การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์นั้น มีความสอดคล้องกันเป็นอันมากจนมีบางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตใจ (Spiritual / Mental Science) และโดยเหตุที่พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ก่อนวิทยาศาสตร์กว่า 2 พันปี จึงน่าจะกล่าวได้ว่าหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง ไปสอดคล้องกับหลักการและวิธีการของพระพุทธศาสนามากกว่า ทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีจุดเน้นเหมือนกัน คือ สอนมิให้คนงมงาย ควรนำสิ่งต่าง ๆ มาพิจารณาด้วยเหตุผล มีการทดสอบทดลอง ตรวจสอบ จนเกิดความแน่ใจและเชื่อด้วยตนเอง ด้วยปัญญาที่สั่งสมไว้ของตนเอง พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนมิให้คนเชื่ออะไรง่าย ๆ (กาลามสูตร ติกนิบาต อังคุตรนิกาย) หรือมีศรัทธาแบบตาบอด 10 ประการ คือ 1. อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา หลักการเหล่านี้ไม่แตกต่างกับหลักการของวิทยาศาสตร์ ซึ่งเน้นเรื่อง “วิกฤต วิจารณญาณ” คือ การพิจารณาสิ่งใดต้องรอบคอบและถี่ถ้วนมากที่สุด แนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของสรรพสิ่ง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต หากนำมาเปรียบเทียบกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนา จะเห็นว่ามีความสอดคล้องกันอย่างดี ดังเปรียบเทียบต่อไปนี้ (วิทยาศาสตร์) สรรพสิ่งในจักรวาลอาจแบ่งออกได้เป็น 2 องค์ประกอบ คือ 1. สสาร (พระพุทธศาสนา)สรรพสิ่งในจักรวาลอาจแบ่งออกได้เป็น 2 องค์ประกอบ คือ 1. รูป (วิทยาศาสตร์)1. สสาร แบ่งเป็น 3 สถานะ (พระพุทธศาสนา)1. รูปต่าง ๆ แบ่งออกได้เป็น “ธาตุ” หรือ “ธรรมชาติ” 4 ประเภท (วิทยาศาสตร์) 2. พลังงาน เช่น ความร้อน… แสง เสียง ฯลฯ จากข้อมูลเปรียบเทียบด้านบนจะเห็นได้ว่า วิทยาศาสตร์อธิบาย “ธรรมชาติ” โดยมีแนวคิดว่ามี 2 องค์ประกอบ คือ สสารกับพลังงาน และใช้แนวคิดนี้อธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นส่วนมาก (กล่าวแล้วในตอน 1.1) แนวคิดดังกล่าวนี้สอดคล้องพอดีกับ “รูป” ในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วย สสารและพลังงาน แต่พระพุทธศาสนายังมีองค์ประกอบตัวใหม่ซึ่งไม่มีในวิทยาศาสตร์ นั่นคือ องค์ประกอบที่เรียกว่า “นาม” หรือ “จิต” หรือ “มโน” หรือ “วิญญาณ” ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แตกต่างไปจากรูปนาม ประกอบด้วย 1. ความรู้สึก พระพุทธศาสนาอธิบายว่า “ชีวิต” ย่อมประกอบด้วยรูป หรือส่วนที่เป็นร่างกายและนาม คือส่วนที่เป็นจิตใจซึ่งมีความสามารถ 4 ประการ ดังกล่าว และจากหลักการข้อนี้ พระพุทธศาสนาสามารถอธิบายได้ถึงสภาพการเกิดทุกข์ สาเหตุของการเกิดทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด กฏแห่งกรรม ตลอดจนวิถีทางทำให้ทุกข์ลดลง จนกระทั่งดับไปในที่สุด สิ่งเหล่านี้วิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบ จึงถือได้ว่าพระพุทธศาสนาก้าวไกลกว่าวิทยาศาสตร์มากมายนักในการอธิบายธรรมชาติของชีวิต ข้อแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์และพระพุทธศาสนาที่น่าสังเกต ประการหนึ่ง คือ แนวความคิดเกี่ยวกับ “ปัญญา” ซึ่งพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
จุดแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ ปัญญาวิทยาศาสตร์ จะตรงกันกับปัญญา 2 ประเภทแรกของพระพุทธศาสนา การศึกษาค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะกระทำต่อเนื่องนาน ลึกซึ้ง หรือเข้มข้นมากเท่าใด ก็เกิดปัญญาเพียง 2 ประเภทแรกเท่านั้น จะไม่มีปัญญาประเภทที่ 3 เกิดขึ้นเลย หากต้องการปัญญาประเภทที่ 3 พระพุทธองค์ก็ตรัสสอนบันไดไว้ 3 ขั้น คือ ให้ผู้นั้น
อาจสรุปได้ว่าทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีความสอดคล้องกัน คือ
ในด้านความแตกต่าง พระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีแนวคิดไม่ตรงกัน คือ
ความสอดคล้องและความแตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนากับหลักวิทยาศาสตร์
สรุปความว่า ความแตกต่างระหว่างพุทธศาสตร์ กับ วิทยาศาสตร์ที่สำคัญคือวิทยาศาสตร์ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม ความดีความชั่ว วางตัวเป็นกลางในเรื่องถูกผิด การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ให้ทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ ส่วนคำสอนทางพุทธ-ศาสนานั้น เป็นเรื่องศีลธรรม ความดี ความชั่ว มุ่งที่จะให้มนุษย์ในสังคมมีความสุขเป็นลำดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงความสงบสุขอันสูงสุดแล้วแต่ว่าใครจะไปได้แค่ไหน |