ความหมายของการวิเคราะห์วรรณกรรมการวิเคราะห์ หมายถึง การพิจารณาตรวจตรา แยกแยะและประเมินค่า ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อผู้วิเคราะห์ในการนำไปแสดงความคิดเห็น อภิปรายข้อเท็จจริงให้ผู้อื่นทราบ ด้วยว่าใครเป็นผู้แต่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร มีประโยชน์อย่างไร ต่อใครบ้าง ผู้วิเคราะห์ มีความเห็นอย่างไร เรื่องที่อ่านมีคุณค่าด้านใดบ้างและแต่ละด้านสามารถนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง Show แนวในการวิเคราะห์วรรณกรรมการวิเคราะห์วรรณกรรมมีหลักเกณฑ์การปฏิบัติอย่างกว้าง ทั้งนี้เพื่อให้ครอบคลุมงานเขียนทุกประเภท แต่ละประเภท ผู้วิเคราะห์ต้องนำแนวการวิเคราะห์ไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกับงานเขียนแต่ละชิ้นงานซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป ซึ่งประพนธ์
เรืองณรงค์ และคณะ (2545 : 128) ได้ให้หลักเกณฑ์กว้าง ๆ ในการวิเคราะห์วรรณกรรม ดังนี้ การวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมความหมายของการวิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรม วิธีวิเคราะห์และวิจารณ์งานประพันธ์ตามปกติแล้วเมื่อจะวิจารณ์สิ่งใด จำเป็นต้องเริ่มวิเคราะห์องค์ประกอบต่าง ๆ ให้เข้าใจ
ชัดเจนเสียก่อนแล้วจึงวิจารณ์แสดงความเห็นออกมาอย่างมีเหตุผล ให้น่าคิด น่าฟังและเป็นคำวิจารณ์ที่น่าเชื่อถือได้ ประเด็นที่ใช้ในการวิเคราะห์และวิจารณ์คุณค่าของงานวรรณคดีและวรรณกรรมการวิเคราะห์และวิจารณ์งานประพันธ์เท่าที่พบเห็นทั่ว ๆ ไป นักวิจารณ์นิยมพิจารณากว้าง ๆ 4 ประเด็น การพิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์วรรณศิลป์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญซึ่งช่วยส่งเสริมให้วรรณกรรมมีคุณค่าน่าสนใจ คำว่า “วรรณศิลป์” หมายถึง ลักษณะดีเด่นทางด้านวิธีแต่ง การเลือกใช้ถ้อยคำ สำนวน ลีลา ประโยค และความเรียงต่าง
ๆ ที่ประณีต งดงาม หรือมีรสชาติเหมาะสมกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างดี วรรณกรรมที่ใช้วรรณศิลป์ชั้นสูงนั้นจะทำให้คนอ่านได้รับผลในทางอารมณ์ความรู้สึก เช่น เกิดความสดชื่น เบิกบาน ขบขัน เพลิดเพลิน ขบคิด เศร้าโศก ปลุกใจ หรืออารมณ์อะไร ก็ตามที่ผู้เขียนต้องการสร้างให้เกิดขึ้นในตัวผู้อ่าน นั่นคือ วรรณศิลป์ในงานเขียน ทำให้ผู้อ่าน เกิดความรู้สึกในจิตใจและเกิดจินตนาการสร้างภาพคิดในสมองได้ดี เมื่อเรายังเล็กเป็นเด็กน้อย (บทกวีเรื่อง วอนขอ ของ กุลทรัพย์ รุ่งฤดี) การวิจารณ์คุณค่าด้านเนื้อหาสาระ แนวความคิด และกลวิธีนำเสนองานประพันธ์ที่มีคุณค่าน่าสนใจนั้น นอกจากจะมีวิธีใช้ถ้อยคำภาษาและแสดงชั้นเชิง การแต่งอย่างดีแล้ว ยังต้องวิเคราะห์ถึงเนื้อหาสาระและแนวความคิดที่มีประโยชน์ต่อคนอ่านอีกด้วย
เนื้อหาสาระที่ดีนั้นอาจเป็นในแง่การให้ความรู้ ให้ความคิดเห็น คติ คำสอน ข้อเตือนใจ ชี้ช่องให้มองเห็นความจริง ความดี ชี้ทางแก้ปัญหา แนะสิ่งที่ควรปฏิบัติหรือ สิ่งที่ควรละเว้น กลวิธีการเขียนอาจชี้แนะโดยตรงหรือทางอ้อมก็ได้แล้วแต่กลวิธีของผู้เขียน ว่าจะทำได้แนบเนียนน่าสนใจเพียงใด ตั้งแต่น้อยยังนึกรำลึกได้ ขอเล่าสู่คุณครูผู้ร่วมใจ ว่าดอกไม้มีอำนาจดลบันดาล คุณยายฉันท่านพาไปฟังเทศน์ ธรรมวิเศษแสนสุดพุทธบรรหาร ฉันไม่รู้รสธรรมล้ำโอฬาร ที่พระท่านเทศนาว่าอย่างไร เพราะตัวฉันยังเด็กยังเล็กนัก จะรู้จักรสพระธรรมได้ไฉน ที่ฉันไปฟังเทศน์ทุกคราวไป เพราะฉันอยากได้ดอกจำปาของตาพลอย ตาพลอยดีมีจำปาบูชาพระ เด็กเด็กจะแย่งกันลาอยู่บ่อยบ่อย ดอกไม้อื่นดื่นไปมีไม่น้อย แต่ไม่ค่อยถูกใจใช่จำปา เด็กรุ่นฉันพากันไปฟังเทศน์ ก็เพราะเหตุอย่างเดียวจะเทียวหา ดอกไม้ของตาพลอยเพื่อคอยลา ต่างตั้งท่าแย่งกันทุกวันไป ดอกจำปาล่อใจให้เป็นเหตุ ฉันคงไปฟังเทศน์หาหยุดไม่ ยิ่งนานวันพลันค่อยเจริญวัย ยิ่งเข้าใจธรรมซึ้งขึ้นทุกที พุทธประวัติชาดกท่านยกมาอ้าง ความคิดกว้างเห็นงามตามวิถี รสพระธรรมนำใจให้ใฝ่ดี ฉันเป็นหนี้ดอกจำปาของตาพลอย (เรื่อง “ดอกจำปาของตาพลอย” ของเจือ สตะเวทิน) วิเคราะห์และวิจารณ์คุณค่าด้านเนื้อหาสาระ แนวความคิดและกลวิธีนำเสนอ กลอนสุภาพทั้ง 7 บทนี้ เนื้อหาเป็นเรื่องราวในวัยเด็กของผู้เขียนเล่าถึงการตามคุณยายไปฟังเทศน์เพราะอยากได้ดอกไม้ คือ ดอกจำปา ครั้นไปฟังเทศน์บ่อยเข้า ทำให้เข้าใจคำสอนต่าง ๆ จึงเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นคนดี นับได้ว่าดอกจำปาเป็นดอกไม้ที่มีคุณค่าต่อชีวิต บทร้อยกรองเรื่องนี้ ในแง่วรรณศิลป์จะเห็นว่าใช้ถ้อยคำง่าย ๆ อ่านเข้าใจดี การลำดับเนื้อเรื่อง เรียงลำดับไม่สับสน เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาพบว่ากล่าวถึงความดีของรสพระธรรมคำสอน และให้ข้อเตือนใจแก่ผู้อ่านคือไม่ให้มองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้เราได้รับ ผลตอบแทนในทางที่ดีงาม บทร้อยกรองลักษณะนี้จึงวิจารณ์โดยสรุปได้ว่าดีพร้อมทั้งจินตนาการภาพคิดและเนื้อหาสาระเตือนใจ นับว่ามีคุณค่าต่อผู้อ่านเป็นอย่างมาก การพิจารณาคุณค่าด้านสังคมการพิจารณาคุณค่าด้านสังคมจากวรรณกรรม ผู้อ่านต้องค้นหาสาระก่อนว่าผู้เขียน ต้องการเสนอ “สาระ” อะไรให้กับผู้อ่านเป็นด้านดีหรือด้านเสียของสังคมและผู้อ่าน ต้องพิจารณาว่า พึงปฏิบัติอย่างไร หรือได้แนวคิดอะไรบ้างจากการอ่านวรรณกรรมนั้น การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน งานประพันธ์ย่อมประกอบด้วยถ้อยคำ เนื้อหาสาระและกลวิธีการเขียนแบบต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำงานประพันธ์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น ในแง่จดจำถ้อยคำสำนวนไปใช้้เพื่อความสนุกสนาน ความไพเราะ ส่วนเนื้อหาสาระอาจนำไปใช้ในแง่ได้คติข้อเตือนใจ
ได้ความคิดเห็นที่มีประโยชน์ต่อชีวิต ครอบครัว สังคมและประเทศชาติ ตัวอย่างแนวการวิเคราะห์วรรณกรรมประเภทร้อยกรอง 2) ธรรมเนียมนิยมในการแต่ง 2. ธรรมเนียมนิยมในการแต่งและเลือกใช้คำประพันธ์ประเภทฉันท์ นิยมใช้ คำศัพท์สูง ได้แก่ คำโบราณ คำบาลี-สันสกฤต คำแผลง เป็นต้น กวีจะเลือกใช้คำฉันท์ 3. ธรรมเนียมนิยมในการแต่งและการเลือกใช้คำในการแต่งกาพย์ 4. ธรรมเนียมนิยมในการแต่งร่าย ตัวอย่าง บรรยากาศที่สวยเงียบ นิ่มนวล แฝงลีลาอ่อนโยนชวนเคลิบเคลิ้ม ตัวอย่าง บรรยากาศหรืออารมณ์ที่รุ่มร้อน รุนแรง กวีก็เลือกใช้คำและลีลาที่ แข็งกร้าว ก. การใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหรือเห็นภาพ ทำให้เกิดความไพเราะและสะเทือนอารมณ์ตามไปด้วย เช่น ตัวอย่าง ไผ่ซออ้อเอียดเบียดออด ลมลอดไล่เลี้ยวเรียวไผ่ ข. ใช้คำน้อยแต่กินความมาก เป็นการกล่าวอย่างกระชับ แต่มีเจตนาจะให้สื่อ ความหมายคลุมกว้างขวางออกไปยิ่งกว่าที่กล่าวไว้นั้น เช่น ตัวอย่าง “อันของสูงแม้ปองต้องจิต ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ” ค. การเล่นคำ คือการนำคำพ้องรูปพ้องเสียง มาร้อยกรองเข้าด้วยกัน จะทำให้เกิดเสียงไพเราะน่าฟัง ถ้านำมาใช้ในบทพรรณนา หรือบทคร่ำครวญ ก็จะทำให้เกิดความสะเทือนอารมณ์ เช่นตัวอย่าง รอนรอนสุริยะโอ้ อัสดง ง. การใช้คำอัพภาส คือ การซ้ำคำชนิดหนึ่ง โดยใช้พยัญชนะซ้ำเข้าไปข้างหน้า เช่น ริก เป็นระริก ยิ้ม เป็น ยะยิ้ม แย้ม เป็น ยะแย้ม เช่น ตัวอย่าง “เพื่อชื่นชมรมณีย์กับชีวิต ที่จะคิดที่จะทำตามคิดเห็น จ. การเล่นเสียงวรรณยุกต์ คือ การนำคำที่มีพยัญชนะต้น สระ ตัวสะกดอย่างเดียวกัน แต่ต่างวรรณยุกต์กัน นำมาเรียงไว้ใกล้กัน ทำให้เกิดเสียงไพเราะดุจดนตรี เช่น “สกัดไดใดสกัดน้อง
แหนงนอน ไพรฤา ฉ. การสัมผัสอักษร – สัมผัสสระ 2. กวีโวหารและสำนวนโวหาร ง. การกล่าวเกินจริง (อธิพจน์)เป็นการเน้นความรู้สึกบางอย่างให้ชัดเจนขึ้น ทำให้เกิดความแปลก และเรียกร้องความสนใจได้ดี ตัวอย่าง “ถึงโลกแตกแหลกเป็นผงคลี รักเต็มปรี่ไม่มีรู้คลาย” จ. การใช้โวหารปฏิพากย์ (โวหารขัดแย้ง) คือ การนำคำที่มีความหมายขัดแย้งกันมาเรียงต่อกัน ตัวอย่าง “ความหวานชื่นอันขมขื่น” 4) สาระของเนื้อหา ตัวอย่าง สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ในตน ตัวอย่าง
“ทองประศรีดีใจได้ฤกษ์ยาม ได้สิบสามปีแล้วหลานแก้วกู ตัวอย่างแนวการวิเคราะห์วรรณกรรมประเภทร้อยแก้ว การอ่านและวิเคราะห์นวนิยาย องค์ประกอบของนวนิยาย หลักการอ่านและพิจารณานวนิยาย ดังนี้ สรุป ขั้นตอนการวิเคราะห์วิจารณ์มีกี่ขั้นตอนขั้นตอนของการวิจารณ์ ในการเขียนวิจารณ์นั้น เราอาจแบ่งได้เป็น ๓ ขั้นตอนดังนี้ คือ การสรุปแนวคิดและสาระของเรื่อง การวิเคราะห์กลวิธีการแต่ง และการประเมินคุณค่า
ข้อใดคือขั้นตอนการวิเคราะห์วิจารณ์๔. ขั้นตอนการวิเคราะห์วิจารณ์ มีขั้นตอนดังนี้ ๑. หาความรู้เกี่ยวกับประเภทและลักษณะของหนังสือนั้นๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ๒. อ่านหนังสือเรื่องนั้นอย่างถี่ถ้วน หาแนวคิดหลักหรือแก่นของเรื่องที่ผู้เขียนตั้งใจจะสื่อถึงผู้อ่าน. การหลบเสียง. การเอื้อนเสียง. การครั่นเสียง. การครวญเสียง. การกระแทกเสียง. การอ่านเพื่อวิเคราะห์วิจารณ์มีขั้นตอนอย่างไรมีขั้นตอนดังนี้
๑. หาความรู้เกี่ยวกับประเภทและลักษณะของหนังสือนั้นๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ๒. อ่านหนังสือเรื่องนั้นอย่างถี่ถ้วน หาแนวคิด หลักหรือแก่นของเรื่องที่ผู้เขียนตั้งใจจะสื่อถึงผู้อ่าน ๓. หาความรู้และข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่อ่านให้มากที่สุดเพื่อให้เข้าใจเรื่องได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการวิเคราะห์มีอะไรบ้างโดยมีขั้นตอนการดาเนินการวิเคราะห์ดังนี้ 1.การกาหนดปัญหา 2.การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล 3.การวิเคราะห์ระบบแนวทางเลือก 4.การกาหนดความเป็นไปได้ 5.การพัฒนาเค้าโครงหรือโครงร่างระบบ 6.การพัฒนาระบบนาร่องหรือระบบต้นแบบ 7.การออกแบบระบบ 8.การใช้ระบบ 9. การติดตามประเมินผลระบบ
|