สกุลเงินดิจิทัลที่นิยมนํามาใช้ในธุรกิจ

ตลอดเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าเราจะเช็กไทม์ไลน์ของแพลตฟอร์มไหน ก็มักเจอแต่คําว่า Metaverse เต็มไปหมดเลยใช่ ไหมครับ ซึ่งหลาย ๆ คนคงเริ่มเก็ตแล้วว่าสิ่งนี้จะทําให้ประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างสิ้น เชิง เพราะ Metaverse จะเป็นตัวเชื่อมโลกจริงและโลกเสมือนของเราได้แบบชนิดที่ว่าเราสามารถสร้างตัวตนของเรา ในอีกโลกหนึ่ง และใช้ชีวิตได้เหมือนปกติเลยล่ะครับ

สกุลเงินดิจิทัลที่นิยมนํามาใช้ในธุรกิจ

นอกจากโลก Metaverse จะเป็นการทําลายพรมแดนการพบปะกันของผู้คนแล้ว ยังถือเป็นการทําลายขอบเขตของ การแลกเปลี่ยนเงินตราอีกด้วยครับ เพราะในโลกความจริงมูลค่าสินค้าถูกตีด้วยค่าเงินของแต่ละประเทศที่แตกต่าง กัน แต่ในโลกเสมือนแห่งนี้หากคนอีกซีกโลกกําลังสนใจสินค้าของเรา ก็สามารถจ่ายเงินซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่าน ตัวกลางซึ่งเงินที่ผมพูดถึงก็คือ “สกุลเงินดิจิทัล” นั่นเอง นี่แหละครับที่จะเป็นตัวแปรสําคัญของระบบเศรษฐกิจแห่ง ใหม่ในโลกดิจิทัลเลยทีเดียว

อิทธิพลของ Cryptocurrency และ NFT บนโลกเสมือน

ลองคิดดูสิครับ หากเราได้เข้าไปสร้างอีกตัวตนหนึ่งของเราจริงๆ บนโลก Metaverse ที่ไม่ได้เพียงแค่ติดต่อพูดคุย กันเท่านั้น แต่ถ้าเราต้องการซื้อรถสักคันไว้ขับเท่ๆ บนโลกเสมือน เราจะต้องใช้เงินอะไรในการซื้อกันนะ เงินบาท? เงิน ดอลลาร์? หรือต้องใช้อะไรถึงจะมีมูลค่าเท่ากันทั้งโลก แล้วอะไรจะเป็นตัวรับประกันว่ารถคันนี้เป็นของเรา “คนเดียว” ในโลก Metaverse แห่งนี้หรือแม้แต่ภาพวาด เสื้อผ้ารองเท้า เราจะซื้อสิ่งเหล่านั้นมาได้อย่างไร?

สกุลเงินดิจิทัลที่นิยมนํามาใช้ในธุรกิจ

คําตอบก็คือ สินค้าเหล่านั้นต้องถูกสร้างให้อยู่ในรูปแบบ NFT นั่นเองครับ ซึ่งหากเราใช้รถคันนี้ไปนาน ๆแล้วเกิดเบื่อ อยากขายต่อให้คนอื่นขึ้นมา ก็สามารถขายหรือโอนสิทธิ์และรับเงินได้โดยอ้างอิงราคาด้วย Cryptocurrency นั่นเอง แม้สิ่งที่ผมพูดมาอาจจะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ต้องยอมรับเลยครับว่า ทั้ง Cryptocurrency และ NFT กลับไม่ใช่ เรื่องใหม่ในปัจจุบันเลย เพราะในความเป็นจริงเริ่มมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าผ่านระบบสกุลเงินดิจิทัลเกิดขึ้นแล้ว แต่สําหรับคนที่ไม่เคยรู้จักสองอย่างนี้มาก่อน ผมจะอธิบายความหมายคร่าวๆให้ฟังกันครับ

สกุลเงินดิจิทัลที่นิยมนํามาใช้ในธุรกิจ

Cryptocurrency เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่ถูกเข้ารหัส มีราคากลางในการซื้อขายที่แปรผันตามกลไก ตลาด คริปโตจึงสามารถทําหน้าที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าผ่านอินเทอร์เน็ตได้โดยทํางานผ่านบล็อก เชน (Blockchain) ที่ช่วยให้การทําธุรกรรมในบัญชีของเราปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และที่สําคัญเราสามารถนําเงินคริป โต มาแลกเปลี่ยนเป็นเงินปกติในชีวิตของเราได้อีกด้วยครับ โดยสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมก็อย่างเช่น Bitcoin, Ethereum, Litecoin, Bitcoin Cash, Ripple, Binance Coin เป็นต้นครับ

ในขณะที่ NFT (Non-Fungible Token) ก็คือ Cryptocurrency ประเภทหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่มีอยู่ เพียงหนึ่งเดียวและมีเจ้าของเพียงคนเดียวไม่สามารถทําซ้ํา หรือทดแทนกันได้โดยมีเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) คอยกํากับความเป็นเจ้าของและป้องกันการขโมย ตัวอย่างของ NFT ได้แก่ ผลงานศิลปะ, บัตร คอนเสิร์ต, ของสะสม เป็นต้น โดย NFT สามารถซื้อขายได้โดยสกุลเงินดิจิทัล Cryptocurrency ครับผม

สกุลเงินดิจิทัลที่นิยมนํามาใช้ในธุรกิจ

ดังนั้นการซื้อขายรถเท่ๆของเราในโลก Metaverse จะถูกทําให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นด้วยคริปโตและ NFT นั่นเองล่ะ ครับ และไม่ใช่แค่เพียงการซื้อรถเท่านั้น แต่การเข้าชมคอนเสิร์ต ฟังเพลง กระเป๋า เสื้อผ้า และสินค้าทุกสิ่งทุกอย่างใน โลกเมตาเวิร์ส ก็จะสามารถซื้อได้ด้วยสกุลเงินดิจิทัล จึงเรียกได้ว่า 2 อย่างนี้ถือเป็นจิ๊กซอว์ส่วนสําคัญที่ทําให้โลก เสมือนครั้งใหม่แห่งนี้สมบูรณ์แบบนั่นเอง

ในขณะที่ Blockchain จะทําหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่าง Metaverse และแพลตฟอร์มอื่น ๆให้สามารถทํางาน ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้นอีกด้วย และที่สําคัญความเร็วแรงของการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต ก็ยังเป็นกุญแจสําคัญ ที่จะทําให้เราทุกคนได้เข้าสัมผัสประสบการณ์ในโลก Metaverse ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดครับ

จากจำนวนมากกว่า 10,000 สกุลเงินดิจิทัลที่มีอยู่ในตลาดโลก มีหลายสกุลเงินที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด TODAYBizview รวม 6 เหรียญเด่นที่น่ารู้จัก ก่อนเริ่มเล่นคริปโทฯ มาไว้ในที่เดียว

สกุลเงินดิจิทัลที่นิยมนํามาใช้ในธุรกิจ

บิตคอยน์ (Bitcoin)

ใช้อักษรย่อว่า BTC เกิดปี 2009 โดยผู้สร้างชื่อ ‘ซาโตชิ นากาโมโต’ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบว่าเป็นคนหรือกลุ่มบุคคลใด แต่คาดว่าเป็นนามแฝงไม่ใช่ชื่อที่มีอยู่จริง

โดยบิตคอยน์เป็นสกุลเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลกและเป็นต้นกำเนิดของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในปัจจุบันบิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และมูลค่าของบิตคอยน์ที่หมุนเวียนในระบบกว่า 17 ล้านเหรียญที่ถูกขุดออกมาแล้ว (จากทั้งหมด 21 ล้าน) มีมูลค่าเกินครึ่งของมูลค่าตลาดคริปโทโลก

อีเทอเรียม (Ethereum)

ใช้อักษรย่อว่า ETH เกิดปี 2013 โดยผู้สร้างชื่อ วีตาลิค บูเจริน โปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซียนแคนาเดียน ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในทีมพัฒนาบิตคอยน์ ความโดดเด่นของอีเทอเรียม คือเป็น Open Source ให้บุคคลอื่นเข้ามาร่วมพัฒนาระบบได้ จึงทำให้อีเทอเรียมทำงานได้หลากหลายกว่าบิตคอยน์

โดยอีเทอเรียมสามารถเปิดใช้ระบบ Smart Contract สร้างเงื่อนไขการสั่งจ่ายได้ อาทิ จ่ายค่าบัตรเครดิตหรือค่าหอพัก เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด จ่ายค่ารถเช่าเพื่อปลดล็อกรถ โดยไม่ต้องจ้างคนเพื่อเฝ้ารถ

นอกจากนั้น ยังนิยมใช้ในการระดมทุนแบบดิจิทัลที่เรียกว่า ‘ICO’ หรือ Initial Coin Offering รวมถึงยังมีการรวมตัวกันของบริษัทใหญ่และสตาร์ทอัพทั่วโลก เพื่อร่วมกันวิจัยพัฒนาอีเทอเรียมใต้ชื่อ EEA หรือ Enterprise Ethereum Alliance ปัจจุบันมีมูลค่าเป็นอันดับที่ 2 ในตลาดคริปโทโลก

ริปเปิ้ล (Ripple)

ใช้อักษรย่อว่า XRP เกิดในปี 2018 โดยมีบริษัท ริปเปิ้ล แลปส์ (Ripple Labs) เป็นผู้สื่อสร้าง โดยแตกต่างจากเหรียญอื่นๆ ตรงที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางโอนย้าย (settlement) ระหว่าง ‘ธนาคาร’ และมีลักษณะเหรียญเป็นแบบรวมศูนย์ รวมถึงเป็นบล็อกเชนส่วนบุคคล (Private Blockchain) ทำให้ริปเปิ้ล แลปส์ สามารถควบคุมธุรกรรมทั้งหมดได้

โดย XRP ได้รับการยอมรับจากบริษัทระดับโลกหลายแห่ง อาทิ Google, SBI Group, Standard Chartered และ Seagate ปัจจุบันเป็น 1 ใน 5 เหรียญที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

ไบแนนซ์คอยน์ (Binance Coin)

ใช้อักษรย่อว่า BNB เกิดในปี 2017 โดยมี ‘ไบแนนซ์’ (Binance) ผู้ให้บริการเทรดเหรียญดิจิทัลระดับโลกเป็นผู้สร้าง โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้ในระบบนิเวศของไบแนนซ์ ทั้งใช้เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมหรือใช้แลกเปลี่ยน ‘โทเค็น’ ที่ถูกลิสต์บนกระดานของไบแนนซ์

นอกจากนั้น ยังสามารถใช้ลดค่าธรรมเนียมในการเทรดเหรียญได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้สร้างอย่างไบแนนซ์กำหนดให้มีการเผาเหรียญออกจากระบบ เมื่อมีการใช้เหรียญ ทำให้มูลค่าเหรียญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปริมาณความต้องการที่มากกว่าปริมาณเหรียญที่มีอยู่

เทเทอร์ (Tether)

ใช้อักษรย่อว่า USDT เกิดในปี 2017 โดยมีบริษัท เทเทอร์ ลิมิเต็ด (Tether Limited) เป็นผู้สร้าง แตกต่างจากเหรียญอื่นๆ ตรงที่มุ่งเน้นจะสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อคริปโทฯ กับเงินตราปกติ โดยกำหนดให้ผูกกับ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ ให้ 1 USDT มีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์ฯ

ทำให้กลายเป็นเหรียญประเภทที่ถูกเรียกว่า Stablecoins หรือเหรียญที่มีเสถียรภาพด้านราคา
เหมาะเป็นสื่อกลางเมื่อต้องการโอนเงินข้ามประเทศหรือพักเทรด

ด็อกคอยน์ (Dogecoin)

ใช้อักษรย่อว่า DOGE เกิดในปี 2013 โดยผู้สร้างชื่อ ชิบะโตชิ นากาโมโต แต่ชื่อดังกล่าวเป็นชื่อที่ผู้สร้างอย่าง แจ็คสัน พาล์มเมอร์ และบิลลี มาร์คัส สร้างขึ้นเพื่อล้อเลียนชื่อผู้สร้างบิตคอยน์อย่าง ‘ซาโตชิ นากาโมโต’

โดยแต่เดิมแม้จะเป็นเหรียญที่สร้างขึ้นเพื่อเสียดสีคริปโทฯ แต่หน้าเหรียญสุนัขพันธุ์ ‘ชิบะอินุ’ กลับทำให้เหรียญเข้าถึงและจดจำได้ง่าย และถูก ‘อีลอน มัสก์’ นักธุรกิจเจ้าของเทสลานำไปพูดถึงหลายครั้งบนทวิตเตอร์

ติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของ ‘คริปโทเคอร์เรนซี่’ อย่างรอบด้านหลากหลายใน ‘Cryptocurrency the series’ โดย TODAYBizview by workpointTODAY