looks so gorgeous. (ชุดของเจา้ หญิงสวยมากเลย)

9 Exercise 3 Directions: Correct the sentences with capital letters, full stops, commas or question marks. 1. my name is scott → …………………………………………………………………………………………………………. 2. i can speak english → ………………………………………………………………………………………………………. 3. i was born on monday → ………………………………………………………………………………………………… 4. what day is today → ………………………………………………………………………………………………………… 5. are you happy → ………………………………………………………………………………………………………………

10 Part of speech ชนดิ ของคำ Part of speech คือ การแบ่งชนิดของคำตามหลักแกรมม่า โดยอิงบทบาทหน้าทข่ี องคำเป็นหลกั Part of speech สามารถแบ่งไดเ้ ปน็ 8 ชนดิ คือ Noun, Pronoun, Verb, Adverb, Adjective, Preposition, Conjunction, Interjection 1. Noun (คำนาม) Noun หรือ คำนาม คือ คำที่ใชเ้ รียกคน สัตว์ ส่ิงของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์ หรือสิ่งทเ่ี ป็น นามธรรมโดยแบ่งเป็นประเภท ดังนี้ Noun Common nouns Proper nouns Countable nouns Uncountable nouns Singular nouns Plural nouns 1.1 Countable nouns หรอื คำนามนับได้ คือ อะไรก็ตามท่ีเราสามารถนบั ออกมาเปน็ ช้นิ เป็นอนั เป็น ตวั เป็นคน ฯลฯ โดยคำนามนับได้จะถูกแบ่งออกเป็น คำนามเอกพจน์ (Singular nouns) และ คำนามพหูพจน์ (Plural nouns) ✓ คำนามเอกพจน์ (Singular nouns) คอื นามทเ่ี ราสามารถนับได้อนั เดียว ตวั เดยี ว แท่ง เดียว เปน็ ตน้ ✓ คำนามพหูพจน์ (Plural nouns) คือ นามทมี่ ีมากกวา่ 1 ขึ้นไป มีหลายอนั หลายตวั หลาย คน เปน็ ต้น

11 1.2 Uncountable nouns หรือ คำนามนบั ไม่ได้ คือ อะไรก็ตามท่ีไม่สามารถนำมาแยกเป็นชนิ้ เป็นอัน ได้ หรอื นับได้ยาก ✓ สิ่งที่ไมส่ ามารถนำมาแยกเปน็ ช้ินเปน็ อนั ได้ เชน่ water, milk, ice, air, paper, dust, flour, bread, butter, beef, pork, etc. ✓ คำนามบางคำทีจ่ ริง ๆ แล้วนับได้ แตถ่ ้านับจริง ๆ แลว้ นับยาก เช่น rice, wheat, salt, sugar, hair, sand, etc. ✓ คำนามบางคำทีด่ ูเหมอื นจะนับไดแ้ ต่ในภาษาอังกฤษคำเหล่าน้ีถือเปน็ คำนามนบั ไม่ได้ ได้แก่ furniture, luggage, money, equipment, advice เป็นต้น Exercise 5 Directions: Put the words in the correct column. book, sugar, banana, flour, doctor, dog, horse, salt, flower, car, tea, coffee, tree, egg, butter, cheese, oil, rice, key, milk Countable Nouns Uncountable Nouns 1. ………………………………………………………… 1. ………………………………………………………… 2. ………………………………………………………… 2. ………………………………………………………… 3. ………………………………………………………… 3. ………………………………………………………… 4. ………………………………………………………… 4. ………………………………………………………… 5. ………………………………………………………… 5. ………………………………………………………… 6. ………………………………………………………… 6. ………………………………………………………… 7. ………………………………………………………… 7. ………………………………………………………… 8. ………………………………………………………… 8. ………………………………………………………… 9. ………………………………………………………… 9. ………………………………………………………… 10. ………………………………………………………… 10. …………………………………………………………

12 2. Pronoun (คำสรรพนาม) Pronoun หรือ คำสรรพนาม คือ คำทใ่ี ชแ้ ทน noun ในภาษาอังกฤษ เราจะนยิ มใช้ pronoun แทน คำนามทีเ่ คยกลา่ วถึง เพื่อความสะดวกและความกระชับ เช่น John is my friend. He lives in the same town with me. คำว่า he ในทีน่ ก้ี ห็ มายถึง John นน่ั เอง Pronoun มหี ลายรูป ข้ึนอยู่กับการใช้งาน Subjective Objective Possessive Possessive Reflexive Pronoun Pronoun Adjective Pronoun Pronoun ทำหน้าท่เี ปน็ ทำหน้าที่เป็น แสดงความเป็น แสดงความเป็น สะท้อนเขา้ หาตัวเอง ประธาน กรรม เจ้าของ (ต้องมี เจ้าของ (ประธานและกรรมคอื คำนามตามหลัง) I me my mine คนเดยี วกัน) You you your yours myself He him his his yourself/yourselves She her her hers himself It it its its herself We us our ours Itself They them their theirs ourselves themselves ตัวอยา่ งประโยค 2.1 Subjective Pronoun เช่น She love us. (เธอรกั พวกเรา) 2.2 Objective Pronoun เช่น She love us. (เธอรกั พวกเรา) 2.3 Possessive Adjective เช่น This is my pen. (นี่คือปากกาของฉัน) 2.4 Possessive Pronoun เช่น This pen is mine. (ปากกาดา้ มน้ีเป็นของฉัน) 2.5 Reflexive Pronoun เช่น You should love yourself. (คณุ ควรจะรักตวั เอง)

13 Exercise 6 Directions: Underline the correct pronouns. 1. That is Mr. Ken. I know (her / him) well. 2. She is his friend. He loves (her / him) very much. 3. Miss Suree gives (me / I) some cakes. 4. The dog is barking at (we / us). 5. They know Lucy and me. They know (them / us) 3. Verb (คำกริยา) Verb หรือ คำกริยา คือ คำที่ใชแ้ สดงการกระทำ ส่งิ ทเี่ กดิ ขึ้น หรือสภาวะ เช่น eat, feel, is, am, are Verb แบ่งหลัก ๆ ไดเ้ ป็น 2 ชนิด คอื กรยิ าหลัก (Main verb) และ กริยาช่วย (Helping verb) 3.1 กริยาหลกั (Main verb) คอื กริยาหลักของประโยค แบ่งออกเป็น ✓ Transitive Verb คือ กริยาที่ต้องการกรรม เชน่ eat, send, make We eat fruit before a meal. Jane sends her parents a postcard. He makes a reservation at the hotel in Rome. ✓ Intransitive Verb คือ กริยาท่ีไม่ต้องการกรรม แต่อาจมีส่วนขยายหรือไม่ก็ได้ เชน่ fly, walk, swim Many birds fly south for the winter. Those children walk to school every day. Alan always swims with his sons. 3.2 กรยิ าชว่ ย (Helping verb) ✓ Auxiliary verb คอื กรยิ าช่วยที่ใช้ประกอบคำกริยาหลัก ไดแ้ ก่ BE, DO และ HAVE ในรปู ตา่ ง ๆ คำกรยิ าเหลา่ นี้อาจเป็นได้ทง้ั กริยาแท้ และกรยิ าช่วย เชน่ Sam is in the park. (main) Sam is jogging in the park. (auxiliary)

14 ✓ Modal verb คือ กริยาช่วยประเภทหนึง่ ที่ทำให้กริยาแท้มีความหมายแตกตา่ งกนั ไป ไดแ้ ก่ can, could, shall, should, will, would, may, might, must, ought to, need และ dare เช่น They will buy a piece of land in Nan. Yada can speak many languages. Exercise 7 Directions: Fill in the blanks with ‘is’, ‘am’ or ‘are’. 1. I _______ in the classroom. 2. You ______ a teacher. 3. _____ your mother sleeping now? 4. We ______ playing football. 5. David and I ________ friends. 6. Pan ________ my sister. 4. Adjective (คำคณุ ศัพท)์ Adjective หรือ คำคุณศัพท์ คอื คำทที่ ำหนา้ ทีข่ ยาย noun หรือ pronoun อยา่ งเชน่ คำว่า big, good, rich, slow โดยทั่วไป adjective จะอย่หู นา้ noun หรอื หลัง linking verb (linking verb คือ verb หลกั ทใ่ี ช้ เชอื่ มระหว่างประธานกับคำที่ใหข้ อ้ มูลเกย่ี วกับประธาน เช่น is, am, are, feel, seem) ตวั อย่าง adjective ในประโยค I want to be a good student. ✓ Adjective อยู่หนา้ noun ฉันอยากเปน็ นกั เรยี นที่ดี My dog has brown ears. สุนขั ของฉนั มหี ูสีนำ้ ตาล My house is big and clean. ✓ Adjective อยู่หลัง linking verb บ้านของฉนั ใหญแ่ ละสะอาด They are smart. พวกเขาฉลาด

15 5. Adverb (คำกรยิ าวเิ ศษณ)์ Adverb หรือ คำกริยาวเิ ศษณ์ คอื คำทีใ่ ช้ขยาย verb, adjective, adverb หรอื ประโยค Adverb ส่วนใหญจ่ ะลงดว้ ย ly อยา่ งเชน่ quickly, slowly, happily, sadly แตก่ ็มีบางคำที่ไมไ่ ดล้ ง ท้ายด้วย ly เชน่ always, never, very, fast ตัวอย่าง adverb ในประโยค ✓ Adverb ทข่ี ยาย verb I always wake up at 6 a.m. ฉนั ตื่นตอน 6 โมงเช้าเปน็ ประจำ (always ขยายคำว่า wake up) ✓ Adverb ทขี่ ยาย adjective He is a very good person. เขาเปน็ คนท่ีดมี าก (very ขยายคำว่า good) ✓ Adverb ทขี่ ยาย adverb That cat eats very happily. แมวตัวน้ันกนิ แบบมีความสขุ มาก (very ขยายคำว่า happily) ✓ Adverb ทขี่ ยายประโยค Unfortunately, many parents let their kids having too much sugar. ทโี่ ชคร้ายก็คือ ผูป้ กครองหลายคนปล่อยให้ลกู ไดร้ ับน้ำตาลเยอะเกินไป (unfortunately ขยายทงั้ ประโยคหลังคอมมา่ ) 6. Preposition (คำบพุ บท) Preposition หรือ คำบุพบท คอื คำที่เอาไวห้ นา้ noun หรอื pronoun เพื่อเชื่อม noun หรอื pronoun น้นั กับคำอื่น ตัวอย่างคำทส่ี ามารถใชเ้ ป็น preposition ได้ เชน่ in, on, under, at, about, after, as, before, by, for, into, of, to, with, without ตัวอยา่ งประโยคเชน่ The class starts at 9 o’clock. (คาบเรยี นเรมิ่ ตอน 9 โมง)

16 7. Conjunction (คำสันธาน) Conjunction หรอื คำสันธาน คอื คำที่ทำหน้าที่เชื่อมคำ วลี หรอื ประโยคเข้าด้วยกนั เชน่ and, but, or, so, while, although ตัวอย่างประโยคเชน่ I love mom and dad. (ฉันรกั แมแ่ ละพ่อ) 8. Interjection (คำอุทาน) Interjection หรือ คำอทุ าน คอื คำส้นั ๆ ที่ใชแ้ สดงอารมณ์ เช่น oh, hey, ouch, wow ถา้ เทียบกบั คำไทยกเ็ ช่น โอ้โห โอย๊ ปัดโธ่ เป็นตน้ ตัวอยา่ งประโยคเชน่ Oh! I thought you would not come. Ouch! My hand hurts. โอ้ ฉันคิดว่าคณุ จะไม่มาซะแล้ว โอย๊ เจบ็ มือจัง