เราเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะรู้จักสตาร์ทอัพรุ่นบุกเบิกที่ผลักดันโมเดลธุรกิจแบบสตาร์ทอัพให้เป็นกระแสโด่งดังไปทั่วโลกอย่าง Uber กับ Airbnb ที่เติบโตเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน แต่ใช่ว่าเส้นทางของธุรกิจเหล่านี้จะมุ่งไปสู่ความสำเร็จ ดังประโยคยอดฮิตที่ว่า ‘90% ของสตาร์ทอัพล้มเหลว’ สตาร์ทอัพจำนวนมากกวาดเงินระดมทุนได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ แต่ไปไม่รอดในระยะยาว เช่น Beepi เว็บซื้อขายรถมือสองที่ระดมทุน 5 ครั้ง เป็นจำนวนเงินกว่า 148 ล้านดอลลาร์จาก 35 นักลงทุน แต่ขาดทุนหนักและปิดตัวต้นปี 2017 ปีนี้ THE STANDARD ได้คัดเลือกสตาร์ทอัพที่ทรงอิทธิพลบนเวทีธุรกิจ จากการรวบรวมแหล่งข้อมูล รายงานวิจัย และบทสรุปวิเคราะห์เทรนด์จากสถาบันชั้นนำ โดยพิจารณาทั้งในแง่มูลค่าธุรกิจ นวัตกรรม ศักยภาพการแข่งขัน และแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจในแต่ละหมวดอุตสาหกรรม บางรายเป็นธุรกิจใหม่มาแรง บางเจ้าผงาดขึ้นมาเป็นบริษัทใหญ่ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจระดับประเทศ และนี่คือ 10 สตาร์ทอัพที่เราอยากให้คุณทำความรู้จัก Photo: DiDi Chuxing
ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ (Ride-hailing) รายนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะเคยเอาชนะคู่แข่งระดับโลกอย่าง Uber จากศึกชิงตลาดในจีน จนยอมถอยทัพให้ DiDi เข้าซื้อและควบรวมธุรกิจ Uber China มาแล้ว Cheng Wei ผู้ก่อตั้งบริษัทเป็นนักธุรกิจหนุ่มชาวจีนที่เคยทำงานอีคอมเมิร์ซกับ Alibaba นาน 8 ปี และดำรงตำแหน่งรองประธานของ Alipay บริษัทลูกที่ให้บริการชำระเงินออนไลน์ ปี 2012 เขาเปิดตัวสตาร์ทอัพ DiDi Dache โดยพัฒนาแอปฯ เรียกรถแท็กซี่ ต่อมาถูกควบรวมกับบริษัทคู่แข่ง Kuaidi Dache ซึ่งมี Alibaba Group หนุนหลังอยู่ จนกลายเป็นผู้นำตลาดในจีนแต่เพียงผู้เดียว กลยุทธ์เด็ดที่ DiDi งัดมาสู้กับ Uber ก็คือ การขยายธุรกิจผ่านการลงทุน แทนที่จะบุกตลาดเอง ก็ตั้งตัวเป็น ‘บริษัททุน’ อัดฉีดเม็ดเงินสนับสนุนธุรกิจแชร์รถรายใหญ่ระดับภูมิภาค เช่น Grab ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Lyft ในอเมริกา, Ola
ในอินเดีย, 99 ในบราซิล และ Taxify ที่เจาะตลาดในกลุ่มประเทศแถบยุโรป แอฟริกา และเม็กซิโก ซึ่งล้วนแต่เป็นคู่แข่งสำคัญของ Uber ทั้งสิ้น และกำลังจับตาตลาดใหม่ในลาตินอเมริกาอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นแผนการที่ชาญฉลาดทีเดียว ที่สำคัญ DiDi ยังมีพันธมิตรใหญ่คอยสนับสนุน อาทิ Apple, Bank of Communications ธนาคารใหญ่ในจีน, Foxconn และ SoftBank ปีนี้ DiDi ยังมุ่งพัฒนา AI หวังยกระดับบริการและพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ แข่งกับ Uber พร้อมกับตั้งเป้าว่าจะขยายตลาดสู่ระดับโลกในเร็วๆ นี้ ซึ่งเราน่าจะได้เห็นการเปิดศึกอันดุเดือดระหว่างสองเจ้านี้กันอีกครั้งแน่นอน Photo: JD.com
ดูเหมือนว่าคู่แข่งของ Alibaba จะไม่ได้มีแค่ Amazon เท่านั้น เพราะเวลานี้ JD.com หรือ Jingdong ที่ได้รับสมญานามว่าเป็น ‘Amazon แห่งเมืองจีน’ กำลังเร่งเครื่องแข่งกับ Alibaba แบบเต็มสูบ Richard Liu เริ่มทำธุรกิจ JD.com ปี 1998 ก่อนจะยื่นขาย IPO เข้าตลาดหุ้น Nasdaq ในอเมริกาปี 2014 ทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงกว่า 7,300 ล้านดอลลาร์ และติดอันดับ 15 บริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงสุดในปีนั้น โดย Liu
กล่าวว่าเป้าหมายต่อไปของบริษัทก็คือ ล้มยักษ์ใหญ่ Alibaba ให้ได้นั่นเอง ซึ่งการขยายอาณาจักรในช่วง 2-3 ปีต่อมาก็ยิ่งตอกย้ำว่าเขาเอาจริง แต่ที่สร้างอิมแพกต์มากที่สุดคือ การผนึกกำลังที่ลงตัวกับ Walmart ค้าปลีกยักษ์ในอเมริกา เพราะ JD.com เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซอยู่แล้ว ทั้งยังมีความรู้ด้านข้อมูลและเทคโนโลยี จึงตอบโจทย์ความต้องการของ Walmart ที่พยายามจะขยายตลาดออนไลน์ และเข้าถึงลูกค้าทุกช่องทาง (Omnichannel) ขณะเดียวกัน JD.com ก็มี Walmart เป็นซัพพลายเชนรายใหญ่ป้อนสินค้าเข้าตลาดของตัวเองให้ลูกค้าชาวจีนได้มหาศาล ปัจจุบัน JD.com ลงทุนในเทคโนโลยี Internet of Things และ Big Data และเพิ่งเปิดตัวศูนย์คัดแยกสินค้าที่ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบเป็นแห่งแรก เพื่อรองรับออเดอร์ทางออนไลน์ไม่ต่ำกว่า 9,000 รายการ/ชั่วโมง คำถามก็คืออีคอมเมิร์ซรายนี้จะเดินเกมอย่างไรในการแข่งขันตลาดโลก Photo: SpaceX
SpaceX บริษัทสำรวจอวกาศเอกชนที่น่าจับตามองมากที่สุดในเวลานี้ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นบริษัทที่ก่อตั้งด้วยเงินทุนส่วนตัวของ อีลอน มักส์ ซีอีโอ Tesla แต่ยังมีความมุ่งมั่นทะเยอทะยานเหนือกว่าที่สตาร์ทอัพหรือบริษัททุนรายไหนในตอนนั้นจะกล้าฝันถึง และค่อยๆ เปลี่ยนมันให้เป็นความจริง SpaceX ยังได้เซ็นสัญญากับ NASA อนุมัติให้ปฏิบัติภารกิจส่งมนุษย์อวกาศเดินทางไป-กลับสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นก้าวใหม่ของวงการธุรกิจเอกชนด้านอวกาศ หลังจากเกิดเหตุระเบิดที่ฐานปล่อยจรวดระหว่างการทดสอบเมื่อกันยายนปีที่แล้ว SpaceX ก็กลับมากู้วิกฤตได้สำเร็จอีกครั้ง ด้วยการปล่อยจรวดฟัลคอนไนน์ (Falcon 9) สู่วงโคจร และกลับมาลงจอดบนฐานอย่างปลอดภัย สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการนำจรวดกลับมาใช้งานอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายการขนส่งทางอวกาศได้มหาศาล ส่งผลให้ลูกค้าภาครัฐและเอกชนสนใจเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำเงินได้ราวๆ 7,000 ล้านดอลลาร์ เช่น โครงการปล่อยชุดดาวเทียมสื่อสารอิริเดียมขึ้นสู่วงโคจรต่ำ Iridium Next และรับจ้างปล่อยดาวเทียมสอดแนมให้กับกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งปกติแล้วจะถูกผูกขาดโดยบริษัท United Launch Alliance เท่านั้น รายงานวิจัยหนึ่งของนาซาและแอร์ฟอร์ซ ได้ประเมินงบการสร้างของจรวดฟัลคอนไนน์ ตั้งแต่ร่างแบบแรกจนถึงการปล่อยจรวดครั้งแรก คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 440 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของงบสร้างจรวดของนาซา พิสูจน์ให้เห็นว่าบริษัทเอกชนที่มีขนาดเล็กกว่าก็แซงหน้าองค์กรระดับโลกในการแข่งขันผลิตเทคโนโลยีจรวดได้สำเร็จ ทว่า อีลอน มักส์ มีภารกิจและเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือการส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร ด้วยยานอวกาศท่องเที่ยวที่รองรับผู้โดยสารได้มากถึง 5 แสนที่นั่ง เขาเพิ่งเปิดตัวชุดอวกาศโฉมใหม่ของ SpaceX ที่มีดีไซน์สุดล้ำ และจะเริ่มภารกิจดาวอังคารในปี 2018 Photo: WeWork 4. WeWork ในยุคที่ใครๆ ก็พากันเปิดโคเวิร์กกิ้งสเปซสุดฮิป รองรับชาวฟรีแลนซ์ที่ออกมาทำงานนอกบ้าน WeWork ไปไกลกว่านั้นด้วยการขยายธุรกิจจากการให้เช่าพื้นที่ออฟฟิศเล็กๆ ในบรูกลิน ไปสู่คอมมูนิตี้ที่เปิดให้แชร์พื้นที่ทำงานและออฟฟิศมากถึง 160 สาขา 38 เมืองทั่วโลก และกำลังเดินหน้าสร้างอาณาจักรอย่างมุ่งมั่น Miguel McKelvey และ Adam Neumann สองผู้ก่อตั้ง WeWork กล่าวว่าไอเดียตั้งต้นของพวกเขาก็คือ การสร้างคอมมูนิตี้ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันและทำงานร่วมกันจริงๆ เมื่อธุรกิจขยับขึ้นสู่ตลาดโลก พวกเขาปรับจุดยืนจากธุรกิจโคเวิร์กกิ้งสเปซ มาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาและออกแบบการใช้พื้นที่ออฟฟิศให้กับบริษัทใหญ่อย่าง IBM และไมโครซอฟท์ โดยมองว่าการจัดการพื้นที่ออฟฟิศก็ถือเป็นบริการแบบหนึ่ง (Office Space as a service) ปีที่แล้ว บริษัทระดมทุนเงินได้ถึง 690 ล้านดอลลาร์สำหรับแผนขยายตลาดในเอเชีย และเพิ่งจะได้เงินระดมทุนก้อนใหญ่ 760 ล้านดอลาร์ จาก SoftBank ส่งผลให้บริษัทติดอันดับหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกทันที ด้วยมูลค่าราว 21,000 ล้านดอลลาร์ รองจาก Uber และ Airbnb ตามลำดับ Photo: WeWork WeWork เดิมพันครั้งใหญ่กับการศึกษาวิจัยและเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้พื้นที่ออฟฟิศของธุรกิจหลากหลายประเภทหลายพันราย เช่น ดูว่าคนทำงานกันอย่างไร บรรยากาศแบบไหนที่เอื้อให้คนทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ขนาดพื้นที่ทำงานที่เหมาะสม เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปพัฒนาประสบการณ์กับผู้ใช้บริการและลูกค้าอีกที ปัจจุบันอาณาจักรของ WeWork ครอบคลุมตั้งแต่บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซ ออฟฟิศ ฟิตเนส บริการแชร์ที่พัก WeLive และกลายเป็นชุมชนของนักสร้างสรรค์และสตาร์ทอัพ WeWork ยังเตรียมบุกตลาดจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเข้าซื้อกิจการคู่แข่ง Spacemob ในสิงคโปร์ไปแล้ว Photo: SenseTime
ท่ามกลางกระแส ‘AI-First’ ที่กำลังบูมสุดๆ ในจีน SenseTime ได้ไต่อันดับขึ้นมาเป็นสตาร์ทอัพผู้ให้บริการด้าน AI แถวหน้าของวงการธุรกิจการเงิน
Photo: SenseTime
Photo: Hyperloop One
Photo: digitalinsuranceagenda.com
เหตุมัลแวร์เรียกค่าไถ่ระบาดที่สร้างความเสียหายไปทั่วโลกในช่วงกลางปี 2017 ทำให้บริษัทเอกชนและภาครัฐพุ่งเป้าความสนใจมาที่ระบบการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ นำมาซึ่งการลงทุนในธุรกิจสายไซเบอร์เทค (Cybertech) จำนวนมาก Photo: noTonomy
ดูเหมือนว่าผู้ผลิตยานยนต์และบริษัทไอทีชั้นนำของโลกกำลังเดิมพันอนาคตกับการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับไว้สูงทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็น Tesla, Uber, Google, Toyota, Volvo หรือ Baidu เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ตกขบวนนี้
ในบรรดาสื่อออนไลน์น้องใหม่มาแรงและเจ้าเก่าที่ปรับตัวเข้าสู่สมรภูมิออนไลน์ได้สมศักดิ์ศรี (โดยไม่เจ็บตัวมากนัก) เราสนใจ Vox Media ที่ก้าวกระโดดจากบล็อกข่าวกีฬามาสู่ธุรกิจสื่อร่วมสมัยที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ น้อยคนจะรู้ว่า Vox Media
ธุรกิจสื่อมัลติมีเดีย-ออนไลน์ชื่อดัง มีจุดเริ่มต้นมาจากบริษัท SportsBlogs Inc. เจ้าของเว็บบล็อกกีฬา SB Nation และเริ่มทำนิตยสารเฉพาะกลุ่ม โดยได้ Jim Bankoff เข้ามาดำรงตำแหน่งซีอีโอและช่วยรีแบรนด์ธุรกิจใหม่ จนกลายมาเป็น Vox Media Photo: WeFarm 10. WeFarm
Agricultural Technology หรือ AgTech เป็นอีกเทรนด์ที่ได้รับความสนใจในเวลานี้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีอัจฉริยะได้กลายเป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรและหน่วยอื่นๆ ขับเคลื่อนห่วงโซ่การผลิตและบริโภคไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัยในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหล่านี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในวันที่มนุษยชาติจะต้องรับวิกฤตการขาดแคลนอาหารในอนาคต 10 บริษัทที่กล่าวมาข้างต้นนี้อาจไม่ใช่ ‘ผู้นำ’ ของแต่ละอุตสาหกรรม หรือบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคนี้เสียทีเดียว แต่อย่างน้อยสิ่งที่ธุรกิจเหล่านี้ลงมือทำก็ก่อให้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลง และยังสะท้อนให้เห็นภาพรวมความเคลื่อนไหวในแวดวงอุตสาหกรรมธุรกิจ รวมทั้ง ‘ผู้เล่น’ หน้าเก่า-ใหม่ที่สลับบทบาทกันกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและอนาคต Photo: Flickr.com, Wefarm.org, nutonomy.com, hyperloop-one.com, sensetime.com อ้างอิง:
|