Show �ѡɳ���Ż�Ѳ��������ѹ The five good emperors (Nerva, Trajan, Hadrian, Antoninus Pius and Marcus Aurelius) (96 A.D. – 180 A.D.), จักรวรรดิโรมันเคยมีดินแดนอยู่ในการครอบครองมากมาย ได้แก่ อังกฤษและเวลส์ ยุโรปส่วนใหญ่ (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์) ชายฝั่งของแอฟริกาเหนือ บริเวณมณฑลใกล้เคียงของอียิปต์ แถบบอลข่าน ทะเลดำ เอเชียไมเนอร์ และส่วนใหญ่ของบริเวณลีแวนท์ ซึ่งดินแดนเหล่านี้ จากตะวันตกสู่ตะวันออกในปัจจุบันได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แอลเบเนียและกรีซ แถบบอลข่าน ตุรกี ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของเยอรมนี ทางภาคใต้จักรวรรดิโรมันได้รวบรวมตะวันออกกลางไว้ ซี่งในปัจจุบันก็ได้แก่ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล จอร์แดน จากนั้นในภาคตะวันตกเฉียงใต้ จักรวรรดิได้รวบรวมอียิปต์โบราณไว้ทั้งหมด และได้ทำการยึดครองต่อไปทางตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณชายฝั่งทะเลซี่งในปัจจุบันคือประเทศลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรียและโมร็อกโก จนถึงตะวันตกของยิบรอลตาร์ ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันเรียกว่าชาวโรมัน และดำเนินชีวิตภายใต้กฎหมายโรมัน การขยายอำนาจของโรมันได้เริ่มมานานตั้งแต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยจักรพรรดิทราจัน ด้วยชัยชนะเหนือดาเซีย (ปัจจุบันคือประเทศโรมาเนียและมอลโดวา และส่วนหนึ่งของประเทศฮังการี บัลแกเรียและยูเครน) ในปี ค.ศ.106 และเมโสโปเตเมียในปี ค.ศ. 116 (ซึ่งภายหลังสูญเสียดินแดนนี้ไปในสมัยจักรพรรดิฮาเดรียน) ถึงจุดนี้ จักรวรรดิโรมันได้ครอบครองแผ่นดินประมาณ 5,900,000 ตร.กม. (2,300,000 ตร.ไมล์) และห้อมล้อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวโรมันเรียกทะเลนี้ว่า mare nostrum “ทะเลของเรา” อิทธิพลของโรมันได้ส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านภาษา ศาสนา สภาปัตยกรรม ปรัชญา กฎหมายและระบบการเมืองมาจนถึงทุกวันนี้ จักรวรรดิถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน และถือว่าจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในช่วงเวลาประมาณวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิโรมิวลุส ออกุสตุส จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้นในโรม (ดูในการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน) อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ ก็ได้รักษากฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบกรีก-โรมัน รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ไว้ได้ในอีกสหัสวรรษต่อมา จนถึงการล่มสลายเมื่อเสียกรุงคอนแสตนติโนเปิลให้กับจักรวรรดิออตโตมัน ในปีค.ศ. 1453
เมื่อพระจักรพรรดิคอนสแตนติน ย้ายเมืองหลวงจากตะวันตกไปตะวันออกก็ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกแตกแยกระหว่างตะวันตกและตะวันออก จนถึง ค.ศ. 400 ก็บ่งชัดว่าเป็นจักรวรรดิตะวันตก จักรวรรดิตะวันออก จักรวรรดิตะวันออกมีอายุยืนยาวมาจนถึงสมัยที่ถูกพวกเตอร์กรุกรานในปี ค.ศ. 1453 สำหรับจักรวรรดิโรมันตะวันตกนั้นได้ถูกพวกอนารยชนเยอรมัน (Teutonic) ล้มล้างไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 476
สาเหตุความเสื่อมของจักรวรรดิ 1. หลังปี ค.ศ. 180 เนื่องจากไม่มีกำหนดการสืบตำแหน่งไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดการแย่งอำนาจในหมู่นายพล 2. การถูกโจมตีจากศัตรูภายนอกและเกิดรัฐอิสระขึ้นตามชายแดนที่ถูกคุกคาม 3. ที่ดินแทบทั้งจักรวรรดิตกอยู่ในเงื้อมมือชนชั้นสูงส่วนน้อยเท่านั้น ชาวนาที่สิ้นเนื้อประดาตัวกลายเป็นโคโลนุส (Colonus) ซึ่งจะได้รับที่ดินชิ้นหนึ่งจากเจ้าของที่ดิน เพื่อทำการเพาะปลูกโดยเสรี แต่จะต้องชดใช้เจ้าของที่ดินด้วยแรงงานของตน เมื่อนานวันเข้าก็เปลี่ยนสภาพเป็นกึ่งทาส (serdom) 4. สงครามกลางเมือง ทำให้กระทบกระเทือนระบบการค้า ภารสิ้นสุดจักรวรรดิโรมันตะวันตก เพื่อความเข้าใจในเหตุการณ์จึงแทรกลำดับพระจักรพรรดิของโรมันเฉพาะที่สำคัญๆ ไว้ตามลำดับดังนี้คือ 1. ออกุสตุส (Augustus) 30 ปีก่อน ค.ศ.–ค.ศ. 14 นับเป็น “ยุคทองของโรม” 2. ทิเบริอุส (Tiberius) ค.ศ. 14-37 เพิ่มอำนาจจักรพรรดิและลดอำนาจของสภาราษฎร 3. คลอดิอุส (Claudius) ค.ศ. 41-54 ได้ปกครองภาคใต้ของอังกฤษ และเผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณี วรรณคดี และภาษาของโรมันไปสู่ประเทศนั้น นอกจากนี้ยังยินยมให้มีตัวแทนจากมณฑลอื่น ๆ เข้าร่วมประชุมสภาซีเนท นับว่าเป็นการรวมที่ได้ผลวิธีหนึ่ง 4. เนโร (Nero) ค.ศ. 54-68 เป็นจักรพรรดิที่โหดเหี้ยมมาก เพราะทรงฆ่าพระมารดา, พระอนุชา, ชายา 2 องค์ รวมทั้งพระอาจารย์ของพระองค์เองคือ เซเนคา (Seneca) ปรัชญาเมธีผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง รวมทั้งเป็นผู้ที่ทำการจุดไฟเผากรุงโรมเพียงเพื่อความบันเทิงของตัวเอง ป้ายความผิดให้พวกคริสเตียน และประหารชีวิตเสียเป็นจำนวนมาก ในปลายรัชสมัยของพระองค์ได้เกิดจลาจลขึ้นในโรม จักรพรรดิเนโรปลงพระชนม์พระองค์เอง ใน ค.ศ. 68 นับเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์จูเลียน 5. เวสปาเชียน (Vespasian) ค.ศ. 69-79 เดิมเป็นแม่ทัพที่ปราบปรามจลาจลในโรมตอนปลายสมัยเนโรได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิราชวงศ์เลเวียน (Flavian) งานชิ้นสำคัญคือโคลอสเซียม (Colosseum) ได้ทรงส่งโอรสติตุส (Titus) ไปปราบปรามและทำลายกรุงเจรูซาเล็มในปาเลสไตน์ 6. ทราจัน (Trajan) ค.ศ. 98-177 รวมรูมาเนีย (ดาเซีย) เข้ามาอยู่ในบังคับของโรมและขยายอาณาจักรโรมันออกไปกว้างขวางยิ่งขึ้น 7. เฮเดรียน (Hadrian) ค.ศ. 117-138 ทรงขยายแนวป้องกันการรุกรานออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษ ในยุโรปกลาง ระหว่างลุ่มแม่น้ำไรน์และแม่น้ำดานูบ เพื่อป้องกันการรุกรานของพวกอารยชน 8. มาร์คุส ออเรลีอุส (Marcus Aurelius) ค.ศ. 161-180 นับว่าเป็นกษัตริย์พระองค์สุดท้ายที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นจักรพรรดิที่มี 5 พระองค์ (ค.ศ. 96-180) ทรงเขียนหนังสือ ”Meditations” บรรยายหลักปรัชญาในแนวสโตอิค คือถือความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ รัชสมัยของพระองค์นี้ถือว่าเป็นสมัยสุดท้ายของสันติภาพโรมัน(Pax Romana) ซึ่งคงอยู่ระหว่าง 27B.C.–180A.D. นับเป็นปีแห่งสันติสุขโรมัน และเป็นช่วงระยะที่อารยธรรมเฮลเลนิสติคแผ่ขยายออกไปในจักรวรรดิมากที่สุด 9. ไดโอเคลเชียน (Diocletian) ค.ศ. 284-305 เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่สามารถทรงจัดการระงับการจลาจลวุ่นวายภายหลังสันติภาพโรมัน พระองค์ปกครองอาณาจักรภาคตะวันออกของโรมันเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางตะวันตกได้ทรงแต่งตั้งผู้ปกครองอีกองค์หนึ่ง ซึ่งการแบ่งเช่นนี้ได้นำไปสู่การแบ่งอาณาจักรโรมันออกเป็นภาคตะวันตกและตะวันออกในสมัยต่อมา ((ภาพแสดงอาคารศาลาประชาคม)) 10. คอนสแตนติน (Constantine) ค.ศ. 312-337 รวมจักรวรรดิโรมันเป็นจักรวรรดิเดียวกันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และย้ายเมืองหลวงจากโรมไป ไบแซนติอุม (Byzantium) เปลี่ยนเรียกชื่อใหม่ว่า “คอนสแตนติโนเปิล” (Constantinople) ตามพระนามของพระองค์ (ปัจจุบันคือเมืองอิสตันบุล) โดยเจตนาจะให้เป็นศูนย์กลางของการปกครองดินแดนทั้งภาคตะวันตกและตะวันออก แต่การทั้งนี้กลับทำให้ประชาชนเริ่มรู้สึกแบ่งแยกทางจิตใจ ทางตะวันตกซึ่งมีอิตาลี สเปน โลกยังยึดอารยธรรมโรมันอยู่ (Romanization) แต่ทางตะวันออกซึ่งมีคอนสแตนติโนเปิล และเอเชียโมเนอร์ต่างรับอารยธรรมกรีก (Hellenization) และเมื่อคอนสแตนตินประกาศ “กฤษฎีกาแห่งมิลาน” (Edict of Milan) แล้ว คริสตศาสนาก็สามารถเผยแพร่ในอาณาจักรโรมได้ พระราชกฤษฎีกาแห่งมิลาน (ภาษาอังกฤษ: Edict of Milan) เป็นจดหมายเวียนลงชื่อโดยจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 and จักรพรรดิลิซินิอุสซึ่งประกาศให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาต่อประชาชนในจักรวรรดิโรมันจดหมายฉบับนี้ออกเมื่อปี ค.ศ. 313 หลังจากสมัยของการปราบปรามผู้นับถือศาสนาคริสต์โดยจักรพรรดิไดโอคลีเชียน จดหมายที่ลงชึ่อโดยจักรพรรดิสององค์เป็นจดหมายเวียนในกลุ่มเจ้าเมืองทางจักรวรรดิโรมันตะวันออก ซึ่งประกาศว่าจักรวรรดิจะเป็นทำตัวเป็นกลางในการนับถือศาสนาของประชาชน ซึ่งเป็นการยกเลิกอุปสรรคต่างๆ ในการนับถือคริสต์ศาสนาและศาสนาอื่นๆ จดหมาย “ประกาศอย่างจะแจ้งว่าผู้ลงชื่อของกฏนี้ไม่มีความประสงค์จะลงโทษผู้นับถือลัทธินิยมที่ไม่ใช่คริสต์ศาสนา”((กฤษฎีกาแห่งมิลาน ค้นคว้าเพิ่มเติมได้ที่http://home.snu.edu/~dwilliam/f98/milan/history.htm)) ((เมืองอิสตันบุล ประเทศตุรกี ค้นคว้าเพิ่มเติมได้ที่http://www.thaigoodview.com/node/4483)) ((แผนที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล)) 11. จัสติเนียน ( Justinian) ค.ศ.527-565 เป็นพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันออกในสมัยแรก ย้อนกล่าวถึงในสมัยเมื่อ มาร์คัส ออเรลิอุส สิ้นพระชนม์แล้ว สันนิษฐานว่าสาเหตุคงจะเนื่องจากเกิดโรคระบาดใหญ่ในจักรวรรดิ พระจักรพรรดิองค์ต่อๆมาก็อ่อนแอและสนใจเฉพาะแต่การกีฬาและการบันเทิง ในที่สุดก็ถูกลอบปลงพระชนม์และตำแหน่งจักรพรรดิก็กลายเป็นตำแหน่งที่ราชองครักษ์นำไปขายให้แก่ผู้ที่ให้ราคาดีที่สุด พวกทหารตามมลฑลต่างๆ ก็ถือโอกาสแต่งตั้งพระจักรพรรดิของตนเป็นจักรพรรดิ แม่ทัพคนหนึ่งแห่งแม่น้ำดานูบ คือ เซปติมิอุส ซีเวรุส ( Septimius Severus) ชาวอัฟกันถือโอกาสเดินทัพเข้าสู่กรุงโรม ปราบปรามคู่ต่อสู้คนอื่นๆและสถาปนาตนเองเป็นพระจักรพรรดิ ((ประติมากรรมพระจักรพรรดิแห่งโรมันที่เป็นชาวอัฟกัน”Septimius Severus”)) เนื่องจากการขึ้นครองราชย์ด้วยการสนับสนุนของทหารนี่เอง พระองค์จึงต้องพยายามเอาใจทหารอย่างมาก วินัยเริ่มหย่อน การให้เสบียงอาหารและสิทธิพิเศษต่างๆต้องเพิ่มมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังนี้ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการป้องกันชายแดนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งต้องมีการจัดตั้งกองทหารลีเจียนขึ้นอีกสามกอง ทำให้การเงินเริ่มขาดแคลน ซึ่งทำให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มภาษีจากราษฎรมากขึ้นและมากขึ้น พวกคนรวยพยายามหลีกเลี่ยงการเกี่ยวข้องกับรัฐบาลเพราะกลัวต้องเดือดร้อนรวมทั้งอาจจะถูกพวกทหารแย่งกิจการงานของตนไปดื้อๆ ในขณะเดียวกันคนจนก็มีจำนวนมากขึ้น จนมีทีท่าว่าจะก่อจลาจลขึ้น พระจักรพรรดิก็ต้องรีบแก้ไขด้วยการจัดหาอาหารให้ ให้เงิน และให้ยารักษาโรค ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มภาระทางด้านการเงินแก่รัฐบาลอีกส่วนหนึ่ง เมื่อจนทางมากขึ้นก็ใช้วิธีการลดจำนวนทองและเงินที่ใช้ทำเงินเหรียญ ทำให้เพิ่มจำนวนเหรียญได้มากขึ้น แต่ก็ซื้ออะไรไม่ได้มากขึ้น ของขึ้นราคาเป็นการใหญ่ ค่าจ้างแรงงานลดค่าลงและยิ่งทำให้คนจนเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันตามชายแดนของอาณาจักรโรมันก็ถูกรุกรานมากขึ้น กองทหารโรมันระเบียบวินัยหย่อนลง การโจมตีรุนแรงขึ้นจนทางจักรวรรดิต้องเร่งสร้างกำแพงเมืองป้องกันตัว การค้าขายหยุดชะงัก ของราคาแพงและหายากขึ้นคนจนต้องกลายเป็นโจรเพื่อจะให้ยังชีวิตพวกตนอยู่ได้ และเพื่อให้ผู้คนยังคงนับถือพระจักรพรรดิในสภาพบ้านเมืองแบบนี้ก็หันไปลงโทษว่าเป็นความผิดของพวกคริสเตียน ทำให้คนเห็นใจพวกคริสเตียนมากขึ้นและอำนาจของวัดก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นด้วย จนถึงปี 284 สงครามกลางเมืองก็สิ้นสุดลง ไดโอเคลเชียน ( Diocletion ) ได้เป็นจักรพรรดิเผด็จการ ทรงยุบกองทัพลีเจียนให้เล็กลงเพื่อจะให้แม่ทัพมีทหารใต้บังคับบัญชาน้อยลง มีการเสริมกำลังชายแดนให้มั่นคงขึ้น มณฑลถูกลดขนาดให้เล็กลงเพื่อลดอำนาจของผู้ว่าการ รวมมลฑล ( Provinces) เข้าเป็น “ไดโอซีส” ( dioceses) xd8iv’Ffp “ vicar” แล้วรวมไอโอซีส เข้าเป็น 4 อยู่ภายใต้อำนาจของ prefect 1 Emperor 2 Prefects 3 Vicars 4 Governors ต่อจากนั้นก็ทรงแต่งตั้งจักรพรรดิองค์หนึ่งขึ้นปกครองทางด้านตะวันตก ในขณะที่พระองค์ปกครองทางภาคตะวันออก และเริ่มปกครองแบบที่เรียกว่า “ Tetrarchy “ (การบริหารโดยคณะสี่บุคคล)
Augustus Augustus Caesar Caesar ในปี ค.ศ.305 ไดโอเคลเชียนก็ลาออกจากตำแหน่งพระจักรพรรดิ ทหารก็ทำท่าจะเข้ามาควบคุมการแต่งตั้งพระจักรพรรดิอีก ถึงปี ค.ศ.324 คอนสแตนตินก็สถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็นกษัตริย์แต่ลำพังพระองค์เดียว โดยมีข้ออ้างว่าได้ทรงนิมิตเห็นภาพไม้กางเขนในท้องฟ้าพร้อมด้วยจารึกว่า” ขอให้มีชัยชนะด้วยเครื่องหมายนี้ “ ดังนั้นภายหลังชัยชนะจึงทรงประกาศให้อิสระภาพในการนับถือศาสนา และทรงมีประกาศ “ Edict of Milan “ ประกาศคืนทรัพย์สมบัติทั้งมวลของชาวคริสเตียนที่เคยถูกยึดในปี ค.ศ.325 โปรดให้มีการประชุมสงค์ทั้งโลกสังคายนาธรรม ก่อนหน้านี้หนึ่งปี พระเจ้าคอนสแตนตินให้โปรดให้สถาปนาเมืองหลวงใหม่ขึ้น คือ กรุงคอน สแตนตินติโนเปิล ที่บริเวณเมืองไบแซนติอุมเก่าของกรีก กษัตริย์คอนสแตนตินทรงสิ้นพระชนม์เมื่อปี ค.ศ.337 หลังจากนั้นก็เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างราชโอรสสององค์ และเหตุการณ์ต่อมาที่ควรจะกล่าวถึงก็คือราชวงศ์ของพระองค์ องค์หนึ่งคือ จูเลียน ( 361-363) ก็ได้พยายามที่ล้มศาสนาคริสต์เสียและหันไปหาลัทธิโรมันแบบเก่า อย่างไรก็ตาม การรุกรานของพวกอนารยชนก็ดำเนินต่อไปจนถึงสมัยเธโอโดสิอุสมหาราช ( Theodosius the Great ) ค.ศ.379-395 ก็สามารถเจรจากับพวกกอธได้ โดยกษัตริย์เธโอโดสิอุส ทรงยินยอมให้พวกอนารยชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในจักรวรรดิ โดยมีสัญญาว่าพวกกอธจะช่วยเหลือในการป้องกันจักรวรรดิให้พ้นจากการรุกรานของพวกอนารยชนอื่น ๆ พวกที่เข้ามาเป็นพันธมิตรทางทหารนี้เรียกกันว่า “foederati” ((รูปปฏิมากรรมคนเหมือนเพิ่มเติมRoman Portrait Sculpture)) http://www.romancoins.info/Caesar-Sculpture-3b.HTML ในเดือนมกราคม ค.ศ. 395 จักรพรรดิเธโอเดสิอุส (Theodosius) สิ้นพระชนม์ โอรสสององค์ก็แบ่งจักรวรรดิออกเป็นสองส่วน คือ เป็นอาณาจักรภาคตะวันตกและภาคตะวันออก ทำให้อาณาจักรโรมันถูกแบ่งจากกันอย่างเด็ดขาดตั้งแต่นั้นมา การรุกรานก็ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี ค.ศ. 410 อลาริค หัวหน้าพวกวิสิกอธก็เข้าโจมตีโรม ซึ่งอันที่จริงนอกจากพวกวิสิกอธแล้วก็ยังมีพวกแฟรงค์เบอร์กันเดียน และแวนดัลในโกล สเปน และอัฟริกา ซึ่งหลังจากการโจมตีโรมในปี ค.ศ. 410 แล้วโรมก็เผชิญการรุกรานอย่างหนักหน่วงอีกครั้งหนึ่งเมื่อปี ค.ศ. 455 และในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 476 โรมิวลุส ออกุสตุลุส (Romulus Augustulus) จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันตะวันตกพระองค์สุดท้ายก็ถูกบังคับให้ออกจากโรมโดยโอโดเอเซอร์ (Odoacer) หัวหน้าพวกเยอรมันหรือฮันนิค (Hunnic) อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าจะได้มีการพิจารณาถึงรายละเอียดของการสิ้นสุดอาณาจักรโรมันตะวันตกแล้วด้วยประการต่างๆจนกระทั่งถึงสมัยสิ้นสุดอาณาจักรลงจริงๆ แล้วนักประวัติศาสตร์บางท่านก็ลงความเห็นสรุปว่า แท้จริงอาณาจักรโรมันตะวันตกนั้นมีสาเหตุแห่งความเสื่อมมานานถึงสองศตวรรษ พวกอนารยชนเยอรมันอาจเป็นเพียง” เครื่องมือ”ที่ทำลายอาณาจักรให้สิ้นสุดลงเท่านั้น ดังที่นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสลงความเห็นว่า “อารยธรรมโรมันนั้นมิได้สิ้นสุดลงด้วยสาเหตุตามธรรมชาติ แต่สิ้นสุดลงเพราะถูกฆาตกรรม” และอีกหนึ่งความเห็นหนึ่งของนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน สรุปว่า “สงครามกับพวกอนารยชนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อนาจักรโรมันสิ้นสุดลง…แต่แท้จริงแล้วสาเหตุ ที่แน่นอนกว่าอาจจะเนื่องมาจากเพราะความเสื่อมทางเศรษฐกิจด้วยก็ได้” เช่นเดียวกับอาณาจักรอื่นๆ ในยุคโบราณที่ต้องสิ้นสุดลงเพราะปัญหาเรื่องผลผลิตตกต่ำด้วยกันเกือบทั้งหมด จักรวรรดิโรมันและการเผยแพร่คริสตศาสนา ในสมัยการปกครองของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่องค์แรกของโรมันคือจักรพรรดิออกุสตุสนั้นกินเวลาทั้งสิ้นประมาณ 45 ปี ได้รับการยกย่องว่าเป็นสมัยสันติสุขซึ่งเป็นที่รู้จักว่า “Pax Romana” คือสมัยสันติสุขของโรมัน อาณาจักรของโรมันแผ่ขยายออกไป จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนถึง 90 ล้านคนซึ่งกลายเป็นพวกที่มีส่วนในการสร้างอารยธรรมของโรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสถาปนานครต่างๆที่พยายามลอกเลียนแบบกรุงโรมทุกประการ กล่าวคือมีผู้ปกครองนครคือ มาจิสเตรท ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยพวกเคาน์ซิล พวกมาจิสเตรทเหล่านี้จะได้รับเกียรติอย่างสูงและมีสิทธิบางอย่าง แต่ในทำนองเดียวกันมาจิสเตรทก็มีหน้าที่ตอบแทนรัฐด้วยการเสียสละเงินทองเพื่อปรับปรุงงานภายในนครซึ่งราคาสิ่งก่อสร้างและค่าทำนุบำรุงสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็เลยหาผู้ที่จะดำรงตำแหน่งมาจิสเตรทไม่ได้ รายได้ส่วนใหญ่ของโรมันคือการค้า มีเรือค้าไปถึงอเล็กซานเดรีย อินเดีย ในสมัยจักรพรรดิมาร์คุส โอเรลิอุสนั้นเปิดเส้นทางการค้ามาถึงจีน นอกจากนี้ชนทุกชาติทุกภาษาก็มีสิทธิเดินทางไปมาค้าขายในจักรวรรดิได้ สิ่งที่พวกเหล่านี้นำติดตัวเข้ามาด้วยก็คือประเพณีและศาสนาของพวกตน เช่น การนับถือมิทรัส ซึ่งถือว่าเป็นสุริยเทพของเปอร์เชียนก็กลายเป็นเทพที่นับถือทั้งจักรวรรดิโดยเฉพาะพวกทหาร อย่างไรก็ตาม ศาสนาตามทางการของโรมันนั้นมีรากฐานมาจากเทพเจ้ากรีซ กล่าวคือแต่ละครอบครัวก็จะมีเทพประจำ การประกอบพิธีการทางศาสนาเป็นหน้าที่ของพระ และชาวโรมันก็มีวิธีการเรียนรู้ความต้องการของเทพเจ้าโดยศึกษาจากสภาพของซากสัตว์ที่ใช้ในการบูชายัญ สำหรับในสมัยจักรวรรดินั้นพระจักรพรรดิที่สิ้นพระชนม์พระองค์แรกและได้รับการยกย่องขึ้นเป็นเทพเจ้าก็คือ “Pontifex Maximus” หรือหัวหน้าพระ ทรงได้รับการยกย่องเป็นเทพเจ้าตั้งแต่ในสมัยที่ยังทรงพระชนม์อยู่ และประชาชนที่จงรักภักดีต่อโรมก็จะต้องบูชาพระองค์เพื่อแสดงความจงรักภักดีอันนั้น
ตามตำนานเทพปกรณัมโรมัน เทพีเทอร์ร่า (Terra Mater หรือ Tellus Mater) เป็นเทพีบุคลาธิษฐานแห่งโลก พระนามของนางแปลว่า “พระแม่ธรณี” ในภาษาละติน ชาวโรมันจะสวดอ้อนวอนต่อนางเพื่อป้องกันแผ่นดินไหว นอกจากนี้นางและเทพีเซเรส (Ceres) เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ยังมีส่วนช่วยในเรื่องผลผลิตของไร่นา เทพีเทอร์ร่ายังมีความเกี่ยวข้องกับการสมรส ความเป็นมารดา สตรีตั้งครรภ์ และสัตว์ที่ตั้งครรภ์อีกด้วย พระนามของนางในตำนานเทพปกรณัมกรีกคือเทพีไกอา (Gaia) ซึ่งเป็นพระมารดาของเทพีฟาม่า (Fama) เทพีแห่งเกียรติศักดิ์ชื่อเสียงและข่าวลือ นักภาษาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับภาษาในแถบอินโด-ยูโรเปียนเชื่อว่าคำว่า เทลลุซ (Tellus) ดัดแปลงมาจากวลี tersa tellus ซึ่งแปลว่า “ผืนดิน” ถ้าความคิดนี้เป็นจริง คำว่า Tellus อาจเป็นต้นฉบับดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดของพระนามของนางก็เป็นได้ ดิกชันเนอร์รี่อ๊อกซ์ฟอร์ดได้ระบุไว้ว่า คำว่า Terra หมายความถึงธาตุดิน (หนึ่งในธาตุพื้นฐานทั้งสี่ อันได้แก่ ดิน ลม น้ำ และไฟ) และคำว่า Tellus หมายถึงเทพผู้ปกป้องคุ้มครองโลกมนุษย์ ซึ่งก็คือโลกของเรานี่เอง การใช้คำสองคำนี้ในภาษาละตินแท้จริงแล้วไม่มีความแต่งต่างกันอย่างข้อกล่าวอ้างข้างต้น งานเทศกาลสำหรับเทพีเทอร์ร่าเรียกว่า งานฟอร์ดิเซีย (Fordicia) หรืองานฮอร์ดิซิเดีย (Hordicidia) จะจัดขึ้นทุกๆ ปีในวันที่ 15 เมษายน งานเทศกาลจะมีการบูชายัญโคที่กำลังตั้งครรภ์ และจะจัดการโดยพระชั้นสูงที่เรียกว่า พอนติเฟกซ์ แม็กซิมุซ (pontifex maximus) และหลุ่มนักบวชหญิงนาม เวสทัล เวอร์จิ้นส์ (Vestal Virgins) เหล่านักบวชหญิงพรหมจรรย์จะเก็บเถ้ากระดูกของลูกโคไว้จนกระทั่งพิธีชำระล้างในงานพาริเลีย (Parilia) มีงานเทศกาลสองงานที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม งานหนึ่งเพื่อเป็นการบอกลาฤดูหนาว เรียกว่า งานเซเมนทิเว (Sementivae) ซึ่งจะจัดขึ้นในเมือง และอีกงานหนึ่งคือ งานพากานาเลีย (Paganalia) ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดขึ้นในเขตชนบท ช่วงแรกของงานเซเมนทิเวจะจัดขึ้นในวันที่ 24 ถึง 26 มกราคม เพื่อเป็นการยกย่องเทพีเทอร์ร่า ส่วนช่วงที่เหลือของเทศกาลจะเป็นการเฉลิมฉลองแด่เทพีเซเรส ต่อมาเมื่อคริสตศาสนาเผยแพร่เข้ามา ศาสนานี้ก็ถูกห้ามและผู้ที่นับถือก็จะถูกลงโทษ เพราะศาสนาคริสต์อนุญาตให้บูชาพระเจ้าได้องค์เดียว พวกนี้จึงไม่สามารถไปประกอบพิธีบูชาอนุสาวรีย์ของจักรพรรดิได้ การกระทำดังนี้ชาวโรมันถือว่าเป็นการกบฏและกลายเป็นพวกที่ต้องรับบาปทุกครั้งที่เกิดทุกขพิกภัยต่าง ๆ เช่นเกิดโรคระบาด ไฟไหม้ รวมทั้งการที่จักรวรรดิต้องถูกรุกรานทุกครั้งด้วย พวกนี้จะถูกแขวนบนไม้กางเขน ถูกเผาทั้งเป็นและบางทีก็ถูกส่งให้สัตว์ป่าฉีกเนื้อจนตายในการต่อสู้ที่โคลอยเซียม เมื่อตายพวกคริสเตียนก็ถูกห้ามนำศพไปฝัง ณ บริเวณหลุมฝังของโรมัน แต่จะต้องนำไปฝังที่อุโมงค์ใต้ดินนอกเมืองเรียกว่า “Catacombs” ซึ่งพวกนี้ได้อาศัยประกอบพิธีการทางศาสนาของตนด้วย จนกระทั่งต่อมาในปี ค.ศ. 313 ศาสนาคริสต์จึงได้มีการยอมรับเป็นทางการโดย “กฤษฎีกาแห่งมิลาน” ของพระจักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งได้ทรงยอมกระทำพิธี “ศีลจุ่ม” ขณะบรรทมใกล้สิ้นพระชนม์ จักรวรรดิและศาสนาจักรเริ่มหันเข้ามาผูกพันกันมีการใช้เครื่องหมายของคริสเตียนบนเงินเหรียญโรมัน รวมทั้งตำแหน่ง “Pontifex Maximus” ของพระจักรพรรดิ ก็ได้ถูกนำไปใช้กับ Pope หรือ Pontiff ในฐานะประมุขของศาสนาจักรด้วย มรดกทางอารยธรรมของโรมันมีอะไรบ้าง 1. กฎหมาย, มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโรมัน กฎหมายฉบับแรกที่สุดคือ “กฎหมายสิบสองโต๊ะ” (The Twelve Tables) เมื่อปี 450 B.C. ซึ่งได้รับการพัฒนาตามลำดับมากกว่า 1,000 ปี มาเป็น “กฎหมายจัสติเนียน” ในคริสตศตวรรษที่ 6 ซึ่งสิ่งที่รวมอยู่ในรูปแบบของกฎหมายก็คือ เรื่องวิธีการ ปกครองของพระจักรพรรดิ วิธีการพิพากษาคดี และแนวนิยมการปกครองแบบสาธารณรัฐมีการพัฒนาการทั้งในด้านกฎหมายบุคคลและกฎหมายสาธารณชน จนกระทั่งเมื่อมีชาวต่างประเทศเข้ามาค้าขายมากขึ้นโดยอยู่ภายใต้กฎหมายละติน (jus gentium) ซึ่งควบคุมสิทธิของชาวต่างประเทศไว้ด้วย กฎหมายโรมันนี้ได้ชื่อว่าเป็นกฎหมายที่มีความยุติธรรม เที่ยงตรง และมีมนุษยธรรมด้วย โดยหลักใหญ่ก็คือการถือว่ามนุษย์มีสิทธิเท่าเทียมกันตามกฎหมาย รวมทั้งหลักการที่ว่าผู้ต้องหาจะยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้มีความผิดจริง และถือว่าการทรมานเพื่อให้ยอมรับสภาพนั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จักรวรรดิโรมันเจริญสูงสุดสมัยใดอินทรีจักรวรรดิ จักรวรรดิโรมันในช่วงสูงสุดเมื่อ ค.ศ. 117 ในช่วงที่จักรพรรดิไตรยานุสสวรรคต (รัฐบริวารเป็นสีชมพู) เมืองหลวง โรม
ยุคโรมันจัดอยู่ในยุคสมัยใดสาธารณรัฐโรมัน. บุคคลใดได้สถาปนาจักรวรรดิโรมันและดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิโรมันพระองค์แรกอิมแปราตอร์ ไกซาร์ ดีวี ฟีลิอุส เอากุสตุส (ละติน: IMPERATOR CAESAR DIVI FILIVS AVGVSTVS; 23 กันยายน 63 ปีก่อนคริสต์ศักราช – 19 สิงหาคม ค.ศ. 14) เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน ทรงปกครองจักรวรรดิแต่เพียงผู้เดียวนับตั้งแต่ 27 ปีก่อนคริสต์ศักราชจนกระทั่งสวรรคตใน ค.ศ. 14.
จักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมันคือใครอิมแปราตอร์ ไกซาร์ ดีวี ฟีลิอุส เอากุสตุส เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน ทรงปกครองจักรวรรดิแต่เพียงผู้เดียวนับตั้งแต่ 27 ปีก่อนคริสต์ศักราชจนกระทั่งสวรรคตใน ค.ศ. 14.
|