คำว่า “นาโน” มีค่าเท่ากับสิบยกกำลังลบเก้า (10-9) หรือหนึ่งส่วนในพันล้านส่วน (1/1,000,000,000) ผู้เปิดศักราชของนาโนเทคโนโลยี คือ ริชาร์ด ฟายน์แมน (Richard Feyman) ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ในปี ค.ศ.1965 เป็นผู้กล่าวว่า “สักวันหนึ่งเราจะสามารถประกอบสิ่งต่างๆ ผลิตสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาจากการจัดเรียงอะตอมด้วยความแม่นยำ และเท่าที่ข้าพเจ้ารู้ ไม่มีกฎทางฟิสิกส์ใด ๆ แม้แต่หลักแห่งความไม่แน่นอน (Uncertainty Principle) ที่จะมาขัดขวางความเป็นไปได้นี้” และยังเป็นผู้กล่าวย้ำถึงเทคโนโลยีนี้ว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนาโนเทคโนโลยีจึงถูกนิยามว่าเป็นเทคโนโลยีการประกอบและผลิตสิ่งต่างๆ ขึ้นมาจากการจัดเรียงในระดับอะตอมหรือโมเลกุล เข้าด้วยกันด้วยความแม่นยำ ถูกต้องในระดับนาโนเมตร (1 ในพันล้านส่วนของ 1 เมตร) Show เค.อีริค เดร็กซเลอร์ (K. Eric Drexler) เป็นผู้เชี่ยวชาญทางนาโนเทคโนโลยีได้กล่าวไว้ว่าเทคโนโลยีมีลักษณะเดียวกับ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตตามทฤษฏีของชาลส์ ดาร์วิน คือเมื่อมันเกิดขึ้นมามันก็จะมีการแปรเปลี่ยนให้แตกต่างออกไป (Variation and Mutation) จากนั้นก็จะแข่งขันกันแพร่พันธ์เทคโนโลยีที่ขาดความสามารถในการแข่งขันก็จะค่อยๆ ลดจำนวนลงไป จนในที่สุดจะเหลือแต่กลุ่มของเทคโนโลยีที่มีความสามารถรอดพ้นจากการสูญพันธ์ มิเฮล ซี รอคโค (Mihail C.Roco) ผู้เชี่ยวชาญและหัวหน้าที่รับผิดชอบดูแลด้านนาโนเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Nanotechnology Initiative) หรือ NNI ได้กำหนดนิยามสั้นๆ ว่า นาโนเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีที่จัดการกับวัสดุ หรือวัตถุที่อย่างน้อยมีมิติใดๆ ที่มีขนาดตั้งแต่หนึ่งถึงร้อยนาโนเมตร โดยที่สิ่งนี้ต้องถูกออกแบบหรือจงใจ และแสดงผลต่อฟิสิกส์และเคมีของโครงสร้างในระดับโมเลกุลของมัน ดังนั้นในสาขานาโนเทคโนโลยีในความหมายนี้ จะครอบคลุมถึงกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่ การสร้างโครงสร้างที่ทำหน้าที่ในระดับนาโน โดยที่เราสามารถกำหนดหรือออกแบบคุณสมบัติของมันได้ ชีวะเคมี ระดับโมเลกุล การประกอบตัวหรือลอกเลียนแบบด้วยตัวเอง การศึกษาผลของควอนตัมฟิสิกส์ การศึกษา สมบัติพื้นผิวของวัสดุ เป็นต้น ดังนั้นเราสามารถนิยามเทคโนโลยีที่มนุษย์ได้พัฒนาขึ้นเป็น 2 แบบ คือ
จุดเปลี่ยนจากเทคโนโลยีแบบหยาบไปสู่เทคโนโลยีระดับโมเลกุลเกิดจากการค้นพบอะตอมและศาสตร์ที่อธิบายความเป็นอยู่ของสรรพสิ่งในระดับอะตอม หรือเรียกว่าเป็นกลศาสตร์ควอนตัม การพัฒนาทฤษฎีควอนตัมในระหว่างปี ค.ศ.1900-1950 นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากที่สามารถเรียนรู้สมบัติต่าง ๆ ในระดับอะตอมและโมเลกุลของสาขาวิชาเคมี โดยใช้ความรู้ในเรื่องของอิเล็กตรอน ซึ่งอธิบายได้ด้วยทฤษฎีควอนตัม ในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญมากมาย เช่น ไอน์สไตน์ บอร์ บอร์น ออพเปนไฮเมอร์ ชโรดิงเงอร์ โบลท์สมันน์ แมกซ์เวลล์ แพลงค์ ทอมสัน รัธเทอร์ฟอร์ด เพาลี เดอบอยล์ และไฮเซนบอร์ก บุคคลต่างๆ เหล่านี้ได้ทำการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ความเป็นไปของสรรพสิ่งในระดับ อะตอม จนกลายมาเป็นทฤษฎี ควอนตัม อันเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เกือบทุกสาขา นาโนเทคโนโลยีกับอุตสาหกรรม นาโนเทคโนโลยีสามารถนำมาใช้ได้ในหลากหลายสาขาเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมในกระบวนการผลิตและปรับปรุงคุณภาพของสินค้า เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านไอที ดังเช่น ในการออกแบบและผลิตวัสดุใหม่ เพื่อให้วัสดุ ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติดีขึ้น เช่นเหล็กที่มีคุณสมบัติด้านความแข็งแกร่งแต่มีน้ำหนักเบาขึ้น การผลิตสิ่งทอพิเศษที่ทำจากเส้นใยในระดับนาโนเมตรให้สามารถกักเก็บความร้อนเพื่อทำให้อบอุ่นได้ดีกว่าปกติหรือสามารถย้อมสีได้ติดทนนาน และสามารถออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้ เป็นต้น นาโนเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีที่ครอบคลุมศาสตร์พื้นฐานอย่างกว้างขวาง ทั้งการค้นพบวัสดุใหม่ช่วยยกระดับและเพิ่มมูลค่าสินค้าที่มีอยู่เดิม รวมถึงการริเริ่มอุตสาหกรรมใหม่ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีในการผลิตแห่งอนาคต สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับทุกอุตสาหกรรม การสร้างขีดความสามารถในด้านนาโนเทคโนโลยีแบ่งออกได้เป็น 3 สาขา คือ
นาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ ตุ๊กแกและจิ้งจกมีความสามารถในการใช้ตีนยึดเกาะกับข้างฝา เพดานหรือกำแพงที่ราบเรียบและลื่นโดยไม่ตกลงมาได้ ก็เพราะบริเวณใต้อุ้งตีนมีขนขนาดเล็กที่เรียกว่า ซีเต้ (Setae) มีจำนวนนับล้านเส้นเรียงตัวอัดแน่นอยู่ โดยที่ส่วนปลายของขนซีต้าแต่ละเส้นยังมีเส้นขนที่มีขนาดเล็กกว่าเรียกว่า สปาตูเล่ (Spatulae) ประกอบอยู่อีกหลายร้อยเส้น ซึ่งสปาตูเล่แต่ละเส้นจะมีขนาดเล็กมากประมาณ 200 นาโนเมตร และที่ปลายสปาตูเล่แต่ละเส้นจะสามารถสร้างแรงดึงดูดทางไฟฟ้าที่เรียกว่า แรงวานเดอวาลส์ (Vanderwaals force) ช่วยในการยึดติดกับโมเลกุลของสสารที่เป็นส่วนประกอบของผนังหรือเพดานได้ ถึงแม้ว่าแรงวานเดอวาลส์จะเป็นแรงยึดเหนี่ยวที่อ่อนมากแต่จากการที่จำนวนเส้นขนของสปาตูเล่มีอยู่นับหลายล้านเส้น จึงทำให้แรงยึดเหนี่ยวทางไฟฟ้ามีอย่างมหาศาลทำให้สามารถยึดติดกับผนังหรือเพดานได้ จากหลักการนี้จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นเทคโนโลยีแถบยึดตีนตุ๊กแก (Gecko Tape) ขึ้นจากวัสดุสังเคราะห์ชนิดใหม่ ที่มีลักษณะเป็นขนขนาดนาโน (Nanoscopic Hairs) เลียนแบบขนของสปาตูเล่ เพื่อนำไปผลิตแถบยึดที่ปราศการใช้กาวและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ถุงมือ ผ้าพันแผล การพัฒนาเป็นล้อของหุ่นยนต์ที่สามารถไต่ผนังหรือเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่งได้ เป็นต้น ใยแมงมุม (เส้นใยนาโน) แมงมุมเป็นสัตว์ที่สามารถสร้างและปั่นทอเส้นใยได้ โดยที่ใยแมงมุมเป็นเส้นใยที่มีความแข็งแรงและเหนียวมาก ใยแมงมุมสามารถหยุดแมลงที่บินด้วยความเร็วสูงได้โดยที่ใยแมงมุมไม่ขาด นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า แมงมุมมีต่อมพิเศษที่สามารถหลั่งโปรตีนที่ละลายในน้ำชนิดหนึ่งชื่อว่า “ไฟโบรอิน” (Fibroin) โดยเมื่อแมงมุมหลั่งโปรตีนชนิดนี้ออกมาจากต่อมดังกล่าว โปรตีนนี้จะเปลี่ยนสถานะจากของเหลวไปเป็นของแข็ง หลังจากนั้นแมงมุมก็จะใช้ขาในการถักทอโปรตีนเหล่านี้เป็นเส้นใยที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งก็คือใยแมงมุมนั่นเอง มีบริษัทในต่างประเทศแห่งหนึ่ง สามารถสร้างใยแมงมุมเลียนแบบใยแมงมุมจริงขึ้นมาได้โดยการตัดต่อยีนที่ควบคุมการสร้างโปรตีนไฟโบรอินจากแมงมุม แล้วนำไปใส่ไว้ในโครโมโซมของแพะ เพื่อให้นมแพะมีโปรตีนใยแมงมุมก่อนที่จะแยกโปรตีนจากนมแพะออกมาแล้วผ่านกระบวนการปั่นทอเป็นเส้นใย เพื่อใช้ในการผลิตเสื้อเกราะกันกระสุนที่แข็งแรงแต่มีน้ำหนักเบาขึ้น โดยเส้นใยที่สร้างขึ้นมานี้มีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กถึงห้าเท่าเทียบที่น้ำหนักเท่ากัน นอกจากนี้ยังสามารถนำใยแมงมุมไปใช้เป็นเส้นใยผ้ารักษาแผลสดได้อีกด้วย หลายประเทศทั่วโลกมีการลงทุนด้านนาโนเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศสหรัฐอเมริกาญี่ปุ่น และประเทศในยุโรป ได้ทุ่มเทงบประมาณเพื่อการวิจัยด้านนี้เป็นจำนวนมาก และในส่วนของประเทศไทยนั้น ได้มีการจัดตั้งศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติอย่างเป็นทางการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2546 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนานาโนเทคโนโลยี เพื่อกำหนดแนวทาง มาตรกร และแผนการดำเนินงาน รวมทั้งแผนพัฒนาศักยภาพของบุคลากร นักวิชาการด้านนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย และการสร้างผลลัพธ์ที่เสริมซึ่งกันและกัน โดยการประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย กระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับนาโนเทคโนโลยี เช่น อุปกรณ์นาโนที่สังเคราะห์จากสารกึ่งตัวนำ (Semiconductor Devices) เช่น จุดควอนตัม (Quantum Dot) เซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูงชนิดใหม่ อุปกรณ์นำแสงและออพติก และทรานซิสเตอร์โมเลกุล การสร้างวัสดุนาโนพอลิเมอร์ที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และสามารถใช้เป็นวัสดุในการนำส่งยาและโปรตีน การใช้นาโนเทคโนโลยีทางด้านสิ่งแวดล้อมในการตรวจสอบการปนเปื้อนและบำบัดของเสีย Biosensors และ Tissue engineering ด้านพลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องสำอาง เป็นต้น นาโนเทคโนโลยีที่เกิดในธรรมชาติมีอะไรบ้าง2.เทคโนโลยีนาโนในธรรมชาติ ... . 2.2 ใบบัว ... . 2.3 ใยแมงมุม ... . 2.4 เปลือกหอยเป๋าฮื้อ ... . 2.6 ขาจิงโจ้น้ำ ... . 6.การนำนาโนเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ ... . 6.2 เส้นใยนาโน ... . 6.3 ท่อนาโนคาร์บอน. นาโนธรรมชาติจากใยแมงมุมสามารถนำมาผลิตอะไรได้สร้างโปรตีนไฟโบรอินจากแมงมุมแล้วนำไปใส่ไว้ใน โครโมโซมของแพะ เพื่อให้นมแพะมีโปรตีนใยแมงมุม ก่อน ที่จะแยกโปรตีนออกมาแล้วปั่นทอเป็นเส้นใย เพื่อใช้ในการ ผลิตเสื้อเกราะกันกระสุนที่แข็งแรงแต่มีน้ำหนักเบา โดย เส้นใยที่สร้างขึ้นนี้มีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กถึงห้าเท่า เมื่อมีน้ำหนักเท่ากัน นอกจากนี้ยังสามารถนำใยแมงมุมไป
แคลเซียมคาร์บอเนตพบอยู่ในนาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติชนิดใดนาโนแคลเซียมคาร์บอเนต คือ แคลเซียมคาร์บอเนตที่เป็นเทคโนโลยีนาโน ตกตะกอนละเอียดเป็นพิเศษ เส้นผ่านศูนย์กลางอนุภาคน้อยกว่า 100 นาโนเมตร ถูกใช้เป็นสารเติมแต่งในผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เช่น พลาสติก สี ยาง หรือใช้เป็นอาหารเสริมมนุษย์ เป็นสารที่มีอนุภาคเป็นบวก ในพืชจะถูกใช้ในการเข้าไปเพิ่มคุณค่าธาตุอาหาร และเพิ่มความทนทานต่อศัตรู ...
นาโนเทคโนโลยีมีสมบัติเฉพาะตัวอย่างไรประโยชน์ของนาโนเทคโนโลยี
พบทางออกที่จะได้ใช้พลังงานราคาถูกและสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีน้ำที่สะอาดเพียงพอสำหรับทุกคนในโลก ทำให้มนุษย์สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนกว่าเดิม (มนุษย์อาจมีอายุเฉลี่ยถึง 200 ปี) สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างพอเพียงกับประชากรโลก
|